ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อโลกเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่นักร้อง เซเลบริตี้ หรือนางแบบเท่านั้นที่สามารถสร้างอิทธิพลต่อ Gen Z และก้าวเข้าสู่สถานะผู้ทรงอิทธิพล ในแวดวงของฝั่งแฟชั่น แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ Eva Chen (อีวา เฉิน) ติดอยู่ในฐานะผู้ทรงอิทธิพลด้วยอย่างแน่นอน อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารแฟชั่นสู่เจ้าแม่โซเชียลมีเดีย ผู้อยู่เบื้องหลังคอนเทนต์ ฟังก์ชัน และมูฟเมนต์ทางแฟชั่นให้กับแอปพลิเคชัน Instagram
Eva Chen ฉีกกฎบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่นด้วยการใช้โซเชียลมีเดียในการเชื่อมต่อตัวเธอเข้ากับผู้อ่าน จนทำให้เธอเป็นที่พูดถึงและมีฐานแฟนคลับมากกว่าตัวนิตยสารเสียด้วยซ้ำ และด้วยเหตุนี้เอง Anna Wintour ถึงกับต้องดึงเธอมาดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Lucky ด้วยความคล่องและชำนาญการใช้โซเชียลมีเดียของเธอ ก่อนที่ทุกวันนี้จะก้าวมาเป็นหัวหน้าฝั่งแฟชั่นของ Instagram
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนทั้งในและนอกวงการหลงรักผู้หญิงเอเชียผู้ทรงอิทธิพลทางด้านแฟชั่นคนนี้ THE STANDARD POP มาพร้อมคำตอบทั้ง 7 ปัจจัยนั้น
INSTINCT IS KEY
แม้ว่า Eva Chen จะเกิดและโตที่นิวยอร์ก หนึ่งในเมืองหลวงแฟชั่นสำคัญของโลก แต่เส้นทางแวดวงแฟชั่นไม่ได้ง่ายเสมอไป โดยเฉพาะครอบครัวเชื้อสายเอเชียที่อพยพมาอยู่ในสหรัฐอเมริกา เธอจบจาก Johns Hopkins University และมีความตั้งใจอยากประกอบอาชีพหมอตามที่ครอบครัวตั้งความหวังเอาไว้ แต่แล้วทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อเธอได้ลองไปฝึกงานที่นิตยสารแฟชั่นชื่อดัง Harper’s Bazaar และนั่นทำให้เธอค้นพบแพสชันในการทำงานสายแฟชั่น
เธอยอมแลกกับความมั่นคงในสายอาชีพที่เรียนมาเพื่อมาเริ่มต้นงานแฟชั่นในตำแหน่งเล็กๆ อย่างการทำเครดิตคอลัมน์ช้อปปิ้งที่นิตยสาร Lucky ก่อนจะขยับขยายตัวเองไปที่ Teen Vogue ซึ่งที่นั่นเธอได้ดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบิวตี้ ก่อนจะได้รับความไว้วางใจให้กลับมาดำรงตำแหน่งสูงสุดที่นิตยสาร Lucky อีกครั้งในฐานะของบรรณาธิการบริหาร โดย Anna Wintour เป็นคนเลือกเธอเองกับมือ และยังได้ชื่อว่าเป็นบรรณาธิการบริหารที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครือนั้นด้วยวัยเพียง 33 ปีเท่านั้น เราชื่นชมความพยาม ความตั้งใจ และแพสชันของเธอที่พาตัวเธอมาได้ไกลขนาดนี้
LOOKING AHEAD
สิ่งที่ทำให้เธอแตกต่างจากบรรณาธิการคนอื่นๆ ก็คือ Eva ตระหนักถึงพลังของโซเชียลมีเดียในยุคที่หลายๆ คนยังไม่แคร์มากนัก เธอใช้โซเชียลมีเดียเชื่อมกับผู้อ่าน เผยให้เห็นภาพ Behind the Scene แฟชั่นโชว์และงานอีเวนต์ต่างๆ ทลายกรอบธรรมเนียมเดิมของนิตยสารรายเดือนและอุตสาหกรรมแฟชั่นให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จนกลายเป็นเรื่องปกติที่บรรณาธิการหรือคนแวดวงแฟชั่นทำเป็นประจำในที่สุด
ไม่ใช่แค่นั้น Eva ยังใช้โซเชียลมีเดียในการขยายกรอบการทำงานของเธอ และสร้างฐานแฟนคลับของทั้งตัวนิตยสารและตัวเธอเองเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่นในช่วงที่เธอทำงานที่ Teen Vogue เธอใช้ Instagram ส่วนตัวโชว์รูปโปรดักต์บิวตี้ใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้วางจำหน่าย ทำให้คนที่เข้ามาดูรู้สึกตื่นเต้นและอยากจะรู้ว่ามันคืออะไรกัน
INSTAGRAM QUEEN
หลังจากดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Lucky ได้เพียง 2 ปีเท่านั้นก่อนปิดตัวลง ด้วยประสบการณ์การใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างคล่องแคล่วของเธอ ทำให้เธอได้งานที่ Instagram ในตำแหน่ง Head of Fashion ตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่เพื่อเธอโดยเฉพาะเท่านั้น หน้าที่ของ Eva คือการเชื่อมวงการแฟชั่นเข้ากับแอป ในฐานะบรรณาธิการนิตยสาร เธอใช้หน้ากระดาษในการเล่าเรื่องไม่ต่างอะไรกับ Instagram ที่เธอใช้โซเชียลมีเดียแทน
เธอใช้แพลตฟอร์มช่วยดีไซเนอร์หน้าใหม่และแบรนด์ต่างๆ ในการใช้โซเชียลมีเดียให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เธอยังพา Instagram นั่งแท่นสปอนเซอร์อีเวนต์แฟชั่นแห่งปีอย่าง Met Gala ในปี 2021 และ 2022 เชื่อมโซเชียลมีเดียเข้ากับอีเวนต์ปิดอย่าง Met Gala ได้ และยังได้กลับมาทำงานกับหัวหน้าเก่าอย่าง Anna Wintour อีกครั้ง
#EVACHENPOSE
@evachen212 แอ็กเคานต์ Instagram ของเธอมีผู้ติดตามสูงถึง 2.1 ล้านคน เสน่ห์ของเธออยู่ที่ความจริงใจในการโพสต์รูปแต่ละครั้ง ในขณะที่คนอื่นๆ เลือกที่จะลงรูปสวยๆ ที่ถูกปรับแต่งมาแล้วอย่างดี กลับกัน แม้ Eva จะทำงานในอุตสาหกรรมความงาม แต่เธอกลับเลือกจะโพสต์รูปธรรมดาๆ ที่นำเสนอชีวิตวุ่นๆ ของเธอทั้งในฐานะของแม่ลูกสามและเวิร์กกิ้งวูแมน ตั้งแต่รูปรองเท้า กระเป๋า ไปจนถึงร้านพิซซ่าโปรดของเธอเอง จนเกิดเป็นแฮชแท็กดัง #Evachenpose แฮชแท็กที่ช่วงหนึ่งแฟนๆ ของเธอถึงขนาดโพสต์เล่นตามเลย
FASHION + TECH
การเข้ามาทำงานที่ Instagram ของ Eva ไม่ใช่แค่มีหน้าที่นั่งฟรอนต์โรว์ตามงานแฟชั่นต่างๆ เท่านั้น หลังจากที่ Facebook เข้าซื้อกิจการของ Instagram Eva ต้องทำงานโดยตรงกับ Mark Zuckerberg ในการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ที่แฟชั่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ซึ่งเธอก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาฟีเจอร์ เช่น Instagram Reels, Checkout และ IGTV
ไม่ใช่แค่นั้น ในช่วงปีที่ผ่านมา Facebook ได้ประกาศการมาของ Metaverse หรือโลกเสมือนจริง ซึ่ง Eva ถือเป็นอีกหนึ่งแรงกระเพื่อมในการผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้กับอวาตาร์ ซึ่งเธอมองว่ามันคืออนาคตของแฟชั่นที่หลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเองได้เริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเกมโมบายล์อย่าง League of Legends ที่ Louis Vuitton ออกแบบชุดให้กับตัวละครให้ผู้เล่นสามารถซื้อสวมใส่ได้ ซึ่งเธอมองว่าโมเดลนี้น่าจะนำมาใช้กับ Metaverse เช่นเดียวกัน
INSPIRING AUTHOR
อีกหนึ่งความฝันของ Eva คือการได้เขียนหนังสือสำหรับเด็ก ความฝันที่เธออยากทำตั้งแต่สมัยยังไม่มีลูกด้วยซ้ำ แต่เมื่อเธอมีลูกยิ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจอันแรงกล้าที่เธออยากเขียนหนังสือให้ลูกของเธอได้อ่าน เริ่มด้วย Juno Valentine หนังสือผสมผสานระหว่างแฟชั่นแฟรีเทลและไกด์บุ๊กการสร้างพลังให้กับเด็กสาว และเล่มที่สอง Roxy the Last Unisaurus Rex ที่เธอได้แรงบันดาลใจมาจากลูกสาวของเธอ Ren เมื่อเธอได้มาเล่าให้ Eva ฟังว่า เด็กผู้หญิงไม่ควรชอบไดโนเสาร์ แต่ควรชอบยูนิคอร์นหรือตัวละครน่ารักอื่นๆ ซึ่งลูกสาวของเธอชอบทั้งสองอย่าง จึงเป็นที่มาของตัวละครลูกครึ่งระหว่างยูนิคอร์นและทีเร็กซ์
และเล่มล่าสุด I Am Golden ซึ่งเธอนำประสบการณ์โดนเหยียดเชื้อชาติของเธอในวัยเด็กมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ เพื่อให้กำลังใจและรักตัวเองมากขึ้น โดยมีความตั้งใจอยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นสะพานเชื่อมให้เด็กกล้าที่จะคุยกับครอบครัวของตัวเองถึงปัญหา และรู้สึกมีค่ามากพอกับตัวตนของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบไหนก็ตาม
ROLE MODEL OF WORKING MOM
นอกจากจะทำงานตัวเป็นเกลียวแล้ว Eva ยังมีอีกหนึ่งบทบาทนั่นก็คือการเป็นแม่ของลูกทั้งสาม Ren, Tao และ River แม้งานจะยุ่งเพียงใด แต่เธอไม่เคยท้อต่อหน้าที่ของการเป็นแม่เลย เธอเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไว้ว่า การมีลูกทำให้เธอเข้าใจว่าอะไรที่สำคัญต่อชีวิตของเธอมากที่สุด และเธอให้ครอบครัวเป็นลำดับที่หนึ่งเสมอ เธอไม่เคยรู้สึกผิดเลยเมื่อถึงบ้านแล้วจะเลิกตอบอีเมลทันที เพราะเธอได้เต็มที่กับงานที่สุดแล้วก่อนที่จะกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวของเธอเอง
เธอยังกล่าวต่ออีกว่า 3 สิ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิต Work-Life Balance ของเธอ คือ ข้อแรก ต้องกำหนดขอบเขตให้กับตัวเอง ข้อที่สอง ต้องมีเวลาให้ตัวเองด้วย แม้การอยู่กับลูกเธอจะมีความสุขมากก็ตาม แต่การมีเวลาเป็นของตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เช่น งานเขียน ช่วยเติมเต็มความรู้สึกให้เราได้ และสุดท้าย หาทีมซัพพอร์ตที่ไว้ใจได้ ทุกอย่างที่กล่าวมาจะไม่เป็นผลสำเร็จเลยถ้าเราไม่สามารถสื่อสารหรือมีทีมที่เข้าใจสถานะของเรา ซูเปอร์มัมตัวจริง