×

5 คำถามและ 4 โจทย์ว่าด้วยการสนทนาเรื่อง ‘ความปกติใหม่’ ใน ‘โลกหลังโควิด-19’

30.04.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 mins. read
  • การร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตในการพัฒนาประเทศเป็นสัญญาณดีที่คนจำนวนไม่น้อยในสังคมตื่นตัวและต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนา อย่างไรก็ตาม การร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตดังกล่าวควรต้องได้รับการหนุนเสริมด้วยข้อมูลและหลักวิชาการที่หนักแน่น และผ่านการถกเถียงกันอย่างลึกซึ้งเพื่อให้กิจกรรมดังกล่าวเป็นประโยชน์มากที่สุด และไม่ติดอยู่กับ ‘หลุมพรางทางความคิด’ ต่างๆ
  • การทำความเข้าใจต่อ ‘ความปกติใหม่’ ใน ‘โลกหลังโควิด-19’ มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างมาก เราจึงควรช่วยกันศึกษาให้ดี ไม่ควรด่วนสรุปจากการหาคำตอบแบบผิวเผิน
  • ‘ความปกติใหม่’ ที่เราตั้งเป้าอยากเห็นจะมีต้นทุนสูงเพียงใด เราพร้อมจะจ่ายและสามารถจ่ายได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดใหม่ของระบบเศรษฐกิจไทยที่น่าจะเติบโตช้าลง ในขณะที่รัฐบาล ธุรกิจ และประชาชนไทยจะมีทรัพยากรน้อยกว่าก่อนเกิดโควิด-19 มาก

ในช่วงนี้คำว่า ‘ความปกติใหม่’ (New Normal) เป็นคำที่ได้รับความสนใจในวงกว้าง และมีคนจำนวนมากร่วมกันจินตนาการต่อ ‘โลกหลังโควิด-19’ (Post-COVID World) จนมี ‘คำทำนาย’ ต่างๆ ออกมามากมาย เช่น ต่อไปคนจะนิยมอยู่บ้านเดี่ยวมากกว่าคอนโดมิเนียม เพราะไม่ต้องการใช้ลิฟต์หรือพื้นที่ร่วมกับผู้อื่น ผังบ้านและผังเมืองจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย และพื้นที่ทำงานร่วมกัน (Co-working Space) จะลดความนิยมลงมาก ฯลฯ

 

เช่นเดียวกัน เกิดข้อเสนอจำนวนมากต่อการดำเนินการในอนาคต เช่น เราควรเน้นการพึ่งพาตนเองในการผลิตยารักษาโรค อาหาร และพลังงานมากขึ้น รัฐควรจัดสรรสวัสดิการแก่ประชาชนโดยให้ ‘รายได้พื้นฐานอย่างทั่วถึง’ (Universal Basic Income) และเราต้องปรับออกจากการท่องเที่ยวที่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยวโดยเร็ว 

 

ผู้เขียนเองก็สนใจติดตามเรื่องนี้เหมือนกับหลายท่าน และเห็นด้วยกับคำทำนายเหล่านี้บางเรื่อง แต่ก็มีหลายเรื่องที่ผู้เขียนมีความเห็นต่างอยู่มาก โดยเห็นว่าหลายคำทำนายน่าจะไม่ถูกต้องและมีลักษณะด่วนสรุปเกินไป ซึ่งน่าจะทำให้ข้อเสนอแนะต่อนโยบายของภาครัฐ แนวทางปฏิบัติของภาคธุรกิจ และคำแนะนำสำหรับประชาชนที่จะเกิดขึ้นตามมาไม่มีความเหมาะสม หรือแม้กระทั่งก่อให้เกิดผลเสีย

 

การร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตในการพัฒนาประเทศดังกล่าวเป็นสัญญาณดีที่คนจำนวนไม่น้อยในสังคมตื่นตัวและต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนา อย่างไรก็ตาม การร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตดังกล่าวควรต้องได้รับการหนุนเสริมด้วยข้อมูลและหลักวิชาการที่หนักแน่น และผ่านการถกเถียงกันอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้กิจกรรมดังกล่าวเป็นประโยชน์มากที่สุด และไม่ติดอยู่กับ ‘หลุมพรางทางความคิด’ ต่างๆ

 

ในความเห็นของผู้เขียน มี ‘หลุมพรางทางความคิด’ ที่พบบ่อยอย่างน้อย 5 ประการดังต่อไปนี้

 

ประการแรก การไม่แยกแยะ ‘ความผิดปกติปัจจุบัน’ (Current Abnormal) ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด เช่น การรักษาระยะห่างทางสังคม กับ ‘ความปกติใหม่’ (New Normal) ใน ‘โลกหลังโควิด-19’ เช่น การประชุมผ่านระบบออนไลน์ที่น่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะช่วยลดต้นทุนจากการเดินทาง

 

การไม่แยกแยะประเด็นดังกล่าวตามที่ ดร.สันติธาร เสถียรไทย เคยตั้งข้อสังเกตไว้ อาจทำให้เราเข้าใจผิดไปว่าพฤติกรรมของมนุษย์เราในช่วงผิดปกติในปัจจุบันส่วนใหญ่จะดำรงต่อเนื่องไป ทั้งที่ประวัติศาสตร์ของการเกิดโรคระบาดใหญ่ในอดีตชี้ว่า ในหลายกรณี พฤติกรรมส่วนใหญ่ในช่วงผิดปกติจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว 

 

เช่น มีการศึกษาพบว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลกในช่วงปี 1918-1919 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกหลายสิบล้านคนไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเมืองใหญ่ต่างๆ มากมาย เช่น มหานครชิคาโก นิวยอร์ก และฟิลาเดลเฟีย อย่างที่มีการพูดกันว่าเมืองใน ‘โลกหลังโควิด-19’ จะมีความนิยมในคอนโดมิเนียมลดลง ในขณะที่ความนิยมในบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นมาก เป็นต้น

 

อีกกรณีที่อาจเปรียบเทียบกันได้คือเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ภาคกลาง หลายคนก็เคย ‘ฟันธง’ ว่าบ้านแถวปทุมธานีจะขายไม่ได้แล้ว แต่หลังจากนั้นไปเพียงปีครึ่งก็ปรากฏว่าประชาชนกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลนี้เหมือนเดิม ตามที่ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ผู้บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ไว้

 

ประการที่สอง มีการตั้งเป้าหมาย ‘ความปกติใหม่’ ในลักษณะที่อุดมคติมาก โดยไม่ได้คิดถึงต้นทุนที่จะเกิดขึ้นในการปรับตัวไปสู่ ‘ความปกติใหม่’ นั้น โดยเฉพาะต้นทุนด้านความปลอดภัย หรือการเน้นการพึ่งพาตนเองมากขึ้น (Self Sufficiency) ในด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งยารักษาโรค อาหาร และพลังงาน แม้ว่าต้นทุนของการพึ่งพาตนเองดังกล่าวอาจอยู่ในระดับที่สูงมากจนไม่สามารถเกิดเป็น ‘ความปกติใหม่’ นั้นได้ 

 

เช่น ข้อเสนอให้ประเทศไทยพึ่งพาตนเองด้านอาหารมากขึ้นไม่น่าจะมีความจำเป็น เพราะประเทศไทยพึ่งพาตนเองด้านอาหารได้ในระดับสูงมากอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับสิงคโปร์ซึ่งมีปัญหาดังกล่าว การเพิ่มระดับการพึ่งพาตนเองด้านอาหารให้สูงขึ้นไปอีกจะมีผลทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจด้วยสาขาเกษตรเป็นหลัก ทั้งที่สาขาดังกล่าวมีผลิตภาพโดยรวมต่ำกว่าสาขาเศรษฐกิจอื่นมาก

 

ประเด็นที่เกี่ยวข้องกันก็คือการไม่คำนึงถึงข้อจำกัดใหม่ (New Constraint) ที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะฐานะการคลังของภาครัฐที่จะมีระดับหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นมาก ในขณะที่ความมั่งคั่งของภาคธุรกิจและครัวเรือนก็จะลดลงอย่างมากจากผลกระทบของการยุติกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ และการที่รัฐต้องใช้จ่ายสูงกว่าปกติมากเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งทำให้การปรับเปลี่ยนไปสู่ ‘ความปกติใหม่’ ตามที่บางฝ่ายจินตนาการไว้ เช่น ให้รัฐจัดสรรรายได้พื้นฐานอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน (Universal Basic Income) ไม่สามารถทำได้โดยง่าย เป็นต้น

 

ประการที่สาม การไม่คำนึงถึงเส้นทางการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทั้งที่การพัฒนาเศรษฐกิจมีลักษณะขึ้นกับเส้นทางในประวัติศาสตร์ (Path Dependent) อย่างมาก การปรับเปลี่ยนไปสู่ ‘ความปกติใหม่’ ตามที่บางฝ่ายจินตนาการไว้จึงอาจไม่สามารถทำได้โดยง่าย เช่น ผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวของไทยได้ลงทุนไปมากกับการสร้างโรงแรมสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวหลายสิบล้านคนต่อปี การปรับเปลี่ยนโมเดลในการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ลดจำนวนนักท่องเที่ยวลงขนานใหญ่เพื่อเน้น ‘การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ’ ทำให้เกิดคำถามว่าจะใช้ประโยชน์จากการลงทุนมหาศาลในอดีตดังกล่าวอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเปล่า ในแง่นี้บริการลองสเตย์อาจเป็นทางออกได้บางส่วน เพราะผู้ใช้บริการลองสเตย์หนึ่งคนจะอยู่อาศัยนานเหมือนมีนักท่องเที่ยวหลายสิบคน

 

ประการที่สี่ การไม่คำนึงถึงบริบทใหม่ (New Context) ในเศรษฐกิจการเมืองโลกอย่างเพียงพอ ทั้งที่ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กแบบเปิด (Small Open Economy) ซึ่งต้องพึ่งพาระบบเศรษฐกิจโลกในระดับสูง ดังนั้นการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาของไทยจึงต้องเข้าใจบริบทใหม่ดังกล่าวให้ดี โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารความเสี่ยงในซัพพลายเชนระหว่างประเทศ และการกีดกันการค้าที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในช่วงทศวรรษ 1930 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) ในปี 2008

 

ประการที่ห้า การไม่ระบุข้อสมมติ (Assumption) ที่สำคัญต่างๆ อย่างชัดเจน ทำให้ไม่ทราบว่าข้อสรุปและข้อเสนอต่างๆ นั้นเกิดจากความเข้าใจใด และไม่ทราบว่าจะสามารถใช้ข้อสรุปและข้อเสนอเหล่านั้นได้เพียงใด เมื่อสถานการณ์จริงแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้

 

ข้อสมมติที่สำคัญที่สุดคือเมื่อโควิด-19 ถูกควบคุมได้จนไม่เป็นโรคระบาดใหญ่ในระดับโลก (Pandemic) อีกต่อไป แต่กลายเป็นเพียงโรคระบาดประจำฤดูกาล (Seasonal Epidemic) เช่นเดียวกันกับไข้หวัดใหญ่ ในระยะเวลาที่เชื่อกันว่าประมาณ 12-18 เดือน เนื่องจากมีวัคซีนหรือยารักษาโรคที่สามารถใช้ได้ในวงกว้าง หรือมีประชากรที่ติดเชื้อในระดับมากพอที่ทำให้เกิด ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ (Herd Immunity) แล้วนั้น จะเกิดโรคระบาดใหญ่ในระดับโลกในระดับที่ใกล้เคียงกับโควิด-19 อีกบ่อยเพียงใดในอนาคต เช่น 10 ปีข้างหน้า

 

ผู้เขียนไม่ทราบว่าผู้ทำนาย ‘โลกหลังโควิด-19’ จำนวนมากมีข้อสมมติอย่างไร แต่ดูคล้ายกับเชื่อกันว่าจะมีโรคระบาดครั้งใหญ่แบบโควิด-19 เกิดขึ้นอีกบ่อยครั้งมากในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่ผู้เขียนเชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลกในระดับที่ใกล้เคียงกับโควิด-19 ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าน่าจะลดลงไปมาก เนื่องจากประเทศต่างๆ จะตื่นตัวเตรียมการรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนามากขึ้นหลังการระบาดครั้งนี้ ทำให้สามารถพัฒนาวิธีการตรวจโรค วัคซีน และยารักษาโรคได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการระบาดครั้งใหม่ ซึ่งจะจำกัดขอบเขตในการระบาดของโรคให้อยู่ในวงแคบได้ แม้เชื้อโรคจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาก็ตาม

 

นอกจากนี้การระบาดของโควิด-19 ยังน่าจะทำให้ประเทศต่างๆ เตรียมพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ โรคจากไวรัสอื่น แบคทีเรีย เชื้อราและเชื้อโรคอื่นๆ มากขึ้นด้วย ซึ่งน่าจะทำให้การระบาดของโรคมีโอกาสถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบลงด้วยเช่นกัน

 

ดังนั้นผู้เขียนจึงขอเสนอว่า ก่อนที่เราจะด่วนสรุปว่า ‘ความปกติใหม่’ ใน ‘โลกหลังโควิด-19’ เป็นอย่างไร และเราควรดำเนินการอย่างไรนั้น เราควรต้องถามตัวเองอย่างน้อย 5 คำถามคือ

 

  1. เราใช้ข้อสมมติ (Assumption) อะไรในการวาดภาพอนาคต
  2. เราได้พยายามแยกแยะ ‘ความผิดปกติปัจจุบัน’ (Current Abnormal) ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดออกจาก ‘ความปกติใหม่’ (New Normal) ใน ‘โลกหลังโควิด-19’ หรือยัง
  3. ‘ความปกติใหม่’ ที่เราตั้งเป้าอยากเห็นจะมีต้นทุนสูงเพียงใด เราพร้อมจะจ่ายและสามารถจ่ายได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดใหม่ของระบบเศรษฐกิจไทยที่น่าจะเติบโตช้าลง ในขณะที่รัฐบาล ธุรกิจ และประชาชนไทยจะมีทรัพยากรน้อยกว่าก่อนเกิดโควิด-19 มาก
  4. การสร้าง ‘ความปกติใหม่’ ตามที่เราจินตนาการไว้จะต่อยอดจากการลงทุนสร้าง ‘ความปกติเดิม’ ก่อนเกิดโควิด-19 อย่างไร ทั้งทุนกายภาพและทุนมนุษย์ ซึ่งหาก ‘ความปกติ’ ในสองช่วงเวลาแตกต่างกันมาก เราจะทำอย่างไรไม่ให้การลงทุนมหาศาลในอดีตสูญเปล่า
  5. เราเข้าใจบริบทใหม่ (New Context) ในเศรษฐกิจการเมืองโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไปดีพอหรือยัง ในการจะทำให้เราปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับบริบทใหม่นี้ 

 

การทำความเข้าใจต่อ ‘ความปกติใหม่’ ใน ‘โลกหลังโควิด-19’ มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างมาก เราจึงควรช่วยกันศึกษาให้ดี ไม่ควรด่วนสรุปจากการหาคำตอบแบบผิวเผิน

 

ในความเห็นของผู้เขียน มีโจทย์สำคัญ 4 โจทย์ใหญ่ที่เราต้องช่วยกันขบคิดคือ

  1. โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังการระบาดของโควิด-19
  2. ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
  3. ‘อนาคตที่พึงประสงค์’ ของประเทศไทยใน ‘โลกหลังโควิด-19’ คืออะไร
  4. คนไทยควรทำอย่างไรเพื่อสร้าง ‘อนาคตที่พึงประสงค์’ ดังกล่าวให้เกิดขึ้น

 

การศึกษาโจทย์ที่ 1 และโจทย์ที่ 2 ควรเป็นการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญที่ต้องพยายามทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในโลกและเชื่อมโยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนั้นเข้ากับประเทศไทย โดยต้องวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาล จับประเด็นสำคัญให้ถูก โดยแยก ‘เสียงรบกวน’ (Noise) ออกจาก ‘สัญญาณ’ (Signal) ให้ได้ ก่อนเอาสัญญาณนั้นมาตีความให้เหมาะสม ซึ่งสุดท้ายคงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องใช้การวาดฉากทัศน์ (Scenario) เนื่องจากจะมีทั้งตัวแปรที่ ‘เรารู้แล้ว’ (Knowns) ตัวแปรที่ ‘เรารู้ว่าเรายังไม่รู้’ (Known Unknowns) และตัวแปรที่ ‘เราไม่รู้ว่าเรายังไม่รู้’ (Unknown Unknowns) จำนวนมาก

 

ส่วนการตอบโจทย์ที่ 3 และโจทย์ที่ 4 ต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของคนในวงกว้างและมีกระบวนการสื่อสารกับสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ผลการศึกษาของโจทย์ที่ 1 และโจทย์ที่ 2 เป็นพื้นฐานในการพิจารณา โดยแนวทางในการตอบโจทย์ส่วนนี้ควรทำผ่านกระบวนการระดมสมองที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เกิดความมีส่วนร่วม เพื่อสร้างพลังในการเปลี่ยนผ่าน (Transformation) ไปสู่ ‘อนาคตที่พึงประสงค์’ โดยเฉพาะจากคนหนุ่มสาวที่จะต้องอยู่กับ ‘โลกหลังโควิด-19’ ไปอีกนาน



หมายเหตุ: ข้อเสนอนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘TDRI Policy Series on Fighting Covid-19’
สามารถอ่าน TDRI Policy Series on Fighting Covid-19 โดยคลิกชื่อบทความที่ https://tdri.or.th/category/read-with-tdri/article/

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X