×

5 เกร็ดน่าสนใจ ขุนพันธ์ 3 ปิดไตรภาคฮีโร่ไทยที่เดินทางบนโลกภาพยนตร์มาครบ 10 ปี

22.02.2023
  • LOADING...
ขุนพันธ์ 3

เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วที่คอภาพยนตร์ไทยจะได้ไปติดตาม ‘ภารกิจจับตาย’ ของฮีโร่ไทยใน ขุนพันธ์ 3 ภาพยนตร์แอ็กชันไทยภายใต้การกำกับของ โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ยังคงได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม กลับมาร่วมปิดไตรภาคของ ‘จักรวาลขุนพันธ์’ ที่ออกเดินทางสร้างความสนุกให้แก่ผู้ชมมาอย่างยาวนานถึง 10 ปี 

 

วันนี้ THE STANDARD POP ถือโอกาสชวนทุกคนมาร่วมสำรวจเรื่องราวเบื้องหลังของภาพยนตร์แอ็กชันไทยฟอร์มยักษ์แห่งปีเรื่องนี้ เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนไปร่วมภารกิจจับตายสองเสือภาคกลางอาคมกล้าพร้อมกัน 1 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ 

 

 

1. จากตำนานตำรวจจอมขมังเวทย์ สู่ภาพยนตร์ฮีโร่ไทยที่ออกเดินทางมายาวนานร่วม 10 ปี

 

ขุนพันธ์ นับว่าเป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกเดินทางมอบความสนุกให้กับผู้ชมมาอย่างยาวนานร่วม 10 ปี ด้วยความโดดเด่นด้านฉากแอ็กชันที่ดุเดือด การหยิบนำคาถาอาคมมาประยุกต์เข้ากับฉากแอ็กชันแฟนตาซีได้อย่างลงตัว รวมถึงการนำตำนานเล่าขานของขุนพันธ์ หรือ พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช และเหล่าเสือร้ายที่มีชีวิตอยู่จริง มาเสริมแต่งจินตนาการและต่อยอดจนเกิดเป็นตำนานฮีโร่ไทยที่เปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์ 

 

โดยจุดกำเนิดของ ‘จักรวาลขุนพันธ์’ เริ่มต้นจากการที่ผู้กำกับ โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ ได้อ่านเจอข่าวเกี่ยวกับนายตำรวจจอมขมังเวทย์ที่โด่งดังจากจตุคามรามเทพ จนทำให้เขาเริ่มสนใจเรื่องราวของขุนพันธ์ ผู้ใช้คาถาอาคมในการปราบเสือร้ายในภูมิภาคต่างๆ ของไทย อีกทั้งยังมีแง่มุมการเมือง ความเชื่อ และความเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้โขม ก้องเกียรติ อยากหยิบตำนานของขุนพันธ์มานำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์ 

 

 

“ถ้าถามว่าเราได้หยิบตัวตนของท่านขุนพันธ์มาทำแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ไม่ใช่ครับ ผมให้สัมภาษณ์มาเสมอว่ามันไม่ใช่หนังชีวประวัติ ก็เลยขออนุญาตกับที่บ้านท่านตรงๆ ว่าเราไม่ได้ทำหนังชีวประวัตินะ เราทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ไทย” โขม ก้องเกียรติ เล่าถึงแนวคิดในการนำตำนานของขุนพันธ์มานำเสนอเป็นฉบับภาพยนตร์

 

ไม่นานจากนั้น โขม ก้องเกียรติ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ เจียง-สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ผู้บริหารค่ายสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล ที่ตั้งคำถามว่าทำไมหนังไทยถึงไม่มีภาพยนตร์แอ็กชันแบบแฟรนไชส์ James Bond ที่ตัวละครหลักต้องทำภารกิจบางอย่าง และสามารถต่อยอดเป็นซีรีส์ต่อไปเรื่อยๆ ได้ โขม ก้องเกียรติ จึงอยากนำเสนอตัวละครขุนพันธ์ให้สามารถถูกนำไปต่อยอดในอนาคตได้ อาจจะเป็นการเปลี่ยนตัวละครขุนพันธ์ หรือการส่งไม้ต่อให้กับผู้กำกับคนอื่นๆ มาทำภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ ก็ได้ เพื่อเป็นการเซ็ตอัพอะไรบางอย่างให้กับภาพยนตร์ไทย และด้วยแนวคิดดังกล่าวจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของภาพยนตร์ฮีโร่ไทยอย่าง ขุนพันธ์ 

 

“โปรเจกต์นี้เดินทางมาไกลถึง 10 ปี เราไม่ได้คาดหวัง แต่เราวางแผนไว้ ผมเคยพูดกับทุกคน กับทีมงาน กับทางสตูดิโอว่า ของบางอย่างมันต้องใช้เวลาทำ 10 ปี ผมยังยืนยันว่า ขุนพันธ์ เป็นโปรเจกต์ที่ต้องให้เครดิตกับทีมงาน จนกระทั่งถึง ขุนพันธ์ 3 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือมันเกิดการเรียกรวมตัวทีมงานที่ทำกันมาตั้งแต่ภาคแรก มันเกิดความผูกพันในแง่ของการทำงาน หรือแม้กระทั่งน้องทีมงานใหม่ๆ หลายคนก็สมัครใจที่จะเข้ามา เพราะอยากเข้ามาอยู่ในจักรวาลขุนพันธ์ หลายๆ คนกระตือรือร้นที่จะทำ แต่แน่นอนอุปสรรคมันเยอะมากตั้งแต่ภาคแรกมาแล้ว แต่มันเป็นความเหนื่อย ความยากที่เราเลือก ที่เราพอใจ ซึ่งเราประเมินแล้วว่าผลลัพธ์มันจะคุ้มค่ากับความเหนื่อยที่เราทำไป มันจึงเป็นภารกิจที่มีความสุข” 

 

 

2. ภาพยนตร์ปิดไตรภาคที่พาผู้ชมไปสำรวจ ‘ความเป็นมนุษย์’ ของขุนพันธ์

 

เพื่อสร้างสรรค์เรื่องราวปิดไตรภาคของฮีโร่ไทยให้ออกมายอดเยี่ยมมากที่สุด ทางผู้กำกับโขม ก้องเกียรติ จึงใช้เวลาในการพัฒนาและขัดเกลาภาพยนตร์เรื่องนี้มาอย่างยาวนานถึง 4 ปี ผ่านการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ทั้งบริบททางสังคมในช่วงยุคสงครามเย็น (พ.ศ. 2493-2495) ซึ่งทำให้ภาคนี้มีกลิ่นอายของภาพยนตร์สายลับมากขึ้น รวมถึงการเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง เทคโนโลยีที่ทันสมัยเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และแฟชั่นตะวันตกเริ่มแพร่หลายมากขึ้น 

 

ควบคู่ไปกับการพัฒนามิติของตัวละครขุนพันธ์ เพื่อพาผู้ชมเข้าไปสำรวจแง่มุมของตัวละครที่ลึกซึ้งมากขึ้นและมีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตั้งคำถามต่อ ‘ความดีงาม’ ของตนเอง ซึ่งทางโขม ก้องเกียรติ ได้เล่าถึงปมปัญหาที่ขุนพันธ์ต้องเผชิญในภาคนี้ว่า 

 

“ในภาคนี้สิ่งที่ขุนพันธ์ต้องเผชิญคือวันพิพากษา เพราะถึงแม้กระทั่งในตัวขุนพันธ์เองที่มีการปราบโจรโดยใช้ความรุนแรงมาตลอดเวลา ครั้นพอยุคสมัยเริ่มเปลี่ยน มีคนบอกว่านี่มันเครื่องจักรสังหารของคนรุ่นเก่า มันไม่ใช่ยุคของขุนพันธ์ มันควรจะหมดยุคไปได้แล้วกับวิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ยุคนี้มันคุยกันด้วยศาล คุยกันด้วยเหตุและผล กฎหมายไม่ใช่แบบนั้น ขุนพันธ์ควรถูกพิพากษา เขาไม่ใช่ผู้ดำรงความถูกต้อง เขาคือโจร นี่คือคอนฟลิกต์แรกที่ขุนพันธ์ต้องเจอ และในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญหน้ากับโจรผู้เก่งกาจอีกสองคนคือ เสือมเหศวร และ เสือดำ” 

 

 

ด้าน อนันดา เอเวอริงแฮม ได้เล่าถึงความรู้สึกและความผูกพันที่มีต่อตัวละครขุนพันธ์ที่เขาสวมบทบาทมานานร่วม 10 ปีว่า “เพราะขุนพันธ์คือตัวละครที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว อันนี้ต้องยอมรับ 10 ปีของชีวิตผม มันคือ 1 ใน 4 ของชีวิตที่อยู่กับตัวละครตัวนี้ แล้วถ้าพูดถึงจำนวนปีที่ผมอยู่ในวงการ มันก็คือเวลาครึ่งหนึ่งในวงการที่ผมอยู่กับตัวละครตัวนี้ จะไม่ให้มันซึมเข้ามาในร่างของผมเลยคงเป็นไปไม่ได้ พอเราเดินทางมาถึงปีที่ 10 เราก็คุยกันกับพี่โขมไว้ว่านี่อาจจะเป็นภาคสุดท้ายที่เราทำด้วยกัน บางมุมของตัวละครที่เรารู้สึกว่ายังไม่ได้แตะในสองภาคแรก หรือเกี่ยวกับเรื่องอาคม เรื่องมิชชันต่างๆ เราอยากเห็นมุมมองของท่านในแง่คนหนึ่งคน เราก็เลยคุยกันว่าภาคนี้จะเป็นภาคที่เราได้เห็นด้านที่เป็นมนุษย์มากที่สุดของท่านขุน”

 

 

3. เสือมเหศวร-เสือดำ สองเสือร้ายอาคมกล้าแห่งภาคกลาง

 

นอกเหนือจากเรื่องราวของขุนพันธ์ที่ยังไม่เคยถูกนำเสนอมาก่อน อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของจักรวาลขุนพันธ์คือคู่ปรับตัวฉกาจที่ขุนพันธ์ต้องรับมือ โดยครั้งนี้ผู้ชมจะได้ไปทำความรู้จักกับสองเสือร้ายภาคกลางอย่าง เสือมเหศวร และ เสือดำ ที่ได้สองนักแสดงมากความสามารถอย่าง มาริโอ้ เมาเร่อ และ โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ มาสวมบทบาท 

 

โดยผู้กำกับโขม ก้องเกียรติ ได้วางแผนในการหยิบนำตำนานเสือร้ายของไทยมาเป็นคู่ปรับในแต่ละภาคไว้ตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจกต์ ได้แก่ อัลฮาวียะลู โจรใต้ผู้มีอาคมแก่กล้าที่รับบทโดย น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ใน ขุนพันธ์ (2559) ตามมาด้วยสี่เสือภาคกลางอย่าง เสือฝ้าย และ เสือใบ ซึ่งรับบทโดย พ.อ. วันชนะ สวัสดี และ เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ ที่ถูกนำเสนอไปแล้วใน ขุนพันธ์ 2 (2561) ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเสือมเหศวรและเสือดำ ที่ต่างก็มีอาคมแก่กล้าและแง่มุมที่น่าค้นหาแตกต่างกันไป 

 

“โอ้เขาจะมีลักษณะแบบจารชนสองหน้า มีสองบุคลิก บุคลิกหนึ่งคือเฟรนด์ลี น่ารักมาก ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย ในขณะเดียวกันก็มีความกะล่อนบางอย่างที่มันพลิ้วไหว” โขม ก้องเกียรติ เล่าถึงการได้ร่วมงานกับมาริโอ้ในบทบาทของเสือมเหศวร 

 

“มันเหมือนเราเห็นตัวละครในหนัง Ocean’s Eleven เป็นตัวละครนักปล้นที่ฉลาดมาก ซึ่งมาริโอ้ดูเป็นคนฉลาด มีเคมีในตัว แล้วมาริโอ้กับผมก็สนิทสนมกันดี ทำงานด้วยกันมาแล้วหลายเรื่อง โอ้ก็จะบอกทำงานกับพี่โขมเหนื่อยทุกเรื่อง ไม่เคยให้เล่นอะไรธรรมดาๆ บ้างเลย แต่ก็เป็นความสนุกสนาน ถ้าเราคุยกันเมื่อไร โอ้ก็จะมีการบ้านสไตล์โอ้ ให้โอ้ลองแบบนี้ไหม ซึ่งเราจะชอบให้โอ้เล่นในแบบที่โอ้คิดว่า มันได้เหรอพี่ โอ้ก็สู้อยู่แล้วเต็มที่ ข้อดีก็คือมาริโอ้ไม่งอแง มีความเป็นมืออาชีพ คือเรื่องนี้มันรวมนักแสดงมืออาชีพทุกคน”

 

 

นอกจากนี้ โขม ก้องเกียรติ ยังได้กล่าวชื่นชมโตโน่ที่ทำการบ้านอย่างหนักเพื่อสวมบทเป็นเสือดำว่า “โตโน่มีความคล้ายๆ พี่น้อย คือเขาจะพุ่งเข้าใส่ พลังสูงมาก เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึก แววตา น้ำเสียง แม้กระทั่งสีของฟัน โตโน่เป็นนักแสดงที่มีของแถมเยอะมากครับ วันดีคืนดีก็โทรบอกผมว่า พี่โขม ผมต้องฟันดำนะ เพราะผมค้นข้อมูลมาว่าวันๆ เสือดำจะดูดแต่ฝิ่น ดูดฝิ่นจนฟันดำ และเขาก็มีข้อมูลรองรับด้วย เขาส่งข้อมูลเป็นตัวหนังสือ เป็นประวัติเลยว่าฟันดำจากการดูดฝิ่น และมีฟันทองสองซี่ เขาทำการบ้านมา ซึ่งเราก็รับลูกต่อ ผมชอบนะ เพราะฉะนั้นเสือดำจะต้องฟันดำและมีฟันทองสองซี่ มันก็เลยกลายเป็นพัฒนาการของคาแรกเตอร์ตัวนี้ต่อมาเพื่อให้เห็นฟันทอง เขาถึงได้ชอบแยกเขี้ยว เพื่อให้เห็นฟันทองนิดๆ มันเป็นกิมมิกที่นักแสดงทำการบ้านมา ซึ่งสนุก เวลาทำงานแบบนี้ ผู้กำกับก็จะสนุก นักแสดงก็สนุกที่ได้ร่วมสร้างให้ตัวละครมันมีชีวิตขึ้นมาในโลกภาพยนตร์ครับ”

 

 

4. ผู้กองทัตเทพ ครูนุ่น และ สาวิตรี สามตัวละครใหม่ที่จะมาร่วมภารกิจจับตาย 

 

เพื่อให้ผู้ชมได้สำรวจแง่มุมของขุนพันธ์อย่างครบถ้วนรอบด้านมากกว่าสองภาคที่ผ่านมา ทางผู้กำกับและทีมสร้างจึงได้สร้างสรรค์ตัวละครชุดใหม่ที่จะมาร่วมขยับขยายเรื่องราวให้กว้างขวางมากขึ้น โดยได้ทีมนักแสดงมากฝีมือที่ผู้ชมต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีมาร่วมเสริมทัพ 

 

เริ่มต้นด้วยนักแสดงหนุ่มอย่าง เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ จากซีรีส์ เด็กใหม่ ซีซัน 2 (2564) และ The Up Rank อาชญาเกม (2565) มาสวมบทเป็น ร.อ. ทัตเทพ นายทหารหนุ่มไฟแรงที่มีความเฉลียวฉลาด และเชื่อเรื่องยุทธวิธีมากกว่าเรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำ ซึ่งเอมได้ให้คำนิยามตัวละครของเขาไว้ว่า “ถ้าขุนพันธ์เป็นแบทแมน ทัตเทพก็เป็นโรบิน” 

 

 

พร้อมด้วย ฟ้า-ษริกา สารทศิลป์ศุภา จาก ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (2562) มารับบทเป็น สาวิตรี หมอสาวที่ถูกลักพาตัวมาที่ชุมโจรของเสือมเหศวร เพื่อรักษาชาวบ้านที่กำลังล้มป่วยจากโรคระบาด ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอตัดสินใจเข้าร่วมเป็นพรรคพวกของเสือมเหศวร 

 

และ พลอย-ชิดจันทร์ ห่ง อีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถที่กลับมาแสดงบนจอเงินอีกครั้งในรอบ 15 ปี โดยครั้งนี้เธอจะมาสวมบทเป็น ครูนุ่น ภรรยาที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของขุนพันธ์ และยังเป็นตัวละครที่จะทำให้ผู้ชมได้เห็นแง่มุมที่อ่อนโยนของขุนพันธ์มากขึ้นกว่าเดิม 

 

 

5. ขุนพันธ์ 3 ผลงานที่ทีมงานเบื้องหลังทุกคนทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อส่งให้ ‘จักรวาลขุนพันธ์’ เป็นภาพยนตร์ที่อยู่ในความทรงจำของผู้ชม 

 

นอกจากชื่อของผู้กำกับอย่างโขม ก้องเกียรติ และเหล่านักแสดงนำ ขุนพันธ์ 3 ยังเป็นผลงานที่อัดแน่นไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของทีมงานเบื้องหลังที่มาร่วมสร้างสรรค์ภาพยนตร์ปิดไตรภาคให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด

 

นำโดย ปราเมศร์ ชาญกระแส ผู้กำกับภาพที่เคยร่วมงานกับโขม ก้องเกียรติ มาแล้วใน ขุนแผน ฟ้าฟื้น (2563) มารับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านงานภาพสุดยิ่งใหญ่, วีระพล ภูมาตย์ฝน ผู้ออกแบบฉากแอ็กชันที่จะมารับหน้าที่สร้างสรรค์ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดและเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม

 

ธนะ เมฆาอัมพุท ผู้ออกแบบงานสร้าง และ สุดเขตร ล้วนเจริญ ผู้กำกับศิลป์เจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์จาก แสงกระสือ (2562) มารับหน้าที่สร้างสรรค์โลกของผู้กำกับให้กลายเป็นจริง โดยเฉพาะชุมโจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคกลางที่ถือเป็นฉากไฮไลต์สำคัญของเรื่อง, นิรชรา วรรณาลัย ผู้ออกแบบเสื้อผ้าที่ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์จาก ขุนพันธ์ สองภาคแรก กลับมารับหน้าที่ออกแบบเสื้อผ้าสุดประณีต และ อาภรณ์ มีบางยาง เจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์จาก ขุนพันธ์ 2 มารับหน้าที่แต่งหน้าเทคนิคพิเศษ

 

 

“หนังอย่าง ขุนพันธ์ มันมีทั้งความเป็นอีพิก มีความเป็นหนังคอสตูมดีไซน์ มีวิชวลหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อม มันหลากหลายมาก” โขม ก้องเกียรติ เล่าถึงความรู้สึกหลังจากร่วมเดินทางกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาอย่างยาวนานถึง 10 ปี และความตั้งใจที่อยากให้ภาพยนตร์ชุดนี้อยู่ในความทรงจำของผู้ชม 

 

“จริงๆ แล้วมันคือการผสมผสานของหนังหลายๆ แบบที่มันมาเจอกับ Thai Culture แล้วมันกลายเป็นแอ็กชันไทยๆ ซึ่งมันก็ดันมีความแปลกของภาษาหนังบางอย่างที่ใส่เข้าไปได้ เพียงแต่ว่าเราอาจไม่ค่อยเห็นผลิตกัน เพราะว่ามันทั้งยากและเหนื่อย มันหนักในทุกองค์ประกอบ เราวางมันอย่างละเอียดทุกอย่าง เราเห็นแม้กระทั่งว่าสกอร์ธีมของดนตรีก็เหมือนสมัยเด็กๆ ที่เราเคยได้ยินเสียงดนตรีประกอบของ Indiana Jones ภาพตัวละคร Indiana Jones มันก็ปรากฏขึ้นมาในสมองเราทันที แล้วเราก็ใฝ่ฝันว่าเราอยากทำแบบนั้นให้มันเกิดขึ้นในประเทศนี้กับหนังไทยบ้าง เมื่อไรที่ธีมเพลง ขุนพันธ์ ขึ้นมาก็ เฮ้ย ภาพของขุนพันธ์มันปรากฏขึ้นในหัวของเด็กๆ ในเจเนอเรชันใหม่ๆ ขึ้นมาเลย หน้าอนันดามีหนวดเขี้ยวโผล่ขึ้นมาเลย มันคือคุณค่าของงานชิ้นนี้ที่พวกเราลงแรงลงใจที่เราจะทำกันไป 

 

“เพราะฉะนั้นการปิดท้ายไตรภาคของ ขุนพันธ์ ถึงต้องใช้เวลา 10 ปีในการที่เรากรุยทางกันมาจนเราปิดผนึกมันได้อย่างเต็มที่ และเราเชื่อว่ามันเป็นการปิดเพื่อเติบโตมากกว่าในอนาคต มันคือหนึ่งในความหลากหลายของหนังไทยที่มีทั้งกลิ่นอายความเก่าและความใหม่ แต่คำว่าเก่าไม่ได้แปลว่ามันต้องเชย อย่างบางทีเราหยิบยืมภาษาหนัง รูปแบบของความเก่ามาใช้ แต่ประเด็นที่เราพูด เราเชื่อมั่นว่ามันไม่เชย มันทันสมัย มันเป็นปัจจุบันมากๆ ด้วยซ้ำ ต่อให้มันเป็นหนังพีเรียดก็ตาม”

 

รับชมรายการ On That Day EP.33 อนันดา เอเวอริงแฮม 40 ปีที่ทำให้รู้ว่า ศูนย์กลางจักรวาลไม่ใช่เรา ได้ที่: 

 

 

รับชมตัวอย่างได้ที่: 

 

 

ภาพ: สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X