วันนี้ (13 กรกฎาคม) ที่รัฐสภา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นอภิปรายเพื่อสื่อสารไปยัง ส.ว. ทุกท่าน ที่ตนได้เคยทำงานร่วมกันมาตลอด 4 ปี และท้ายที่สุดแล้วคิดว่าเราไม่แตกต่างกันเท่าไร เพราะเรามีความคิดใกล้กันและเคยทำงานร่วมกัน
พิธากล่าวว่า วันนี้เป็นประตูแห่งโอกาสที่เราจะสามารถทำงานร่วมกันภายใต้รัฐบาลชุดต่อไป ในการแก้ปัญหาที่จะเข้ามา แต่ผมทราบดีว่าท่านยังมีความแคลงคลางใจในตัวผม น่าจะเป็นจุดยืนในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนใหญ่ เชื่อว่าเป้าหมายเหมือนกันแต่วิธีประเมินและเข้าถึงเป้าหมายต่างกัน
พิธากล่าวอีกว่า ผมทราบดีว่าหลายท่านยังมีความแคลงใจในตัวผม แล้ววันนี้แสดงให้เห็นชัดว่า น่าจะเป็นเกี่ยวกับนโยบาย จุดยืนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนใหญ่ และวันนี้เมื่อฟังทั้งหมดแล้ว เป้าหมายของเราทั้งหมดเหมือนกัน เพียงแต่วิธีการที่จะประเมิน ที่จะเข้าถึงเป้าหมายนั้นต่างกัน ในมุมมองของตนแล้ว ที่จะทำให้เป้าหมายของเราตรงกัน คือการธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่คู่กับประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องไม่อนุญาตให้ใครใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในการโจมตีกันทางการเมือง
ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านมองในระยะยาว มองไปถึงในอดีตด้วย ปัจจุบัน และอนาคต ที่ผ่านมาสถาบันถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง เพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และกลุ่มบุคคลที่มีผลประโยชน์ส่วนตัว และไม่มีเครดิตทางสังคม ล้วนดึงสถาบันมาอ้างอิง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ว่าจะกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มธุรกิจ
พิธากล่าวว่าไม่ใช่พวกเราเหรอที่ผูกสถานการณ์มาจนถึงทุกวันนี้ ให้คนรุ่นใหม่ต้องมารับผิดชอบ ปัจจุบันมีหลายกลุ่ม หลายพวกที่ต้องการจะสกัดกั้นไม่ให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี และไม่ต้องการให้พรรคเสียงข้างมากตั้งรัฐบาลได้ เพราะเขากำลังจะเสียผลประโยชน์ ไม่ว่าจะสัมปทาน ไม่ว่าธุรกิจ จึงใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แล้วก็มาเป็นคู่ตรงข้ามในการลงเสียงประชาชนเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม วันนี้จึงอยากชวนวิญญูชน มีสติ ไตร่ตรองเรื่องนี้ว่าต้นทุนมีราคากับสังคม
“ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีใครชูคำขวัญ เราจะสู้เพื่อในหลวง เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ถ้าไม่มีใครอิงแอบสถาบันเพื่อก่อรัฐประหาร ถ้าไม่มีใครเอาเรื่องล้มล้างสถาบันมาปลุกปั่นทางการเมืองให้คนเกลียดชังกันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ถ้าเราไม่ใช้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือทำลายล้างกัน ความขัดแย้งในสังคมไทยคงไม่มาถึงจุดนี้ ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องเผชิญหน้าปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ แก้ปัญหาที่ต้นตอด้วยการยุติการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และหากุศโลบายเพื่อพัฒนารักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน”
พิธากล่าวว่า ท่ามกลางยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไป การจัดวางพระราชอำนาจและสถานะให้สอดคล้องเหมาะสมกับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เรารักดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามในสังคมไทย และเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้นย่อมถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า แต่สุดท้ายเชื่อว่าสังคมไทยจะหาจุดลงตัวได้ เป็นจุดลงตัวที่ไม่มีใครได้และไม่มีใครเสียทั้งหมด