ยุคทรัมป์ 2.0 เริ่มปรากฏชัดว่าอาจนำไปสู่การเกิดระเบียบโลกใหม่ หรือแม้แต่โลกใหม่ไร้ระเบียบ ที่แยกตัวออกจากคุณค่าดั้งเดิมของสหรัฐฯ ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะล้มล้างพันธมิตรเก่า สานสัมพันธ์กับกลุ่มผู้นำที่เคยถูกกีดกัน และใช้นโยบายต่างประเทศแบบ ‘เจรจาเชิงธุรกรรม’ ภายใต้นโยบาย ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ คำถามก็คือ ทรัมป์จะพาให้ระเบียบโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างถาวรหรือไม่?
ศาสตราจารย์ จอห์น ไซเดล (John Sidel) ผู้อำนวยการศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Saw Swee Hock แห่ง The London School of Economics ได้ให้มุมมองเชิงลึกผ่านการสัมภาษณ์กับ THE STANDARD เกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์และผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย
นโยบายต่างประเทศแบบ ‘ขวางกระแส’
หัวใจของนโยบายต่างประเทศในยุคทรัมป์คือความเต็มใจที่จะฉีกกรอบและ ‘สั่นคลอน’ พันธมิตรที่เคยเหนียวแน่น ศ.ไซเดล กล่าวไว้ว่า: “ทรัมป์กำลังตีสนิทกับปูติน แสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจปูติน… และเขาอาจคิดว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในแบบของ เฮนรี คิสซิงเจอร์ คล้ายกับช่วงที่นิกสันเดินทางไปเจรจาที่ปักกิ่งในยุค 1970”
แนวทาง ‘ขวางกระแส’ นี้เกิดจากทั้งแรงจูงใจส่วนตัวและความต้องการที่จะล้มล้าง ‘การกำหนดนโยบายแบบกระแสหลัก’ ของวอชิงตัน ผลที่ตามมาคือความไม่แน่นอนสำหรับประเทศที่เคยพึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะหลักประกันด้านความมั่นคงและการค้า หากสหรัฐฯ ผูกมิตรกับรัสเซียได้ง่ายดาย ซึ่งขัดแย้งกับพันธมิตรเดิม ยุโรป เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ อาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างรวดเร็ว
“ถ้าสหรัฐฯ ตั้งใจจะทอดทิ้งสหภาพยุโรป (EU)… นั่นก็หมายความว่าทุกประเทศหรือทุกกลุ่มต้องดิ้นรนกันเอง ซึ่งย่อมบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกลไกพหุภาคีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ข้อกังวลของ ศ.ไซเดล สะท้อนให้เห็นว่าการขาดความมั่นใจในพันธมิตรของสหรัฐฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบความร่วมมือระหว่างประเทศอย่าง NATO หรือ WTO เมื่อวอชิงตันห่างเหินจากระเบียบสากล ประเทศขนาดเล็กหรือกลางจึงต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยตนเอง
ผลกระทบต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อยู่ในจุดที่เปราะบางเป็นพิเศษ ด้านหนึ่ง ภูมิภาคอาจได้รับประโยชน์จากนักลงทุนที่มองหาทางเลือกนอกเหนือจากจีน เนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐฯ–จีนทำให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานไปยังเวียดนาม มาเลเซีย หรือแม้แต่ไทย แต่ ศ.ไซเดล เตือนว่า ประโยชน์นี้อาจเป็นเพียงระยะสั้น
“ถ้าทรัมป์ยังคงเน้นใช้นโยบายกำหนดภาษีในวงกว้าง… ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะมองหาโอกาสที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากเรื่องนี้”
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่นิยาม ‘ยุคทรัมป์’ อย่างชัดเจนคือ ‘ความไม่แน่นอน’ ในนโยบาย รัฐบาลอาจสร้างโอกาสให้บางประเทศในระยะสั้น แต่ก็อาจกลับส่งผลเสียในเวลาอันรวดเร็ว
“ดูเหมือนว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังเผชิญความเสี่ยงจากความไม่สอดคล้องและความคลุมเครือในนโยบายแทบทุกด้าน… ความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคงลักษณะนี้ก่อให้เกิดต้นทุนสะสมกับทุกฝ่าย”
นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ประเทศในภูมิภาคยังต้องเผชิญกับการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่อาเซียนเองยังขาดความเข้มแข็งเชิงสถาบันที่จะรวมเป็นเอกภาพ
“อาเซียนยังขาดความเข้มแข็งเชิงสถาบันในเชิงลึก… ผมไม่แน่ใจว่าเพียงแค่บทบาทของอาเซียนเองจะช่วยให้ภูมิภาคฝ่ามรสุมครั้งนี้ไปได้อย่างเป็นเอกภาพหรือไม่”
ดังนั้น แต่ละประเทศจึงหันไปดำเนินนโยบายทวิภาคีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ทั้งสานสัมพันธ์กับสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น หรือสหภาพยุโรปตามความเหมาะสม
ทางเลือกของไทยในสมการที่ซับซ้อน
ผลกระทบของยุคทรัมป์ 2.0 ต่อประเทศไทยชัดเจน เพราะไทยมีทั้งความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ และการพึ่งพาการลงทุนจากจีน การรักษาสมดุลระหว่างสองขั้วอำนาจนี้จึงต้องมีกลยุทธ์ที่รอบคอบ ศ.ไซเดล ชี้ให้เห็นว่า นโยบาย ‘ธุรกรรม’ ของทรัมป์อาจบีบให้ไทยต้องตอบสนองด้วยวิธีที่คำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้น
“หากไทยตัดสินใจจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ หรือเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ นั่นคือตัวอย่างของแนวทาง ‘ธุรกรรม’ ที่ทรัมป์ให้ความสำคัญ… ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่บนความหวาดกลัว—กลัวการถูกตอบโต้หรือถูกลงโทษทางการค้า”
อย่างไรก็ตาม การ ‘เอาใจ’ ทรัมป์เพียงอย่างเดียวไม่อาจเป็นคำตอบในระยะยาว ไทยยังต้องเผชิญกับโจทย์ภายใน เช่น โครงสร้างเศรษฐกิจที่ล้าหลัง ความเหลื่อมล้ำ และ ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ ที่อาจขัดขวางการพัฒนาอุตสาหกรรมมูลค่าสูง เช่น ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์
“ประเทศไทยไม่ควรมองว่าต้องแข่งขันกับมาเลเซียเพียงอย่างเดียวในด้านเซมิคอนดักเตอร์ แต่ควรมุ่งเสริมกันมากกว่า… ควรหาวิธีจัดการห่วงโซ่อุปทานให้สอดคล้องกับมาตรฐานข้อบังคับของสหรัฐฯ พร้อมทั้งยังคงได้รับประโยชน์จากกระแสการลงทุนอยู่ได้”
ศ.ไซเดล จึงแนะให้ไทยไม่ยึดติดกับการแข่งขันแบบ “ชนะ-แพ้” แต่ควรมองหาความร่วมมือและการเสริมสร้างกันในภูมิภาค โดยต้องเข้าใจเงื่อนไขการค้าและข้อบังคับส่งออกของสหรัฐฯ อย่างลึกซึ้ง เพราะตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อแรงกดดันภายนอก
“ถ้ารัฐบาลไทยไม่สามารถผลักดันการเติบโตและหลบพ้นกับดักรายได้ปานกลางภายในปี 2028… บางทีแม้แต่ผู้มีส่วนร่วมในวงการสถาบันอาจตัดสินใจว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง—ที่มีความกล้าหาญทางการเมืองและเศรษฐกิจ—อย่างเร่งด่วน”
เส้นทางที่ต้องเดินอย่างระมัดระวัง
สำหรับไทยและประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การถ่วงดุลระหว่างสหรัฐฯกับจีนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความพลิกผันของนโยบายในยุคทรัมป์อาจเพิ่มความเสี่ยงและโอกาสผิดพลาด แนวทางรับมือที่ชัดเจนควรประกอบด้วย:
- กระจายฐานการลงทุน — ไม่ยึดติดเฉพาะสหรัฐฯหรือจีน แต่ขยายไปยังญี่ปุ่น ยุโรป และหุ้นส่วนอื่น ๆ
- ศึกษากฎระเบียบสหรัฐฯ อย่างละเอียด — โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไฮเทคที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการส่งออกอย่างเข้มงวด
- สร้างกลไกห่วงโซ่อุปทานที่เกื้อกูลกัน — ร่วมมือภายในอาเซียนให้แต่ละประเทศใช้จุดแข็งของตนแทนการแข่งขันกันเอง
- แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศ — ตั้งแต่ปฏิรูปการศึกษา พัฒนาทักษะแรงงาน ไปจนถึงการปรับปรุงระบบการเมือง เพื่อให้พร้อมรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง
‘ยุคไร้ระเบียบโลกใหม่’ (New World Disorder) อาจกลายเป็นความจริง ถ้าแนวโน้มความไม่แน่นอนและนโยบาย ‘ธุรกรรม’ ยังคงเป็นบรรทัดฐาน ท่ามกลางความผันผวนนี้ ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีโอกาส หากสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ดำเนินการปฏิรูปเชิงลึก และสร้างความร่วมมือกับมหาอำนาจด้วยยุทธศาสตร์ที่รอบคอบ
ตามที่ ศ.ไซเดล ชี้ การเคลื่อนไหวแบบระยะสั้นเพื่อ ‘เลี่ยงภัย’ ไม่อาจแทนที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจังได้ สำหรับไทย เส้นทางสู่ความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในโลกใหม่นี้ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์และการปฏิรูปภายในประเทศ รวมถึงความร่วมมือที่แท้จริงกับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้า ‘ยุคทรัมป์ 2.0’ เข้ามาท้าทายเครือข่ายพันธมิตรและระเบียบพหุภาคีอย่างหนักหน่วง ผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำเป็นต้องเร่งสร้างสมดุลใหม่ เพื่อที่ภูมิภาคของตนจะไม่กลายเป็นแค่ผู้ตามในเกมชิงอำนาจระหว่างมหาอำนาจ แต่จะมีบทบาทในการกำหนดอนาคตของตนเองอย่างแท้จริง
ภาพ: Rakchai Duangdee via ShutterStock / Reuters