วันนี้ (16 สิงหาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 15 เป็นพิเศษ ภายหลังพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อ แพทองธาร ชินวัตร เป็นบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กำลังจะดำเนินการประชุมสู่การลงคะแนนด้วยการขานชื่อ
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย และยืนยันว่าไม่ใช่เวทีในการอภิปรายเรื่องคุณสมบัติหรือนโยบายของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่จะขออภิปรายไว้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่สำคัญ
“พวกเราไม่เห็นด้วยในกระบวนการนิติสงครามโดยกลุ่มชนชั้นนำมาทุบทำลายอำนาจที่มาจากพ่อแม่พี่น้องประชาชน ภารกิจของ สส. ทุกคน รวมถึงของนายกฯ คนต่อไป คือการแก้ปัญหาต้นตอที่ทำให้เราต้องมานั่งอยู่ในสภาวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของเราทุกคน” ณัฐพงษ์ระบุ
ณัฐพงษ์ยกตัวอย่างตั้งแต่การก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญครั้งแรกในปี 2541 ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้มีการยุบพรรคการเมืองไปแล้ว 111 พรรค รวมกรณีพรรคก้าวไกล แม้จะมีหลายกรณีที่ยุบเพราะขาดหลักเกณฑ์ต่างๆ แต่ก็มีหลายกรณีที่เป็นการเมือง เช่น พรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน, พรรคชาติไทย, พรรคมัชฌิมาธิปไตย, พรรคไทยรักษาชาติ, พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล
หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวต่อไปว่า สมาชิกหลายคนในห้องประชุมแห่งนี้ล้วนเป็นเหยื่อจากคำตัดสินทางการเมือง และได้รับผลกระทบจากการให้อำนาจล้นเกินของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง รวมถึงกรณีอื่น เช่น การถือหุ้นสื่อ ตลอดจนกรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรีหลายครั้ง เช่น สมัคร สุนทรเวช, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และล่าสุดคือ เศรษฐา ทวีสิน
ณัฐพงษ์ชี้ว่า นี่เป็นปัญหาของการจัดวางอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระอื่นๆ ไม่ให้รุกล้ำเขตแดนอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจนล้นเกิน พร้อมตั้งคำถามว่าจะมีช่วงเวลาไหนที่ประมุขฝ่ายบริหารและรองประมุขฝ่ายนิติบัญญัติต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมๆ กันในเวลาไม่กี่วัน จนเกิดสุญญากาศทางการเมือง
“ผมว่าที่ผ่านมาเราเห็นได้ไม่กี่ครั้ง นอกจากกรณีการเกิดรัฐประหารโดยกองทัพ แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ที่ผมคิดว่าเรากำลังอยู่ในระบอบประชาธิปไตยแบบไม่เต็มใบอีกรูปแบบหนึ่ง”
ณัฐพงษ์เล่าย้อนถึงการเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิตของตนเองคือ 2 เมษายน 2549 แต่ท้ายสุดผลการเลือกตั้งก็เป็นโมฆะ ทำลายเสียงของตนเองที่ออกไปใช้สิทธิเป็นครั้งแรก เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคูหาเลือกตั้งหันออกนอกหน่วย ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยตรงและลับ
“คำวินิจฉัยแบบนี้แหละครับที่ทำร้ายจิตใจ สร้างแผลบาดลึกให้กับประชาชนคนไทยทุกคน รวมถึงตัวผมที่ได้ออกไปเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์เชื่อว่าทั้งสมาชิกและประชาชนล้วนประสบบาดแผลและได้รับประสบการณ์ต่างๆ มาด้วยกันตลอด 7 ปี หลังรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ได้ถูกใช้เป็นเครื่องกลั่นแกล้งจากกลุ่มชนชั้นนำ โจทย์ใหญ่ของพรรคประชาชนคือทำให้มีนายกฯ คนถัดไปอย่างเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมือง
และภารกิจที่สำคัญของพวกเราทุกคนในสภามี 3 หลักการใหญ่คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญส่วนที่สำคัญ ปรับกฎหมายเรื่องการยุบพรรคการเมืองให้ยากขึ้น และทบทวนมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองให้ประชาชนตัดสิน ไม่ใช่องค์คณะกลุ่มคนไม่กี่คน เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 ปีที่จะสามารถผลักดันวาระให้สำเร็จได้