×

500 ชั่วโมงพิสูจน์ความจริง?: เกิดอะไรขึ้นเมื่อชาวอุยกูร์กลับถึงจีน

โดย THE STANDARD TEAM
21.03.2025
  • LOADING...
ชาวอุยกูร์กลับจีน

นับตั้งแต่มีภาพรถตำรวจที่ใช้ขนส่งชาวอุยกูร์ ซึ่งถูกปิดประตูหน้าต่างด้วยเทปดำ รวมถึงรายงานข่าวว่าสายการบิน China Southern Airlines เดินทางมารอรับชาวอุยกูร์ 40 คน ที่ถูกกักตัวอยู่ในไทยมานานกว่า 11 ปี เพื่อพาทั้งหมดไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 27 กุมภาพันธ์

 

เย็นวันเดียวกัน รัฐบาลนำโดย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาแถลงข่าวยืนยันกับสื่อมวลชนว่า ได้ส่งชาวอุยกูร์ 40 คน กลับไปยังจีนจริง ซึ่งเป็นไปตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยรัฐบาลยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง และไม่มีประเทศที่สามยื่นขอรับตัวบุคคลเหล่านี้ไป

 

จนถึงขณะนี้ คณะผู้แทนระดับสูงของฝ่ายไทย รวมถึงสื่อมวลชนบางส่วน ได้เดินทางกลับจากภารกิจติดตามชีวิตชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 มีนาคม เวลาผ่านไปกว่า 500 ชั่วโมง หรือประมาณ 3 สัปดาห์ แต่ความสงสัยยังคงไม่เลือนหายไปจากความคิดของผู้คน

 

แม้จะได้รับการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่คำถามหลายข้อ เช่น ‘เกิดอะไรขึ้นเมื่อชาวอุยกูร์กลับถึงบ้าน’ ‘เหตุใดกระบวนการส่งตัวจึงลึกลับและไม่เปิดเผย’ ‘มีประเทศที่สามยื่นขอรับตัวจริงหรือไม่’ ยังคงไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ และการเข้าถึงข้อเท็จจริงยังคงถูกจำกัด

 

ชาวอุยกูร์กลับจีน

รถตำรวจที่ใช้ขนส่งชาวอุยกูร์ถูกปิดประตูหน้าต่างด้วยเทปดำ

 

ส่งกลับจีน: ปัญหาที่ยังไม่จบ-เริ่มค้นหาความจริงตั้งแต่ชั่วโมงแรก

ข้อสงสัยแรกคือกระบวนการส่งตัวชาวอุยกูร์ออกจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสวนพลู ทำไมต้องปิดทึบรอบคันรถ มีการปิดบังโลโก้ รวมถึงยานพาหนะที่ใช้ ซึ่งไม่ใช่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

แม้จะมีคำชี้แจงจาก พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่าขบวนการทั้งหมดเป็นเทคนิคและยุทธวิธีเพื่อความปลอดภัย ความเรียบร้อย รวมถึงคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ผู้ถูกส่งตัวถึงปลายทางอย่างปลอดภัย โดยเลือกดำเนินการในช่วงกลางดึก เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจราจรของประชาชน และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

 

แต่โดยปกติแล้ว กระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนี้!

 

เนื่องจากตำรวจมีรถควบคุมผู้ต้องหาโดยเฉพาะ แต่ในกรณีนี้กลับใช้รถของกรมราชทัณฑ์ และมีการปิดผนึกหน้าต่าง ประตูอย่างมิดชิดจนผิดสังเกต

 

รศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ เปิดเผยในรายการ THE STANDARD NOW ว่า การส่งตัวผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย หรือผู้ลี้ภัยไปยังประเทศที่สาม ในกรณีที่ไม่มีประเทศใดรับตัว ต้องส่งกลับประเทศต้นทาง หากได้รับการยืนยันเรื่องความปลอดภัย

 

ในปี 2558 ที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ชุดแรกจำนวน 109 คน กลับไปยังจีน พบว่ามีปัญหาเรื่องความไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะเมื่อมีการติดตามกลับไป พบว่าไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ครบทั้งหมด 109 คน จึงทำให้ต้องชะลอการส่งตัวต่อจากนั้น

 

แต่ในกรณีล่าสุดนี้ ทางการจีนรับรองความปลอดภัย และได้ร้องขออย่างเป็นทางการให้ส่งตัวกลับ เนื่องจากชาวอุยกูร์ 40 คนดังกล่าว ไม่มีคดีร้ายแรง และไม่มีประเทศใดที่เหมาะสมจะรับตัวพวกเขา

 

ทั้งตุรกี มาเลเซีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอเมริกา หรือประเทศตะวันตกอื่นๆ ต่างก็ไม่รับ เพราะมีเงื่อนไขว่าผู้ลี้ภัยต้องเดินทางไปทั้งครอบครัว ไม่ใช่เฉพาะบุคคล ขณะเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ก็ไม่อนุญาตให้ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนเช่นกัน

 

รศ. ดร.ปณิธาน ย้ำว่า เหนือสิ่งอื่นใด การส่งกลับต้องเป็นกระบวนการที่เปิดเผย ไม่ควรทำอย่างลับๆ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยมากขึ้น และควรเป็นแนวทางการทูตรูปแบบใหม่คือ ‘การทูตแบบเปิดเผย’

 

“การส่งกลับประเทศต้นทางเป็นเรื่องที่หลายประเทศดำเนินการ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป และออสเตรเลีย ก็มีการส่งกลับเช่นกัน ไทยเองก็พยายามติดต่อประเทศที่สามเพื่อรับตัวชาวอุยกูร์ หลังจากที่เคยเกิดปัญหาในล็อตแรก แต่เรื่องเหล่านี้ไม่มีหลักฐานที่เป็นทางการ เพราะเป็นประเด็นอ่อนไหวของแต่ละประเทศ หากจะประกาศต่อสาธารณะ” รศ. ดร.ปณิธาน กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้มีการบันทึกไว้ แม้แต่บทสนทนาทางโทรศัพท์ แต่ไม่สามารถนำออกมาเปิดเผยได้

 

รศ. ดร.ปณิธาน แนะนำว่า ฝ่ายค้านสามารถใช้สิทธิ์ สส. ในการตรวจสอบว่ารัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์มาจริงหรือไม่

 

รศ. ดร.ปณิธาน ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยยังมีอีกหลายกลุ่มที่รอการส่งกลับ ทั้งในส่วนของชาวอุยกูร์ที่มีคดี และชาวเมียนมากว่าหลายแสนคน ซึ่งติดปัญหาเรื่องการสู้รบในประเทศต้นทาง

 

 

ชาวอุยกูร์กลับจีน

ผู้แทนไทยติดตามชาวอุยกูร์ 40 คน กลับประเทศจีน

 

มีหลักฐานว่าประเทศที่สามเคยขอรับตัวชาวอุยกูร์หรือไม่?

“นี่เป็นสาเหตุที่เราต้องคุมขังเขาไว้นานกว่า 10 ปี เนื่องจากไม่มีประเทศใดรับตัว จริงๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการให้เขาถูกคุมขังอยู่กับเรา สิ่งที่เรากระทำไปอาจไม่เหมาะสมในแง่ของสิทธิมนุษยชน แต่ในเมื่อไม่มีประเทศใดยอมรับ เราก็ต้องดูแลเขาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่ได้หยุดความพยายาม ทุกปีเราพยายามหาแนวทาง แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 10 ปี ก็คงถือว่าเกินพอ อาจเป็นความผิดพลาดของเราตรงจุดนี้ได้”

 

นี่คือคำอธิบายของภูมิธรรมในวันที่มีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน พร้อมการแถลงข่าวยืนยันว่าไม่มีประเทศที่สามขอรับตัวชาวอุยกูร์กลุ่มนี้

 

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม สำนักข่าว Reuters รายงานว่าได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนหลายราย ระบุว่า สหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย เคยเสนอตัวรับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ แต่ทางการไทยเกรงว่าจะเกิดปัญหากับจีน จึงไม่ดำเนินการใดๆ ต่อ

 

ในวันเดียวกัน กัณวีร์ สืบแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ได้ออกมาเปิดเผยชวเลขการประชุมกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ซึ่งระบุว่ามีประเทศที่สาม เช่น สหรัฐฯ สวีเดน และออสเตรเลีย พร้อมรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐาน

 

อย่างไรก็ตาม ในบันทึกการประชุม กมธ.การกฎหมายฯ ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กลับไม่พบข้อความท่อนดังกล่าว

 

มีเพียงเนื้อหาที่ระบุคำชี้แจงของผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศต่อ กมธ.การกฎหมายฯ ว่า “มีคำร้องจากประเทศจีนในหลายโอกาส หลายระดับ ตั้งแต่ชั้นรองปลัดกระทรวงไปจนถึงรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งประเทศไทยต้องพิจารณาและตระหนักถึงหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงยังไม่มีมาตรการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สาม”

 

ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศยังระบุอีกว่า “กลุ่มประเทศตะวันตกบางประเทศ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ร้องขอให้ประเทศไทยไม่ส่งตัวกลับ ดังนั้นในสถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยจึงต้องดูแลคนกลุ่มนี้ต่อไปจนกว่าจะสามารถหาทางออกที่เหมาะสมได้”

 

สาเหตุที่ทำให้หลายประเทศและองค์กรไม่เชื่อ

จากประวัติศาสตร์การกวาดล้างและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีนในปี 2009 มีผู้เสียชีวิตราว 200 คน โดยขณะนั้นทางการจีนได้กล่าวหาว่าชาวอุยกูร์ผู้ต้องการจัดตั้งประเทศของตนเองเป็นผู้ก่อเหตุ

 

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับว่ารับรู้กระบวนการส่งตัวชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนกลับจีนมาโดยตลอด โดยยอมรับว่าในอดีตอาจมีการจัดการที่ผิดพลาด แต่จากการหารือในครั้งนี้ รวมถึงการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการของตนเอง ซึ่งได้พูดคุยกับผู้นำระดับต่างๆ จึงได้รับคำมั่นสัญญาจากทางการจีนว่าทุกคนที่ถูกส่งกลับจะปลอดภัย จึงตัดสินใจดำเนินการส่งตัวกลับจีน

 

“ดิฉันยืนยันว่ากลับโดยสมัครใจ ไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการลากสิ ไม่มีการลาก เดินขึ้นไปปกติ ไม่มีอะไรทั้งนั้น สมัครใจค่ะ” นายกรัฐมนตรียังกล่าวย้ำว่าไม่มีประเทศที่สามขอรับตัวพวกเขา ไทยจึงจำเป็นต้องส่งให้จีน

 

อย่างไรก็ตาม คำยืนยันจากรัฐบาลไทยกลับไม่เป็นผล เมื่อฝ่ายค้าน นักสิทธิมนุษยชน ประเทศมหาอำนาจ และองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ออกมาโจมตีการตัดสินใจของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ เนื่องจากขาดหลักฐานที่ชัดเจนว่าผู้ที่ถูกส่งกลับจะได้รับการดูแลหรือมีเสรีภาพอย่างแท้จริง

 

ปฏิกิริยาจากนานาชาติและองค์กรต่างๆ

 

  • สภายุโรป มีมติประณามประเทศไทย และอาจใช้การเจรจา FTA เพื่อกดดันในประเด็นสิทธิเสรีภาพ
  • สหรัฐอเมริกา ใช้มาตรการจำกัดวีซ่าสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐของไทยที่เกี่ยวข้อง
  • ญี่ปุ่น ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวในไทยให้ระวังพื้นที่เสี่ยงที่อาจเกิดเหตุก่อการร้าย
  • Freedom House ปรับลดระดับประเทศไทยลงเป็นประเทศไม่เสรี
  • สภาอุยกูร์โลก แสดงความยินดีที่สหรัฐฯ ลงโทษประเทศไทยจากเหตุการณ์ดังกล่าว

 

ด้านจีน ฉีหยานจุน รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรค และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ กล่าวกับคณะผู้แทนไทยที่เดินทางไปติดตามชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนว่า

 

“มีบางประเทศติฉินนินทาความร่วมมือระหว่างไทยและจีน ทั้งที่เป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นเรื่องไม่ดี ทั้งที่ทั้งสองประเทศดำเนินการอย่างเข้มงวด สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าสู่ประเทศที่สามโดยผิดกฎหมายถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

 

ฉียืนยันว่าสถานการณ์ในซินเจียงขณะนี้มีความปลอดภัย ชนเผ่าต่างๆ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยในปี 2024 ซินเจียงได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อแสดงให้โลกเห็นถึงความมั่นคงและปลอดภัยของพื้นที่

 

“สิ่งที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกล่าวหาว่ามีการกระทำไม่เหมาะสมกับชาวอุยกูร์ไม่เป็นความจริง หลังจากที่ชาวอุยกูร์ 40 คนถูกส่งกลับจากไทย เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ แล้ว เราได้ส่งพวกเขากลับบ้าน และจะพยายามสร้างอาชีพให้สามารถกลับมามีชีวิตปกติ ขอให้หูและตาที่ท่านได้เห็นช่วยถ่ายทอดความจริงออกไป เพื่อสู้กลับต่อคำกล่าวหาจากประเทศที่สาม”

 

หลักฐาน พยาน เชื่อได้แค่ไหน? เมื่อห้ามเปิดเผยใบหน้าและเสียง

ภารกิจของคณะผู้แทนไทยที่เดินทางไปยังซินเจียงนั้นมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์ว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับไปจะได้รับความเป็นอยู่ที่ดีหรือไม่

 

ข้อมูลจากคณะติดตามชาวอุยกูร์ทั้งคณะแรกและคณะสองมีจุดร่วมกันว่าชาวอุยกูร์ปลอดภัยและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

 

คณะแรก:

ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สองผู้แทนฝั่งไทยที่ร่วมเดินทางกลับพร้อมชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน เปิดเผยในการแถลงข่าวของรัฐบาลเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ว่า ได้ติดตามจนถึงหน้าประตูเครื่องบินอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าชาวอุยกูร์ทุกคนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่มีอาการผิดปกติ

 

คณะสอง:

ในรายงานข่าวจากทีมพูลสื่อมวลชนไทย ตอนหนึ่งระบุว่า “ชายชาวอุยกูร์ได้ชี้ไปที่เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของไทย พร้อมกับเรียกว่า ‘สารวัตร’ และทั้งสองก็ได้จับมือทักทายกัน โดยเจ้าหน้าที่ ตม. ไทยกล่าวแสดงความยินดีที่เขาได้กลับบ้านเกิด”

 

นอกจากนี้ยังมีชายชาวอุยกูร์รายหนึ่งที่วิดีโอคอลกับคณะไทยที่เดินทางไปซินเจียง โดยกล่าวว่าเมื่อได้อยู่กับครอบครัว รู้สึกดีใจและอบอุ่น และตอนนี้ไม่อยากไปประเทศที่สามแล้ว เมื่อถูกถามว่าได้มีส่วนในการตัดสินใจกลับบ้านหรือไม่ ชายชาวอุยกูร์ตอบว่า “ใช่ครับ ข้าพเจ้ามีส่วนในการตัดสินใจ” และขอบคุณผู้ที่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย พร้อมยืนยันว่าเขามีความสุขที่ได้กลับมาอยู่กับครอบครัวของตนเอง

 

ภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ระหว่างการติดตามชีวิตของชาวอุยกูร์ว่า

 

“ภาพที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ขอให้สื่อบางส่วนใจกว้างขึ้นหน่อย หากใครคิดว่ามีการจัดฉากก็ไปหาล่ามมานั่งดูได้ เรื่องนี้พิสูจน์ได้ทั้งหมด เพราะเราทำอย่างโปร่งใส แต่การแสดงความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ เขาไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด บอกให้ร้องไห้ก็ร้องได้ ขอให้ดูภาพ ฟังเสียง ดูสายตา ดูอารมณ์ความรู้สึก ภาพมันตอบได้ทั้งหมด”

 

สิ่งที่ทำให้สาธารณชนยังคงสงสัยและจับตาอย่างใกล้ชิดคือข้อเท็จจริงที่ว่า จีนเป็นผู้ประสานงานการเดินทางทั้งหมด และการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของชาวอุยกูร์ที่กลับไปนั้นมีข้อจำกัดมาก สื่อต่างๆ ต้องเคารพใน ‘สิทธิมนุษยชน’ ตามที่จีนร้องขอ จึงต้องเบลอใบหน้าของชาวอุยกูร์และเจ้าหน้าที่จีน รวมถึงไม่สามารถออกอากาศเสียงของพวกเขาได้แม้แต่เพียงเล็กน้อย

 

“ต้องขอโทษประชาชนคนไทยที่ชมข่าว เนื่องจากต้องเบลอหน้าชาวอุยกูร์ เพราะชาวอุยกูร์และทางการจีนขอความร่วมมือในการนำเสนอข่าว พวกเขาอยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากเป็นบุคคลที่ถูกจับตามองจากสาธารณะ” นี่คือข้อความส่วนหนึ่งที่ภูมิธรรมชี้แจง

 

เสียดาย…บินไปเพื่อตอบโต้ปมจดหมาย

ทีมข่าว THE STANDARD ตั้งข้อสังเกตว่าการเดินทางไปซินเจียงของคณะผู้แทนไทยในครั้งนี้นอกจากจะมีจุดประสงค์เพื่อยืนยันว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับมีความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว คำถามที่หัวหน้าคณะอย่าง ภูมิธรรม เวชยชัย และ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ใช้สอบถามชาวอุยกูร์ยังเน้นย้ำถึงประเด็นว่าไม่มีประเทศที่สามขอรับตัว และไม่มีชาวอุยกูร์คนใดเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ

 

กัณวีร์ สืบแสง ซึ่งเป็นผู้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับจดหมายของชาวอุยกูร์กล่าวว่า ข้อกังขาในเวทีระหว่างประเทศไม่ได้อยู่ที่ว่าเขากลับไปแล้วมีความเป็นอยู่ดีหรือไม่ แต่อยู่ที่ ‘ความสมัครใจ’ ในการกลับประเทศ

 

เขาระบุว่า รัฐบาลควรแสดงหลักฐานว่าชาวอุยกูร์สมัครใจกลับจีน และควรมีการเปิดเผยกลไกที่ใช้ในการประสานงาน โดยเฉพาะกระบวนการพูดคุยระหว่างสถานทูตจีนในประเทศไทยกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) พร้อมตั้งคำถามว่ามีหลักฐาน รูปภาพ หรือวิดีโอใดบ้าง ที่ยืนยันได้

 

กัณวีร์ยังเผยว่า คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ เคยขอภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV) แต่ได้รับคำตอบจาก ตม. ว่าไม่มีการบันทึกไว้ มีเพียงการแสดงผลแบบเรียลไทม์ จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญว่าทุกอย่างไม่มีหลักฐานที่ตรวจสอบได้ และกลายเป็นข้อกังขาใหญ่

 

“ผมเสียดายนะ เสียดายในเรื่องภาษีพี่น้องประชาชนที่ต้องใช้บินไปประเทศจีน แล้วกลับมาเพื่อตรวจสอบแค่จดหมายของผม 3 ฉบับว่าเป็นของจริงหรือไม่ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น” กัณวีร์กล่าว

 

เขายังกล่าวอีกว่า จากการเดินทางของคณะไทย เราได้เห็นเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น ผ่านทางภาพถ่ายและวิดีโอ ซึ่งไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าอีก 30 คนอยู่ที่ใด การ ‘โชว์’ ดังกล่าวไม่ตอบโจทย์ความจริง

 

กัณวีร์ย้ำว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เขาจะใช้เวลา 40 นาที เน้นประเด็นอุยกูร์โดยเฉพาะ และจะนำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงต่อสภา เพื่อชี้ให้เห็นว่ายังมีข้อกังขาอีกมากที่รัฐบาลยังไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจน

 

ภูมิธรรมเยี่ยมเยือน 1 ใน 40 ชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง

 

ความจริงที่ถูกซ่อนไว้: การเดินทางของชาวอุยกูร์

แม้คณะผู้แทนรัฐบาลไทยและสื่อมวลชนจะยืนยันว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับจีนมีความเป็นอยู่ที่ดี ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

 

แต่คำถามสำคัญที่ยังไม่ได้รับคำตอบคือกระบวนการที่นำไปสู่การส่งตัวกลับเหล่านั้นมีความโปร่งใสเพียงพอหรือไม่ และชาวอุยกูร์สมัครใจจริงหรือถูกบีบบังคับทางอ้อม ซึ่งเป็นหัวใจของปัญหาที่ประชาคมโลกกำลังตั้งคำถาม

 

ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการเดินทางตั้งแต่ไทยไปจนถึงจีนยังคงคลุมเครือ ไม่มีเอกสารยืนยัน ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีหลักฐานที่สามารถตรวจสอบได้อย่างอิสระ สิ่งที่ถูกนำเสนอมีเพียงภาพถ่ายและวิดีโอที่จำกัด พร้อมกับข้อจำกัดในการเผยแพร่ภาพและเสียงของผู้ถูกส่งตัว

 

รัฐบาลไทยในฐานะประเทศที่ประกาศตนยึดมั่นในสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมควรแสดงความโปร่งใสอย่างถึงที่สุดในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ เพราะหากไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างรอบด้าน ความพยายามที่รัฐบาลใช้เวลากว่า 500 ชั่วโมง อาจไม่ใช่ ‘การพิสูจน์ความจริง’ แต่กลายเป็นเพียง ‘บุรุษไปรษณีย์’

 

สิ่งที่สูญเสียอาจไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่นจากประชาชนในประเทศ แต่รวมถึงศรัทธาของนานาประเทศที่จับตามองเราอยู่ด้วยความกังวล

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising