เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ใครกันคือผู้ออกแบบร้านแฟลกชิปสโตร์สวยๆ ของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำกัน โดยหนึ่งในผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบสถาปัตยกรรมชั้นนำของโลกจะต้องมีชื่อของ Peter Marino สถาปนิกและนักออกแบบชาวอเมริกันวัย 76 ปี ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงจากการออกแบบอาคารและบูติกลักชัวรีให้กับแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ตั้งแต่ Chanel, Dior, Louis Vuitton ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังและแกลเลอรีศิลปะ โดยผลงานของเขามักมีลักษณะที่รวมเอางานศิลปะ วัสดุชั้นดี และการจัดวางแสงเงาเข้าด้วยกันอย่างประณีต เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหนือกว่าการ ‘ซื้อขาย’ ธรรมดา
ในวงการแฟชั่นและการออกแบบรีเทล ชื่อของ Peter Marino มักถูกกล่าวถึงว่าเป็น ‘ผู้สร้างมิติใหม่ให้ร้านค้าเป็นมากกว่าร้านค้า’ เพราะเขาสามารถเปลี่ยนพื้นที่ขายสินค้าให้กลายเป็น ‘ประสบการณ์แบบศิลปะ-สถาปัตยกรรม’ ได้ ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อแบรนด์ลักชัวรีระดับโลกในการตั้งมาตรฐานเรื่องดีไซน์ของแฟลกชิป สถาปัตยกรรม และการบูรณาการศิลปะเข้าไปในพื้นที่เชิงค้าปลีกให้เป็นส่วนหนึ่งของ Storytelling แบรนด์
วันนี้ THE STANDARD POP จะพาทุกคนไปรู้จักผลงานอันโดดเด่นของเขากันว่า ทำไมเขาคนนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นพ่อมดสถาปนิก
CHANEL EMQUARTIER BANGKOK
บูติกดูเพล็กซ์สองชั้นของ CHANEL ที่ EmQuartier กรุงเทพฯ เป็นผลงานล่าสุดของ Peter Marino ในการถ่ายทอดโค้ดความเป็น CHANEL สู่สภาพแวดล้อมเมืองไทย การออกแบบมุ่งสื่อถึงความเป็น ‘อพาร์ตเมนต์’ ของ Gabrielle Chanel ที่ 31 Rue Cambon ผ่านการจัดสเปซภายในที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เส้นสายชัดเจน และวัสดุที่สื่อถึงโค้ดของแบรนด์ เช่น ใช้พื้นผิวที่อ้างอิงถึงผ้าทวีด การตกแต่งด้วยสีขาว ครีม และวัสดุที่สะท้อนถึงมุกและทอง บูติกนี้ถือเป็นการ Reopen พร้อมด้วยงานออกแบบเน้นให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์เหมือนอยู่ในบ้านมากกว่าร้านค้า การไหลของทางเดิน ห้องนั่งคุย ห้องโชว์ ถูกจัดอย่างมีความสัมพันธ์ และมีบรรยากาศที่ผ่อนคลายแม้อยู่ในย่านใจกลางเมือง บูติกของ CHANEL โดย Marino จึงถือเป็นบูติกที่สมบูรณ์แบบในการเล่าความเป็นมาของแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยม
*Photo Credit: CHANEL
LOUIS VUITTON PLACE VENDÔME PARIS
Maison Louis Vuitton บนจัตุรัส Place Vendôme ที่ปารีส คือหนึ่งในโปรเจกต์ที่โดดเด่นที่สุดของ Peter Marino ที่เปิดตัวในปี 2017 อาคารนี้ตั้งอยู่ในสอง Hôtel Particulier ประวัติศาสตร์ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1714 โดยสถาปนิก Versailles, Jules-Hardouin Mansart ซึ่ง Marino ดำเนินการบูรณะภายนอกให้คงอัตลักษณ์ดั้งเดิม ในขณะเดียวกันเขา ‘เจาะ’ พื้นที่ภายในใหม่ทั้งหมด สร้างสเปซแบบ Double-Height เพื่อให้แสงธรรมชาติเข้ามาจากด้านบนและสร้างความโปร่งในอาคาร
ภายในอาคาร Marino ใช้การจัดแสงและวัสดุร่วมสมัย เช่น กระจกและเหล็กกล้า เพื่อสร้างสัมผัสที่ทันสมัยให้กับมวลอาคารหินเก่า งานศิลปะร่วมสมัยถูกจัดแสดงในหลายจุด เช่น ประติมากรรมลูกกลมสีของ Annie Morris บนบันได และภาพวาด Louis Vuitton โดย Yan Pei-Ming รวมถึงสิ่งติดตั้งแสงแบบพิเศษที่ช่วยเสริมให้กับสถาปัตยกรรมโดยไม่ทำให้รู้สึกย้อนแย้งกับตัวอาคารเก่า ถือเป็นการผสมผสานอดีตและปัจจุบันอย่างกลมกลืน และทำให้ผู้มาเยือนรับรู้ว่าแบรนด์ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นประสบการณ์เชิงศิลปะอีกด้วย
*Photo Credit: Stéphane Muratet / Louis Vuitton
BOONTHESHOP SEOUL
แฟลกชิปรายใหญ่ของ Boontheshop ร้านแฟชั่นมัลติแบรนด์ในย่าน Cheongdam ออกแบบโดย Peter Marino เสร็จสมบูรณ์ราวปี 2014–2015 โดยประกอบด้วยสองปริมาตรหินอ่อนสีขาวที่เชื่อมต่อด้วยสะพานกระจก โดดเด่นด้วยดีไซน์ของอาคารเรียบสร้างคอนทราสต์ความสงบและมินิมัลตัดกับสภาพแวดล้อมของเมืองอันวุ่นวาย Marino ให้ความสำคัญกับการจัดสัดส่วนที่ไม่มากเกินไป เขาพยายามหลีกเลี่ยงการโอ้อวดโชว์วัสดุมากเกินไป เน้นความเรียบง่าย โปร่ง แต่มีมิติ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงให้คำจำกัดความว่า Boontheshop ไม่ใช่แค่ร้านค้า แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของรสนิยมที่ยอดเยี่ยมในวงการแฟชั่นเกาหลี ซึ่งหลายแบรนด์ในเอเชียหลังจากนั้นมักอ้างอิงแนวคิดนี้เมื่อต้องการแฟลกชิประดับหรู
*Photo Credit: Yunsuk Shim
CHEVAL BLANC PARIS
โรงแรม Cheval Blanc Paris เป็นส่วนหนึ่งของการรีโนเวตศูนย์การค้า La Samaritaine อันเก่าแก่ โดย Marino รับผิดชอบภายในหลายชั้นของทั้งตัวโรงแรม ร้านอาหาร สปา ฯลฯ ซึ่งเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการช่วงปลายปี 2021 งานนี้โดดเด่นด้วยการผสานโครงสร้างประวัติศาสตร์ของอาคารเบลล์-เอโปคกับดีไซน์ร่วมสมัย เช่น การเลือกวัสดุหรู การใช้กระจก เวิ้งตรงกลาง และการจัดวางศิลปะบางจุดเพื่อสร้างจังหวะสายตา งานออกแบบของเขาไม่ได้แข่งขันกับตัวอาคารดั้งเดิม แต่ทำงานร่วมกับมัน บรรยากาศภายในต้องสะท้อนความสงบและความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ ผลคือ Cheval Blanc กลายเป็นโรงแรมในเมืองที่มีนิยามของงานศิลปะอยู่ในตัว ผู้มาเยือนไม่ได้แค่นอนพัก แต่เดินชมสถาปัตยกรรม ศิลปะ และประวัติศาสตร์ในตัว
*Photo Credit: Alexandre Tabaste
BEIGE ALAIN DUCASSE TOKYO
Beige Alain Ducasse ที่โตเกียวเป็นร้านอาหารที่ผสมผสานโลกอาหารและโลกแฟชั่น ซึ่ง Marino ทำงานร่วมกับเชฟชื่อดัง Alain Ducasse และแบรนด์ CHANEL โดยร้านอาหารนี้ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของตึก CHANEL Ginza งานออกแบบของ Marino ครั้งนี้เขาสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตรในเขตที่พลุกพล่าน การออกแบบเลือกใช้ไม้ หิน และเล่นแสงแทนการใช้โคมไฟ ทำให้ตกแต่งแบบไม่อวดวัสดุแต่สัมผัสได้ถึงรสนิยมที่ลึกซึ้ง พื้นที่ภายในไม่ใช่แค่ห้องอาหารแต่เป็น ‘ห้องนั่งเล่นหรู’ ที่จงใจให้ผู้มาเยือนรู้สึกสงบและใกล้ชิด การตกแต่งมีจุดที่ละเอียด เช่น ความโค้งมนของขอบโต๊ะ ช่องแสงตามเพดาน และการเลือกใช้พื้นผิวที่ให้ความนุ่มนวลต่อสายตา Beige กลายเป็นตัวอย่างการออกแบบร้านอาหารมิชลินที่ไม่ ‘โอ้อวด’ แต่ ‘มีตัวตน’ ทำให้หลายร้านในเอเชียเริ่มให้ความสนใจกับการสร้างประสบการณ์ดีไซน์ควบคู่ไปกับอาหาร
*Photo Credit: CHANEL
LEHMANN MAUPIN GALLERY NEW YORK
Lehmann Maupin เป็นแกลเลอรีศิลปะในย่าน Chelsea ที่ Marino ได้รับมอบหมายให้ออกแบบใหม่ซึ่งกลับมาเปิดอีกครั้งในปี 2018 เขาสร้างพื้นที่แกลเลอรีที่เน้นความยืดหยุ่น ไม่มีเสากลาง และมีฉากผนังสีขาวสะอาดเป็นพื้นฐานสำหรับการจัดแสดงงานศิลปะ การจัดแสงธรรมชาติและไฟเย็นถูกผสานให้ผลงานศิลปะปรากฏโดยไม่ถูกบดบัง ภายในแกลเลอรียังมีห้องสำหรับโปรเจกต์พิเศษ ห้องเก็บงาน และพื้นที่ส่วนตัวสำหรับศิลปิน ทำให้แกลเลอรีนี้ไม่ใช่แค่ที่แสดงงาน แต่เป็นเวทีสร้างสรรค์ที่ศิลปินและผู้ชมสามารถโต้ตอบ Lehmann Maupin เป็นการแสดงให้เห็นว่า Marino ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่เฉพาะในโลกแฟชั่น แต่ยังสามารถออกแบบสภาพแวดล้อมศิลปะให้มีประสิทธิภาพและสุนทรียะได้ เขาจึงถือเป็นอีกหนึ่งสถาปนิกชั้นนำของโลกที่ไม่ว่าใคร แบรนด์ หรือโปรดักต์อะไรก็ตาม ต่างอยากร่วมงานด้วย
*Photo Credit: Manolo Yllera
DIOR AVENUE MONTAIGNE PARIS
แฟลกชิปของ Dior ที่ 30 Avenue Montaigne ได้รับการปรับโฉมโดย Peter Marino โดยเน้นธีมแบบบ้านของ Dior มากกว่าร้านค้าเชิงพาณิชย์ งานออกแบบควบรวมสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกเข้ากับองค์ประกอบทันสมัยอย่างเรียบหรู ห้องโชว์หลายจุดถูกออกแบบให้เหมือนห้องชุดส่วนตัว การไหลของทางเดินภายในถูกคิดมาอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสเรื่องราวของแบรนด์ Marino เพิ่มจังหวะสายตาผ่านการจัดแสง รวมถึงการคัดสรรชิ้นงานศิลปะและวัสดุพิเศษที่มีเรื่องเล่า เพื่อสื่อว่า Dior ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เป็นบ้านศิลปะแห่งความงาม แฟลกชิปของ Dior ไม่ใช่แค่ศูนย์กลางช้อปปิ้งเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ Storytelling บ่งบอก DNA และความเป็นมาของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน
*Photo Credit: Kristen Pelou / Dior