เปิดใจเจ้าของ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ที่ไม่เคยทำธุรกิจอาหารมาก่อน ใช้เวลา 3 ปีขยายร้านมากกว่า 20 สาขา กวาดยอดขายแตะ 1,000 ล้านบาท จนนักลงทุนรายใหญ่รุมจีบ พร้อมย้ำว่าอนาคตจะต้องมีพาร์ตเนอร์ช่วยนำแบรนด์เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
รสรินทร์ ติยะวราพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ฉายภาพว่า ก่อนที่จะมาทำแบรนด์ลัคกี้ สุกี้ หุ้นส่วนทุกคนไม่เคยมีประสบการณ์การทำธุรกิจอาหารมาก่อน แต่มีเป้าหมายอยากลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน และทุกคนต่างหลงใหลในการกินอาหาร จึงมองไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดชาบูและสุกี้ยังมีช่องว่างและโอกาสที่จะสร้างการเติบโต เพราะในวันนี้รู้แล้วว่าชาบูและสุกี้ไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นอาหารที่ผู้คนกินได้บ่อย ยิ่งในสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใสมากนัก ทำให้คนระมัดระวังการใช้จ่าย และเน้นจ่ายกับสิ่งที่คุ้มค่าให้กับตัวเอง
ด้วยแนวคิดดังกล่าว กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดร้านลัคกี้ สุกี้ ที่แปลตรงตัวว่า ‘โชคดี’ สาขาแรกในช่วงเดือนมกราคมที่อ่อนนุช เป็นร้านให้บริการรูปแบบบุฟเฟต์ ราคา 219 บาทต่อคน เปิดถึงตี 2 ของทุกวัน ต้องยอมรับว่าการเปิดร้านช่วงแรกๆ เจอปัญหาหลายอย่าง ทางทีมผู้บริหารพยายามเรียนรู้จากลูกค้าและนำมาปรับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ใช้เวลาอยู่ประมาณ 8 เดือน ถึงเริ่มขยายมาเปิดสาขาที่ 2 ช่วงนั้นการหาโลเคชันยากมาก เพราะแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาด ในวันที่เข้าไปติดต่อขอเช่าพื้นที่ 500 ตารางเมตร เจ้าของพื้นที่เช่ายังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ทุกคนปฏิเสธเราหมด จนถึงวันนี้ชื่อแบรนด์เริ่มติดตลาดแล้ว จึงเริ่มขยายสาขาอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันลัคกี้ สุกี้ มีทั้งหมด 15 สาขา ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ในช่วงเวลาเดียวกันก็เปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ เป็นร้านสไตล์ปิ้งย่างยากินิกุ โดยการบริหารร้านใช้แนวคิดแบบเดียวกับสุกี้ คือคุ้มค่าและเป็นทางเลือกใหม่ มีราคาเริ่มต้น 299 บาท สูงกว่าร้านลัคกี้ ชาบู ประมาณ 50-60 บาท ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 5 สาขา
เรียกได้ว่าภาพรวมของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงวันนี้ครบรอบ 3 ปี มีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ในปีนี้ตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 16-20 สาขา ทั้งลัคกี้ สุกี้ และลัคกี้ บาร์บีคิว โดยสาขาที่เปิดใหม่จะเน้นเปิดในคอมมูนิตี้ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพและต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Real Target ได้อย่างครอบคลุม
รสรินทร์ หนึ่งในหุ้นส่วนของแบรนด์กล่าวต่อว่า การขยายสาขาจำนวนมากนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะการควบคุมมาตรฐานอาหารให้ได้เท่ากันหมด แม้ในวันที่ต้นทุนวัตถุดิบจะสูงขึ้นก็ตาม และอีกสิ่งที่ต้องเจอคือตลาดสุกี้ในประเทศไทยที่มีมูลค่าประมาณ 23,000-25,000 ล้านบาท ท้าทายมากขึ้นจากการแข่งขันที่ดุเดือด และคาดว่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นทุกปี
ดังนั้นในปี 2025 จึงใช้กลยุทธ์เปิดตัว THEMATIC Campaign ‘รักเธอไม่มีหมด’ มุ่งสร้างประสบการณ์ในร้าน ควบคู่กับนำเสนอเมนูและวัตถุดิบ และใช้ระบบ CRM ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดจะช่วยให้แบรนด์รักษาฐานลูกค้าเก่าและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ โดยเป้าหมายของบริษัทต้องการเติบโตเป็นเท่าตัว ทั้งในแง่ของสาขาและยอดขาย
อีกหนึ่งเป้าหมายใหญ่ในอนาคต คือการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ยังไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหน แต่ก็ต้องบอกว่าเมื่อบริษัททำรายได้ถึง 1,000 ล้าน ทำให้มีนักลงทุนรายใหญ่ๆ สนใจที่จะเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์กับเรา ซึ่งพาร์ตเนอร์ที่จะเข้ามาเราจะไม่เลือกมองที่เม็ดเงินอย่างเดียว แต่ต้องมีแพสชันและกลยุทธ์สอดรับกับแผนงานของบริษัท ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์วิ่งไปได้ไกลกว่าเดิม