วันนี้ (22 สิงหาคม) ที่รัฐสภา การประชุมร่วมรัฐสภาที่มี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาเป็นประธานการประชุม โดยมีวาระสำคัญคือการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ซึ่งในวันนี้พรรคเพื่อไทยจะมีการเสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดน่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวอภิปรายสรุปในฐานะผู้เสนอชื่อเศรษฐาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกที่แสดงความคิดเห็นและซักถามต่อคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่เสนอชื่อ ก่อนจะตัดสินใจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน
นพ.ชลน่าน กล่าวถึงข้อซักถามกรณีคุณสมบัติของเศรษฐา โดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และพฤติกรรมระหว่างประกอบอาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ในบริษัทมหาชนว่าเป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ว่า ในนามของพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจสอบคุณสมบัติต้องห้ามอย่างถี่ถ้วน
ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี หรือแม้แต่การตั้งนอมินีรองรับการซื้อที่ดิน ขอขอบคุณผู้นำเรื่องนี้มาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวว่าเป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชน พรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเอง โดยที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์หรือหลักฐานบ่งชี้ได้ว่าเศรษฐามีความไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีเพียงข้อกล่าวหาที่โน้มเอียง ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดได้
ส่วนข้อกังวลเรื่องพฤติกรรม อุดมการณ์ หรือจุดยืนทางการเมืองนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยรับฟังทุกเสียง และยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเฉพาะระบบรัฐสภา สส. ทุกคนต่างมาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของประชาชน ที่ผ่านมาแน่นอนว่ามีการแบ่งแยกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทั้งฝ่ายเสรีประชาธิปไตยและฝ่ายอนุรักษนิยม ตลอด 2 ทศวรรษ
ที่ผ่านมาตั้งแต่ยังพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ต่างมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างเจ็บปวด แต่คนที่เจ็บปวดที่สุดคือประชาชนคนไทย เราขัดแย้งกันแล้วได้อะไรขึ้นมา นี่คือจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย เราเห็นถึงการสูญเสียโอกาสของประชาชน เพราะเพียงแต่มีความคิดต่างกัน และมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่แยกกันเดิน เราจะปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดต่อไปเหรอ
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า เราเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับ 1 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และไม่มีทางจัดตั้งรัฐบาลแข่ง เราไม่ร่วมมือกันไม่ได้ ด้วยสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่เราคิดผิด เพราะยิ่งเราจับมือกันยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน เราหัวชนฝามา เราเจ็บ เราเกิดก่อน เรามีประสบการณ์ แล้วเราจะเอาหัวชนฝาให้ประเทศชาติและประชาชนสูญเสียไป เราไม่ทำแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดคือจับเอาดุลอำนาจที่มีอยู่ในประเทศนี้มาประนีประนอมอำนาจให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด น่าจะดีที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ เราต้องปกป้องคุ้มครองสถาบันหลักของชาติ ทุกคนพูดเหมือนกัน แต่วิธีการทำไม่เหมือนกัน
“พรรคเพื่อไทยอาสาเข้ามาสลายความขัดแย้ง จัดตั้งรัฐบาลในนามของทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของรัฐบาลที่มาจากพี่น้องประชาชน” นพ.ชลน่าน กล่าว
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งต่อไปหากทุกพรรคการเมืองจัดทำเป็นนโยบายของรัฐบาลและแถลงต่อรัฐสภา ยังสามารถปรับแปลงแก้ไขได้ ขณะที่วิกฤตรัฐธรรมนูญ เข้าใจว่าผู้เขียนรัฐธรรมนูญต้องการปกป้องคุ้มครองสิ่งที่เห็นว่าสำคัญ แต่เมื่อถึงเวลาสิ่งหนึ่งย่อมถูกสลายออกไป เป็นดุลอำนาจที่ดี การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงจำเป็นและสำคัญ ในเงื่อนไขที่จะไม่เกิดความขัดแย้ง โดยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังต้องผ่านการทำประชามติ ซึ่งต้องใช้เวลานาน จึงปล่อยให้เนิ่นช้าไม่ได้ และต้องไปคุยในรายละเอียดว่าสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้ ความเห็นต่างเป็นสีสันสวยงามในระบอบประชาธิปไตย แต่จะแปลงความเห็นต่างเป็นความเห็นร่วมอย่างไร ขึ้นอยู่กับพวกเรา 750 คนในวันนี้ การเห็นชอบ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นจุดเริ่มต้นจะนำความเห็นต่าง เพื่อหันหน้าเข้าหากันและทำงานร่วมกัน ซึ่งจะเป็นโอกาสและความหวังที่ดีของประชาชนให้มากที่สุด
“ผมขอกล่าวขอบคุณท่านประธานผ่านไปยังสมาชิกรัฐสภาทุกท่านที่จะขานชื่อให้ความเห็นชอบ เศรษฐา ทวีสิน เป็นบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย ขอขอบคุณครับ” นพ.ชลน่าน กล่าว