กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามเดินหน้าแผนการใหญ่ ผลักดันให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่สองของประเทศ โดยได้มีการจัดเวทีระดมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางรากฐานการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในทุกระดับการศึกษา ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย นับเป็นความพยายามครั้งสำคัญที่จะยกระดับการศึกษาของประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติ
แผนระยะยาวนี้จะเริ่มตั้งแต่ปี 2025 ไปจนถึง 2045 โดยมีเป้าหมายทะเยอทะยานที่จะสร้างประชากรที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทดลองในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยนำร่องหลายแห่ง เพื่อประเมินความเป็นไปได้และปรับปรุงแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
Pham Ngoc Thuong รองรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรม เน้นย้ำในที่ประชุมว่า การนำโมเดลจากต่างประเทศมาใช้ต้องปรับให้เข้ากับบริบทสังคมและวัฒนธรรมของเวียดนาม โดยไม่ลอกเลียนแบบทั้งหมด เขากล่าวว่า “เราต้องเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลวของประเทศอื่น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างระบบที่เป็นของเราเอง”
ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการประกอบด้วย การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกอบรมครูให้มีความพร้อม การสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม
การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและเทคโนโลยีการศึกษาจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแผนนี้ให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลดช่องว่างระหว่างพื้นที่เมืองและชนบทที่ห่างไกล การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ แอปพลิเคชัน และสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลจะช่วยให้นักเรียนในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงการเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ช่วยประหยัดเวลา และลดความต้องการครูสอนภาษาอังกฤษจำนวนมากซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดในปัจจุบัน
ในด้านของผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา รองศาสตราจารย์ Nguyen Van Trao จากมหาวิทยาลัยการศึกษาแห่งชาติฮานอย เสนอว่าแผนนี้ต้องระบุบทบาทและความรับผิดชอบของระบบอุดมศึกษาให้ชัดเจน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยด้านศึกษาศาสตร์ซึ่งจะเป็นแหล่งผลิตครูภาษาอังกฤษในอนาคต
การพัฒนาหลักสูตรสำหรับฝึกอบรมครูต้องได้มาตรฐานและทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ขณะเดียวกัน สื่อการสอนและอุปกรณ์ต่างๆ ต้องได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทของเวียดนาม โครงสร้างพื้นฐานในสถาบันฝึกครูต้องได้รับการปรับปรุง
และต้องมีแผนที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายการรับนักศึกษา การสนับสนุนทางการเงินสำหรับครูและนักเรียน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษทั้งในและต่างประเทศ
ด้าน ดร. Nguyen Thanh Binh จากมหาวิทยาลัยการศึกษาโฮจิมินห์ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า แผนนี้จะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่คำนึงถึงการเข้าถึงของนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและภูเขา ซึ่งมักมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและโอกาสทางการศึกษา
เขาเสนอให้มีการสร้างกลไกพิเศษเพื่อสนับสนุนโรงเรียนและนักเรียนในพื้นที่เหล่านี้ นอกจากนี้ ยังต้องแก้ไขปัญหาความแตกต่างในคุณภาพของครูผู้สอนระหว่างเมืองใหญ่และพื้นที่ชนบท ซึ่งอาจทำได้ผ่านการฝึกอบรมออนไลน์ การแลกเปลี่ยนครู หรือโครงการพี่เลี้ยงสำหรับครูในพื้นที่ห่างไกล
นอกจากนี้ การระดมทุนจากแหล่งต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ จะช่วยให้มีงบประมาณเพียงพอในการพัฒนาบริการให้คำปรึกษาและเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
ตามแผนการที่วางไว้ ภายในปี 2035 โรงเรียนอนุบาลทุกแห่งที่มีคุณสมบัติพร้อมจะเริ่มสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กอายุ 3-5 ปีทั่วประเทศ โดยเน้นการสอนผ่านเกม เพลง และกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และภายในปี 2045 จะขยายไปยังเด็กก่อนวัยเรียนทุกคน รวมถึงเด็กในเนิร์สเซอรี เพื่อปูพื้นฐานการเรียนรู้ภาษาตั้งแต่เยาว์วัย
สำหรับการศึกษาภาคบังคับ ภายในปี 2035 นักเรียนทุกคนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะได้เรียนตามหลักสูตรภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในระดับพื้นฐาน (ระดับ 1-3) โดยเน้นทักษะการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
ส่วนภายในปี 2045 โรงเรียนทุกแห่งจะเปิดสอนถึงระดับสูง (ระดับ 4-6) ซึ่งครอบคลุมทักษะการคิดวิเคราะห์ การอภิปราย และการนำเสนอที่ซับซ้อนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยทุกแห่งจะนำหลักสูตรระดับสูงมาใช้ด้วย เพื่อให้บัณฑิตมีความพร้อมในการทำงานในบริษัทข้ามชาติหรือองค์กรระหว่างประเทศ
สถาบันอาชีวศึกษาทุกแห่งก็ไม่ได้ถูกละเลย โดยจะมีการบูรณาการภาษาอังกฤษเฉพาะทางเข้ากับหลักสูตรวิชาชีพ เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับการท่องเที่ยว การโรงแรม อุตสาหกรรมการผลิต หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ เวียดนามยังตั้งเป้าที่จะพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาต่อเนื่องให้เสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2030 เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใหญ่ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพหรือการศึกษาต่อด้วย
ภาพ: xuanhuongho / Shutterstock
อ้างอิง: