ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา หรือแม้กระทั่งการลดน้ำหนัก เราย่อมประสบปัญหาในการเดินหน้าสู่เป้าหมายของเราด้วยกันทั้งสิ้น แต่ความจริงแล้ว นี่คือสิ่งที่นักกีฬาระดับตำนานต้องพบเจอกันทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะก้าวขึ้นไปสู่นักกีฬาระดับสูงสุด
วันนี้ THE STANDARD จะพาไปดูหนทางการเอาชนะอุปสรรคหรือคำสบประมาทต่างๆ ของยอดนักกีฬาทั้ง 5 คนว่าพวกเขาเอาชนะปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร
“คุณเกิดมาพร้อมกับปัญหาสุขภาพ”
ยูเซน โบลต์ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก และเขาพิสูจน์ตัวเองด้วยการคว้า 8 เหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิก 3 สมัย แต่เบื้องหลังรอยยิ้มแห่งความสำเร็จที่มักจะเป็นภาพติดตาของพวกเรา ความจริงแล้วโบลต์เกิดมาพร้อมกับปัญหากระดูกสันหลังคดตั้งแต่เด็ก
“ช่วงแรกของอาชีพที่ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับการรักษา โรคนี้ทำร้ายผมมาก เพราะผมได้รับบาดเจ็บทุกปี” โบลต์ได้ให้สัมภาษณ์กับ ESPN เมื่อปี 2011
แต่โบลต์ก็พบเจอกับทางออก โดยมุ่งเน้นที่จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพื่อทำให้หลังมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยเขาใช้เวลาประมาณ 90 นาทีในยิมทุกวัน แต่ในระหว่างการยกเวตเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โบลต์ก็ต้องระวังในการไม่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่มากเกินไป เพราะมันจะส่งปัญหาต่อความเร็วในการวิ่งของเขา
สุดท้ายเขาก็สามารถสร้างกล้ามเนื้อหลังช่วงล่างและกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้แข็งแรงจนสามารถลงแข่งขันได้โดยไม่มีปัญหาที่กระดูกสันหลัง
“ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมยังไม่มีปัญหาเรื่องหลัง แต่พอโตขึ้น อาการของผมก็แย่ลง กระดูกสันหลังผมโค้งเป็นรูปตัว S แต่ถ้าผมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้แข็งแรง ก็ทำให้อาการกระดูกสันหลังคดไม่สามารถทำอะไรผมได้ ผมไม่ต้องกังวลกับอาการนี้ ถ้าผมทำงานหนัก”
สถานการณ์ของโบลต์เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่าคุณสามารถทำอะไรก็ได้ ถ้าคุณมีความมุ่งมั่นและตั้งใจพอที่จะทำมัน
อย่าปล่อยให้คำพูดของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคุณเตี้ยเกินไป หรือผอมเกินไป มาตัดสินอนาคตหรือเป้าหมายที่คุณต้องการได้
“คุณเตี้ยเกินไป”
เป็นคำสบประมาณที่หากบอกว่านักบาสเกตบอลระดับโลกเคยถูกพูดถึง คุณคงไม่เชื่อ แต่นี่เป็นเรื่องจริงของ สตีเฟน เคอร์รี นักบาสเกตบอลจากโกลเดน สเตต วอร์ริเออร์ส เคอร์รีถือว่าเป็นนักบาสเกตบอลที่มีความสามารถพิเศษคือการชู้ต 3 แต้มได้จากเกือบทุกมุมของสนาม และเป็นกำลังสำคัญของทีมในการคว้าแชมป์บาสเกตบอล NBA สองสมัย จากการเข้าชิงทั้งหมด 3 ฤดูกาลล่าสุด
แต่ความจริงแล้วในช่วงมหาวิทยาลัย เคอร์รีประสบปัญหาอย่างหนักเรื่องของความสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของเขาเป็นอย่างมาก
“ในช่วงปี 1 ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสามารถเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลในระดับตัวแทนของมหาวิทยาลัยได้ และสิ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดในชีวิตอย่างหนึ่งคือการไม่ได้ไปคัดตัวแทนนักกีฬามหาวิทยาลัยในปีนั้น”
เคอร์รีได้เล่าประสบการณ์ของเขาให้กับ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเก่าของเขา Charlotte Christian School ในนอร์ธแคโลไรนา สหรัฐอเมริกา
ย้อนไปช่วงมัธยมปลาย เคอร์รีต้องใส่เสื้อหมายเลข 20 เพราะหมายเลข 30 (ที่เขาใส่ในปัจจุบัน) ใหญ่เกินไปสำหรับเขา และเขามีความสูงเพียงแค่ 170 เซนติเมตรเท่านั้น แต่จากการช่วยเหลือของคุณพ่อ เดลล์ เคอร์รี ซึ่งเป็นนักบาสเกตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดใน NBA และเป็นคนที่ชู้ตแม่นที่สุดในลีก เคอร์รีเติบโตมาด้วยการฝึกซ้อมบาสเกตบอลในสนามบาส NBA และมีโอกาสได้เล่นแบบตัวต่อตัวกับวินซ์ คาร์เตอร์ นักบาสเกตบอลระดับ Hall of Fame ตั้งแต่เด็กๆ
แม้ว่าเขาจะมีโอกาสได้ฝึกซ้อมมากกว่าคนอื่น ในช่วงมัธยมก็ยังมีหลายคนเชื่อว่าเขาไม่มีอนาคตในกีฬาชนิดนี้ เนื่องจากเขาเตี้ยเกินไป แต่เคอร์รีกลับไม่ได้มองความสูงของตัวเองเป็นอุปสรรคที่กั้นขวางระหว่างเขากับเป้าหมาย
แต่กลับเป็นความสูงของการชู้ตลูกที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยเคอร์รีแก้ไขท่าชู้ตของตัวเองให้มีองศาสูงขึ้น เพราะปกตินักบาสในระดับ NBA จะชู้ตลูกออกจากมือที่ 45 องศา ขณะที่เคอร์รีชู้ตที่ 50 องศา เพื่อเป็นการชดเชยความสูงของตัวเขาที่มีน้อยกว่านักบาสคนอื่นๆ และลดการโดนคู่แข่งปัดลูกได้
การแก้ไขในครั้งนั้นไม่ได้แค่ช่วยให้เขาสามารถต่อกรกับนักบาสคนอื่นๆ ที่สูงกว่า แต่ยังช่วยส่งเขาขึ้นไปในระดับสูงสุด ทุกวันนี้เคอร์รีเป็นนักบาสที่ขึ้นชื่อว่าชู้ต 3 แต้มได้แม่นยำที่สุด บางคนเชื่อว่าแทบจะเป็นคนที่ชู้ตแม่นที่สุดตลอดกาล เนื่องจากองศาการชู้ตที่สูงขึ้นช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกจะลงห่วงได้ง่ายขึ้น รวมถึงเขายังเป็นคนที่พัฒนารูปแบบการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่เป็นปัญหาในการเล่นของเขา
“ประสบการณ์ในช่วงปี 1 ของมหาวิทยาลัยได้สอนผมว่า อย่าปล่อยให้คำพูดของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคุณเตี้ยเกินไป หรือผอมเกินไป มาตัดสินอนาคตหรือเป้าหมายที่คุณต้องการได้”
ผมทำตามวินัยโดยไม่คิดว่ามันเป็นการเสียสละ แต่มันเป็นความรับผิดชอบในอาชีพของผม ผมรักในสิ่งที่ผมทำ และผมอยากจะทำมันไปนานๆ
“คุณอายุมากเกินไป”
เป็นคำที่ ทอม เบรดี นักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ตำแหน่งควอเตอร์แบ็กของนิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ มักจะพบเจอทุกครั้งผ่านสื่อกระแสหลักก่อนฤดูกาลจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เนื่องจากเบรดีเป็นควอเตอร์แบ็กคนเดียวที่ยังลงเล่นได้ในวัย 40 ปี แต่เขาได้ลบคำสบประมาทด้วยการคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์สมัยที่ 5 ให้กับทีมได้เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ในขณะที่มีอายุ 39 ปีบริบูรณ์
หากจะมองหาเหตุผลของความสำเร็จในวันนี้ของเบรดี อาจต้องย้อนไปที่คำพูดของทอม แม็กเคนซี อดีตโค้ชทีมฟุตบอลระดับมัธยม ซึ่งเขาเคยเคยกล่าวกับเบรดีว่า “เราต้องต่อสู้เพื่อทุกอย่างในชีวิต ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ” และดูเหมือนว่าเบรดีจะเลือกใช้ชีวิตของเขาตามคำสอนนั้นมาตลอด
เบรดีเป็นนักกีฬาที่กระหายความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง รวมถึงมีรายงานว่าเบรดีมักจะขอใช้สนามฝึกซ้อมเพียงคนเดียวหลังจากที่ซ้อมร่วมกับทีม เพื่อหาโอกาสพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
แต่อีกสิ่งที่เบรดีมีนั้นคือระเบียบวินัย เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ CBS Sports ว่าทุกวันเขาจะเข้านอนเวลา 20.30 น. และตื่นเวลา 5.30 น
“ผมไม่คาดหวังว่าวันที่นอนตอนตี 1 แล้วตื่นตี 5 จะทำให้อะไรสำเร็จได้ในวันนั้น เพราะอาชีพของผมสำคัญมาก ผมทำตามวินัยโดยไม่คิดว่ามันเป็นการเสียสละ แต่มันเป็นความรับผิดชอบในอาชีพของผม ผมรักในสิ่งที่ผมทำ และผมอยากจะทำมันไปนานๆ” เบรดีได้เปิดใจถึงความรับผิดชอบต่ออาชีพของเขา
นอกจากนี้เบรดียังจ้างนักโภชนาการอาหารมาดูแลการกินของเขาทุกมื้อ เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้ดีที่สุด
“ผมต้องตัดสินใจให้ดี เพราะตอนนี้ไม่มีนักกีฬาวัย 39 ปีคนไหนลงเล่นในสนามได้แล้วนอกจากผม เพราะฉะนั้นผมต้องทำอะไรที่แตกต่างออกไป”
ไม่สำคัญว่าคุณจะอายุมากขนาดไหน คุณต้องเตรียมพร้อมที่จะวิจารณ์และพัฒนาตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีก
“คุณคงทำดีกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ”
เคยไหมที่เวลาทำงานเสร็จหรือปิดโปรเจกต์ใหญ่ได้ คุณก็มุ่งเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจว่าที่ผ่านมาเคยทำผลงานได้ดีขนาดไหน หรือคิดว่าเราคงไม่สามารถทำผลงานให้ดีกว่านี้ได้แล้วล่ะ แต่นั่นไม่ใช่ เพย์ตัน แมนนิง อดีตควอเตอร์แบ็กระดับตำนานของเดนเวอร์ บรองโกส์ ที่มักจะศึกษาเทปของฤดูกาลที่ผ่านมาทุกครั้งเพื่อหาจุดอ่อนและพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก
แมนนิงศึกษาเทปการแข่งขันในอดีตเพื่อหาจุดที่เขาต้องแก้ไข แม้ว่าเทปนั้นจะเป็นการบันทึกความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวดมากขนาดไหนก็ตาม แมนนิงก็จะกลับไปดูเพื่อศึกษามันอีกครั้ง
“หากคุณคิดว่ามันไม่สำคัญ หรือคิดว่าไม่จำเป็นต้องศึกษาความผิดพลาดในอดีต ผมบอกเลยว่าคุณกำลังคิดผิด เพราะคุณจำเป็นต้องดูข้อผิดพลาดของตัวเอง แม้ว่าจะรู้สึกแย่กับมันก็ตาม ไม่สำคัญว่าคุณจะอายุมากขนาดไหน คุณต้องเตรียมพร้อมที่จะวิจารณ์และพัฒนาตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีก”
“คุณจะไม่สามารถเดินได้อีก”
เรื่องนี้ต้องบอกก่อนว่าสถานการณ์ของทุกคนไม่เหมือนกัน และคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญย่อมสำคัญที่สุด แต่เรื่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาที่หมอเคยบอกว่า เขาจะต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต
โจนาห์ โลมู คือยอดนักรักบี้ระดับตำนาน ปีกที่มีความสูง 196 เซนติเมตร และหนัก 120 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นนักกีฬารักบี้ที่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากมีทั้งความใหญ่และความเร็ว
ด้วยพรสวรรค์และพละกำลังที่เขามี เขากลายเป็นคนที่ติดทีมชาตินิวซีแลนด์ ออลแบล็ก ที่อายุน้อยที่สุดในวัย 19 ปี 45 วัน ตลอดการเป็นทีมชาติ เขาเป็นคนที่ทุกคนกลัว เพราะพละกำลังมหาศาลบวกกับความเร็ว ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะหยุดเขา จนสุดท้ายเขาก็ก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในนักรักบี้ที่เก่งที่สุดในโลก
แต่แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเขาได้รับข่าวร้ายว่าตัวเองป่วยเป็นโรคไตเนโฟรติก (Nephrotic Syndrome) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับไตของเขา และหลังจากการประกาศพักการแข่งขันรักบี้ ทาง NZRU หรือ สหพันธ์รักบี้นิวซีแลนด์ได้ประกาศว่า โลมูต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ผลของการฟอกไตครั้งนี้ทำให้โลมูเกิดอาการแทรกซ้อนคือปลายประสาทที่ขาและเท้าอักเสบ ซึ่งแพทย์ที่ดูแลโลมูอยู่ขณะนั้นก็ได้แจ้งข่าวร้ายว่า หากไม่มีการผ่าตัดเปลี่ยนไตในเร็ววันนี้ โลมูคนที่ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวที่สุดในสนามรักบี้อาจต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต
โลมูยอมรับว่าทำใจไม่ได้ในวันที่หมอบอกว่าเขาต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต แต่เขาไม่ยอมให้อะไรมาขวางทางเดินสู่เป้าหมายของตัวเองได้ จนสุดท้ายเขาก็สามารถกลับมาทำในสิ่งที่รักได้สำเร็จ
“สำหรับคนที่เคยวิ่งเล่นรักบี้ได้ตามใจชอบแล้วต้องมาถูกผูกติดอยู่กับเครื่องจักร 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผมจำเป็นต้องหาแรงบันดาลใจ แล้วสุดท้ายผมก็เจอพลังจากข้างในตัวเอง ในเวลาเพียง 3 ปีผมก็กลับมาเล่นรักบี้ได้ ทั้งที่เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ผมก็สู้ทุกหนทางเพื่อเป้าหมายนั้น”
ในช่วงเดือนกรกฏาคมปี 2004 โลมูก็ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไตจนสามารถกลับมาเล่นรักบี้ได้อีกครั้ง และเกษียณเมื่อปี 2007
แต่เรื่องราวของเขาจบลงอย่างน่าเศร้าเมื่อปี 2015 โลมูเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 40 ปี หลังจากต่อสู้กับโรคไตมานานหลายปี ปิดตำนานยอดนักสู้คนหนึ่งของวงการกีฬาไปอย่างน่าเสียดาย
สถานการณ์ของนักกีฬาแต่ละคน แม้ว่าจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งทุกคนต่างก็มีวิธีแก้ไขให้กับอุปสรรคที่บางอย่างก็ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันหมด นั่นก็คือความมุ่งมั่นและความสม่ำเสมอ
เป้าหมายของพวกเขาทุกคนไม่ใช่ความต้องการพิสูจน์ว่าคนอื่นผิด แต่ต้องการพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเขาคิดเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ถูกแล้วที่คิดว่าพวกเขานั่นแหละที่จะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ถูกแล้วที่ไม่มีอะไรสามารถหยุดพวกเขาไม่ให้ไปถึงฝันได้ ถูกแล้วที่พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาคือนักกีฬาที่ดีที่สุดที่เคยมีมา
อ้างอิง:
- www.cbssports.com/nfl/news/tom-brady-explains-what-a-day-in-the-life-of-tom-brady-is-like
- profootballtalk.nbcsports.com/2014/07/18/peyton-watched-super-bowl-tape-on-first-day-of-offseason-work
- www.thesportster.com/entertainment/top-14-craziest-athlete-workouts
- www.gq.com/story/runner-usain-bolt-training-secrets-and-diet
- www.mercurynews.com/2014/02/13/thompson-stephen-currys-consistency-is-key-to-his-shot/
- www.businessinsider.com/stephen-curry-high-school-unlikely-nba-career-2017-6
- spiralspine.com/usain-bolt-fastest-man-has-scoliosis
- www.stuff.co.nz/life-style/well-good/teach-me/74597055/nephrotic-syndrome–the-disease-that-crippled-jonah-lomu