How It All Started
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Chloé มาจากดีไซเนอร์สาวหัวก้าวหน้าชื่อ Gaby Aghion จริงๆ แล้ว Aghion มีเชื้อสายเป็นชาวอียิปต์ แต่ภายหลังเธอได้แต่งงานกับคนฝรั่งเศสและย้ายสัญชาติเนื่องจากปัญหาเรื่องชาตินิยมในประเทศอียิปต์ หลังจากเดินทางมาที่ฝรั่งเศส Aghion เลือกที่จะประกอบอาชีพในฐานะดีไซเนอร์จากความชื่นชอบและฝีมือการตัดเย็บที่เธอได้เรียนรู้ตั้งแต่สมัยยังเด็ก เธอเลือกตั้งชื่อแบรนด์ว่า Chloé ซึ่งเป็นชื่อของเพื่อนสนิทของเธอ เพียงเพราะฟังแล้วดูเพราะมากกว่าชื่อของเธอ และเปิดตัวแบรนด์ครั้งแรกในปี 1952 โดยมุมมองของ Aghion นั้นแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในยุคนั้น เธอชอบเสื้อผ้าที่ดูอ่อนหวานและรับกับสรีระของผู้หญิงมากกว่าเสื้อสไตล์ 50 ที่เน้นขับทรวดทรงเกินจริง ดีไซน์ที่สร้างชื่อให้กับ Chloé ต้องยกให้กับ ‘Shirt Dress’ ชุดกระโปรงที่อิงดีไซน์มาจากเสื้อเชิ้ต Shirt Dress ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเผยทัศนคติทันสมัยใหม่ให้กับแบรนด์ Chloé จนสามารถฉีกตัวเองออกจากแบรนด์อื่นๆ ได้
Chloé Under Karl Lagerfeld
อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของ Chloé สร้างอิทธิพลในวงการแฟชั่นมาจากงานดีไซน์ของ Karl Lagerfeld ที่เข้ามารับช่วงต่อจาก Aghion ในปี 1965 เพียงแค่ 1 ปีเขาสามารถสร้างซิกเนเจอร์ให้กับแบรนด์ Chloé ผ่านชุด Tertulia เสื้อผ้าที่ใช้ลวดลายศิลปะสไตล์ Art Nouveau วาดมือลงบนชุด ไม่ว่าจะเป็นลายดอกไม้และลายกราฟิก จนกลายเป็นภาพจำของแบรนด์และส่งให้แบรนด์นี้ขึ้นแท่นผู้นำสไตล์ ‘Bohemian’ หรือโบโฮนั่นเอง รวมถึงเสื้อโค้ตสไตล์พลิ้วไหวในช่วงปี 1974 ที่ Lagerfeld ตั้งใจให้เสื้อโค้ตของ Chloé ไม่แข็งทื่อ แต่มีมูฟเมนต์เช่นเดียวกับการสวมใส่เดรสนั่นเอง เสื้อโค้ตสไตล์นี้ยังกลายเป็นไอเท็มหลักของ Chloé จวบจนทุกวันนี้ และเดรส Angkor เดรสที่ได้แรงบันดาลใจจากไวโอลิน ถือเป็นอีกหนึ่งงานดีไซน์ระดับมาสเตอร์พีซของเขา โดยต่อมา Lagerfeld ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งดีไซเนอร์ในปี 1984 เพื่อไปโฟกัสงานออกแบบให้กับ Chanel แต่เขาก็ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญมากๆ ที่ช่วยทำให้แบรนด์ Chloé เป็นที่ยอมรับในฐานะแบรนด์แฟชั่นและสร้างไอคอนิกไอเท็มภาพจำมากมายให้กับแบรนด์ โดย Martine Sitbon มาเป็นผู้รับช่วงต่อจากเขา
Two Great Brits at Chloé
ในปี 1997 ชื่อของ Stella McCartney ถูกเลือกให้เข้ารับตำแหน่งครีเอทีฟไดเรกเตอร์ให้กับ Chloé ด้วยวัยเพียง 25 ปี McCartney ถือเป็นดีไซเนอร์อายุน้อยที่สุดที่ทางแบรนด์เคยจ้างให้รับตำแหน่งนี้ มุมมองของ McCartney แตกต่างจากดีไซเนอร์คนก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง เธอนำเอาความโรแมนติกมาผสมผสานเข้ากับความเซ็กซี่และสไตล์ร็อกแอนด์โรล ทำให้ Chloé ในเวอร์ชันของเธอฉูดฉาด ยั่วยวน และดูมั่นใจ โดยหลังจาก McCartney ลาออกในปี 2001 แบรนด์ Chloé ได้ดัน Phoebe Philo ผู้ช่วยมือขวาของ McCartney ขึ้นรับตำแหน่งครีเอทีฟไดเรกเตอร์แทน การมาของ Philo พลิกให้ Chloé ขึ้นแท่นแบรนด์ระดับโลก ส่งแบรนด์ให้พีคเทียบเท่ากับยุคของ Lagerfeld ที่เคยทำไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน งานดีไซน์ของ Philo ต่างจาก McCartney ตรงที่ผู้หญิงของ Chloé ในเวอร์ชันของเธอดูเท่และ Effortless กว่า ซึ่งตรงกับจริตของสไตล์ French Chic รากฐานของแบรนด์แฟชั่นเฮาส์ในฝรั่งเศส
The ‘It’ Bag
การที่ Philo ทำให้ Chloé ประสบความสำเร็จ นอกจากมุมมองการออกแบบที่เข้าใจ DNA ของแบรนด์และยุคสมัยแล้วนั้น เธอยังสามารถออกแบบกระเป๋า ‘It Bag’ ได้สำเร็จ ในปี 2005 เธอส่งกระเป๋าในชื่อ Paddington กระเป๋าหนังสะพายไหล่ดีไซน์กะทัดรัดที่มีจุดเด่นตรงแม่กุญแจขนาดไซส์ XXL กระเป๋ารุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และยังกลายเป็นไอเท็มโปรดของเซเลบริตี้หลายต่อหลายคน เช่น Sienna Miller, Nicole Richie, Kate Bosworth, Lindsay Lohan และอีกมากมาย โดยในปี 2006 เธอต่อยอดกระเป๋าใบดังอีกครั้งกับรุ่น Edith ซึ่งปรากฏการณ์ It Bag ของแบรนด์ Chloé กลายเป็นต้นแบบของแบรนด์แฟชั่นอื่นๆ ให้พยายามสร้าง It Bag ของตัวเองออกมาให้ได้ เพราะการที่ Philo ทำสำเร็จสามารถพลิกแบรนด์ให้เป็นที่นิยมได้ทันตาเห็น
See by Chloé
ในปี 2001 ทาง Chloé ได้ตัดสินใจเปิดแบรนด์น้องสาว หรือที่เรียกกันในศัพท์เฉพาะวงการแฟชั่นว่า Diffusion Line ในชื่อ See by Chloé โดยมีจุดประสงค์จับตลาดแฟชั่นที่ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า ซึ่ง See by Chloé จะเน้นงานดีไซน์ที่ไม่ซับซ้อนเท่า Chloé แต่ยังคงไว้ซึ่งวิสัยทัศน์แบบ French Chic และกลิ่นอายแบบโบฮีเมียน โดย See by Chloé ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดด้วยงานดีไซน์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าและราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แถมไลน์นี้ยังมีไอเท็มครบในทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า และแอ็กเซสซอรี ซึ่งในปี 2019 ทางแบรนด์ได้ดึง Emily Harris เข้ามาดูแลเรื่องงานดีไซน์ทั้งหมดให้กับแบรนด์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ภายในปี 2026 ทาง Richmont เครือบริษัทผู้ดูแลแบรนด์ Chloé ในปัจจุบันประกาศจะยุบแบรนด์นี้ เพื่อหันไปโฟกัสที่แบรนด์หลักอย่าง Chloé แทน
Female Domination
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม แต่อีกหนึ่งความพิเศษของ Chloé คือเป็นแหล่งรวมตัวของดีไซเนอร์ผู้หญิงเก่ง นอกจาก Lagerfeld แล้วนั้น ดีไซเนอร์ที่ได้รับการยอมรับเป็นที่พูดถึงที่แบรนด์ Chloé ล้วนเป็นผู้หญิงเกือบจะทั้งหมด หลังจาก Philo มีดีไซเนอร์ผู้หญิงอีกหลายคนที่มารับช่วงต่อและสามารถต่อยอด Chloé ในเวอร์ชันของตัวเองจวบจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Hannah MacGibbon ในปี 2008 กับภาพลักษณ์สาว 70 เวอร์ชันแกลม, Clare Waight Keller ในปี 2011 นำเสนอสาว Chloé สไตล์โบโฮสุดโรแมนติก, Natacha Ramsay-Levi ในปี 2017 กับสไตล์ผสมผสานระหว่างโบโฮและฟิวเจอริสติก และ Gabriela Hearst ในปี 2020 กับ Chloé ในเวอร์ชันโฟกัสความยั่งยืน
The New Hope: Chemena Kamali
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา Chloé ได้ประกาศว่า Chemena Kamali จะเข้ามารับบทบาทครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนใหม่ต่อจาก Hearst สำหรับ Kamali นั้นมีประวัติการทำงานที่น่าสนใจมากๆ เธอเคยเป็นหนึ่งในทีมของ Philo ช่วงที่ยังทำงานให้กับ Chloé ก่อนจะกลับมาที่แบรนด์อีกครั้งในฐานะดีไซน์ไดเรกเตอร์ในยุคของ Waight Keller และในปี 2016 ตำแหน่งเดียวกันที่แบรนด์ Saint Laurent ดังนั้นการมาทำงานที่ Chloé ของเธอจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ชวนช็อกแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม Kamali อยู่ในยุคพีคของ Chloé ทั้งสองช่วงเวลา โดยคอลเล็กชันแรกของเธอที่เพิ่งโชว์ไปที่ปารีสช่วง Fashion Week ที่ผ่านมาจึงถือเป็นการรำลึกถึงรากเหง้าของ Chloé ที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี นำกลับมาทำใหม่ในบริบทที่ร่วมสมัยมากขึ้น เดรสพลิ้วไหว รองเท้าบู๊ตสูง รวมถึงเสื้อโค้ตและแจ็กเก็ต ซิกเนเจอร์ของ Chloé ล้วนถูกนำกลับมาอีกครั้งที่ Fall/Winter 2024 คอลเล็กชันของ Kamali ได้รับการพูดถึงและชื่นชมอย่างล้นหลามในความพยายามจะรื้อฟื้นตัวตนของแบรนด์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งเธอก็สามารถทำสำเร็จตั้งแต่คอลเล็กชันแรกเลย