นับตั้งแต่การสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา พบการปรับฐานลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ โดยปรับตัวลงสร้างระดับต่ำสุดใหม่ในรอบ 5 สัปดาห์ ซึ่งการปรับตัวลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการคลายความกังวลของนักลงทุนต่อประเด็นสงครามการค้า เงินเฟ้อในสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สถานการณ์เช่นนี้หนุนให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นสร้างระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 3 เดือน
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปช่วงที่นักลงทุนรับทราบผลการคว้าชัยของทรัมป์ในการเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวร่วงลงไปเคลื่อนไหวบริเวณต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือน หรือเป็นระดับก่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกที่ 0.50% ของ Fed ในเดือนกันยายน
สถานการณ์ข้างต้นถูกชี้นำด้วยแนวทางการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล การตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ (Universal Tariff) และการกีดกันแรงงานข้ามชาติ ซึ่งถูกประเมินว่าจะทำให้ภาวะทางการคลังของสหรัฐฯ ย่ำแย่ลง และส่งเสริมการค้างตัวในระดับสูงของเงินเฟ้อสหรัฐฯ สร้างความเสี่ยงต่อการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อของ Fed สอดคล้องกับการส่งสัญญาณของ Fed ที่ระบุว่า จะใช้ความระมัดระวังมากขึ้นต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ Fed (FOMC) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 4.25-4.50% ในเดือนธันวาคม
อย่างไรก็ดี คำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ชุดแรกหลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ กลับไม่พบแผนการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับทุกประเทศคู่ค้าที่ 10-20% รวมถึงจีนที่ 60% หรือมากกว่า แม้ยังมีคำสั่งดำเนินแผนการปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่ 25% โดยอาจเริ่มมีผลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ กระนั้นสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นการดำเนินนโยบายด้านภาษีศุลกากรที่ผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับคาดการณ์ของหลายฝ่าย ลดความกังวลของนักลงทุนต่อประเด็นสงครามการค้าและเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เริ่มปรับฐานลง
ทว่าหลังจากนั้นเพียง 1 วัน ทรัมป์กลับมาเร่งดำเนินแผนการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% โดยอาจเริ่มมีผลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เช่นเดียวกับแคนาดาและเม็กซิโก ต่อมาเพียงไม่นานทรัมป์กลับให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่า เขาอาจไม่ได้ใช้มาตรการด้านภาษีศุลกากรกับจีน เนื่องด้วยความเชื่อที่ว่าทั้งสองประเทศจะสามารถทำข้อตกทางการค้าด้วยกันได้
นอกจากนั้น เหตุการณ์การสั่งปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากโคลอมเบียอย่างฉับพลันของทรัมป์ เนื่องด้วยโคลอมเบียไม่อนุญาตให้เที่ยวบินเนรเทศชาวต่างด้าวของสหรัฐฯ ลงจอด แม้มีการยกเลิกในภายหลังตามการโอนอ่อนของโคลอมเบีย แต่นับว่ามีส่วนสะท้อนถึงความพร้อมในการใช้มาตรการด้านภาษีศุลกากรตอบโต้หรือต่อรองกับทุกประเทศของทรัมป์
นอกจากการใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์กับประเทศอื่นแล้ว ยังใช้สำหรับต่อรองกับผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ที่มีฐานการผลิตสินค้าในต่างประเทศด้วย สะท้อนการให้ความเห็นของทรัมป์ที่ว่า เขาอาจเรียกเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ สินค้าด้านเภสัชกรรม และโลหะบางชนิด โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะบีบให้ผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิตมาที่สหรัฐฯ แต่ไม่ได้มีการให้รายละเอียดถึงขนาดการปรับขึ้นดังกล่าว
ขณะเดียวกันทรัมป์ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อแนวทางการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความเห็นของ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดยเบสเซนต์สนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าที่ราว 2.5% ต่อเดือน แต่ทรัมป์ออกมาแสดงความต้องการที่จะให้ปรับขึ้นมากกว่าอัตราดังกล่าว ทั้งหมดข้างต้นสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในแนวทางการดำเนินนโยบายด้านภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ซึ่งมีส่วนทำให้การประเมินผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากแนวทางการดำเนินนโยบายดังกล่าวนั้นมีความไม่แน่นอนตามไปด้วย
ดังนั้นแม้ว่านักลงทุนเล็งเห็นถึงแรงกดดันต่อ Fed ที่เพิ่มมากขึ้น หลังทรัมป์แถลง ณ ที่ประชุม World Economic Forum (WEF) โดยแสดงความต้องการให้อัตราดอกเบี้ยนั้นปรับตัวลง จนนำไปสู่การเพิ่มความเป็นไปได้ของนักลงทุนต่อแนวโน้มที่ Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ 0.50% ในปีนี้ แต่นักลงทุนยังมีแนวโน้มระมัดระวังในการตอบสนองเชิงบวกต่อประเด็นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ตามความเสี่ยงด้านสูงของเงินเฟ้อในสหรัฐฯ
ความระมัดระวังดังกล่าวสะท้อนผ่านการให้ความเป็นไปได้ของนักลงทุนต่อคาดการณ์ที่ Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ไม่เกิน 0.50% ในปีนี้ มากกว่าคาดการณ์ที่ Fed จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้มากกว่า 0.50% ในปีนี้ สถานการณ์เช่นนี้มีส่วนจำกัดระดับการปรับตัวลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนที่จำกัดตามไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี จากความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่มีผลให้เกิดความไม่แน่นอน ทั้งในประเด็นสงครามการค้า เงินเฟ้อในสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ยของ Fed นักลงทุนจึงเล็งเห็นถึงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ราคาทองคำจึงอาจเคลื่อนไหวในระดับสูงต่อไปจากความต้องการซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ภาพ: Adam Bettcher / Stringer / Getty Images