ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กระแสรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีจำนวนเพิ่มขึ้น เห็นได้จากยอดจดทะเบียนของกรมการขนส่งทางบกตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 พบว่า มีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนอยู่ที่ 31,738 คัน ซึ่งโตกว่าปี 2565 ถึง 3 เท่า
การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐบาล ที่ออกมาตรการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ พร้อมให้ส่วนลดราคาจำหน่ายสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถที่ลงนามร่วมกับรัฐบาล 150,000 บาท และภาษีนำเข้าอัตราพิเศษ ทำให้ราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าถูกลงจนประชาชนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสร้างความสนใจให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทยมากขึ้น
และอีกเหตุผลหนึ่งที่ประชาชนให้ความสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นคือ ราคาน้ำมันที่มีความผันผวนสูง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงขึ้น โดยเฉพาะหากใช้เส้นทางประจำวัน ซึ่งการเลือกรถยนต์ไฟฟ้านับเป็นทางเลือกที่มองว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้
ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้แนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ รวมทั้งระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งที่สามารถวิ่งได้ ให้ครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น THE STANDARD WEALTH จึงคัดรถยนต์ไฟฟ้า 5 รุ่นในงบเริ่มต้น 600,000 – 999,999 บาท และไม่ได้แบ่งเซกเมนต์ เพื่อเป็นข้อมูลในการเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับรูปแบบการใช้งานของคุณมากขึ้น
1. NETA V ราคา 549,000 บาท
NETA ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน รุกตลาดในประเทศไทยด้วยการแนะนำ NETA V รถยนต์ไฟฟ้าทรง 5 ประตู ขณะที่พละกำลังมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนหน้า 95 แรงม้า แบตเตอรี่ขนาด 40.7 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่สามารถวิ่งได้ 384 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ส่วนกระแสไฟที่รองรับ หากเป็นกระแสไฟสลับ (AC) จะรองรับ 6.6 kW ส่วนการชาร์จเร็ว (DC) รองรับ 45 kW ด้านราคาภายหลังเข้าร่วมรับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 549,000 บาท
2. ORA Good Cat ราคา 828,500-959,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้าทรงแฮตช์แบ็ก 5 ประตู จากแบรนด์ ORA ในเครือ Great Wall Motor ที่ชูความน่ารักด้วยดีไซน์ภายนอกซึ่งได้แรงบันดาลใจจากแมว ตั้งแต่ไฟหน้าทรงกลมแบบ LED ตัวรถที่มีความโค้งมน ส่วนภายในมาพร้อมจอขนาด 10.25 นิ้ว และการจัดสรรพื้นที่ให้มีความโปร่ง กว้าง ขณะที่พละกำลังมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนหน้า 143 แรงม้า แบตเตอรี่ขนาด 63.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่สามารถวิ่งได้ 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ส่วนกระแสไฟที่รองรับ หากเป็นกระแสไฟสลับ (AC) จะรองรับ 6.6 กิโลวัตต์ ส่วนการชาร์จเร็ว (DC) รองรับ 80 กิโลวัตต์ ด้านราคาภายหลังเข้าร่วมรับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ราคาอยู่ที่ 828,500 บาทในรุ่น 400 PRO และ 959,000 บาทในรุ่น 500 ULTRA
3. MG ES ราคา 959,000 บาท
MG มีรถยนต์ไฟฟ้าทรงแวกอน 5 ประตู ในชื่อ ES ที่ชูจุดเด่นเรื่องความกว้าง จุสัมภาระเยอะ และการใช้งานที่รองรับคนทุกกลุ่มได้ ด้านพละกำลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้า 177 แรงม้า แบตเตอรี่ขนาด 51 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่สามารถวิ่งได้ 412 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ส่วนการชาร์จ หากเป็นกระแสไฟสลับ (AC) จะอยู่ที่ 11 กิโลวัตต์ ส่วนการชาร์จเร็วรองรับสูงสุด 87 กิโลวัตต์ ขณะที่ราคาจำหน่ายหลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอยู่ที่ 959,000 บาท
4. MG4 ราคา 869,000-969,000 บาท
รถยนต์ทรงแฮตช์แบ็ก 5 ประตู ที่ชูจุดเด่นรถ EV ขับเคลื่อนล้อหลังรายแรกในตลาด เอาใจผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ และตัวรถถูกพัฒนาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในแต่ละรูปแบบและตัวถังตามการใช้งาน มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งด้านหลัง พละกำลัง 170 แรงม้า แบตเตอรี่ขนาด 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ 425 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จไฟกระแสสลับ (AC) 66 kW ส่วนการชาร์จเร็วรองรับสูงสุด 80 kW ขณะที่ราคาหลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอยู่ที่ 869,000 บาท และ 969,000 บาท
5. BYD Dolphin ราคา 699,999-859,999 บาท
น้องเล็กผู้เล่นรายใหม่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV อย่าง BYD Dolphin ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จุดเด่นคืองานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากโลมา ตัวรถขนาดกะทัดรัด ส่วนพละกำลัง ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้า มีให้เลือก 2 แบบ คือ 95 แรงม้า แบตเตอรี่ความจุ 44.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ 410 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และ 204 แรงม้า แบตเตอรี่ความจุ 60.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ 490 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ด้านราคาหลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอยู่ที่ 699,999 บาท และ 859,999 บาท
อ้างอิง:
