วานนี้ (17 มกราคม) จากเหตุโรงงานพลุในเขตพื้นที่ตำบลสวนแตง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ระเบิดจนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายร่าง 21 ราย เป็นชาย 7 ราย หญิง 14 ราย ไปที่วัดโรงช้างแล้ว เหลืออีก 2 รายอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบอัตลักษณ์บุคคล
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุพร้อมระบุว่า ที่เกิดเหตุเป็นโรงงานผลิตพลุและประทัดไล่นก ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งนา ห่างไกลจากบ้านเรือนประชาชนทั่วไป ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนอำเภอเมืองสุพรรณบุรี มีอายุกำหนด 1 ปี ใบอนุญาตหมดอายุวันที่ 24 สิงหาคม 2567
ส่วนผู้ได้รับอนุญาตชื่อแสงเดือน เป็นคนในพื้นที่ ขณะเกิดเหตุอยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมบุตรชายและลูกจ้างรวม 23 คน ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเสียชีวิตทั้งหมด
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ได้สั่งการให้ตำรวจรักษาที่เกิดเหตุไว้จนกว่าชุดตรวจพิสูจน์หลักฐานกลางพร้อมกับชุด EOD จะเข้าตรวจสอบ และได้สั่งระดมพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสาเหตุเกิดจากอะไร พร้อมประสานฝ่ายปกครองและทีมแพทย์เข้าไปช่วยเหลือ ดูแลฟื้นฟูสภาพจิตใจครอบครัวของผู้เสียชีวิต
สำหรับรายชื่อเจ้าของและลูกจ้าง 23 คนที่ตำรวจได้มา ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบที่บ้านพัก ก่อนจะยืนยันหรือสันนิษฐานว่าเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หากการตรวจสอบยืนยันแล้วว่าใครเป็นผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ให้จัดทำข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับบุคคล อายุ เพศ ที่อยู่ และสถานที่ที่จะประกอบการฌาปนกิจ แล้วรายงานให้ทราบโดยเร็ว
โดยวันนี้ (18 มกราคม) วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกครอบครัว ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
พร้อมสั่งการให้ ธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ อนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งศูนย์วอร์รูม (War Room) ของกระทรวง พม. ระดมสรรพกำลังทุกหน่วยงานของกระทรวง พม., ทีม พม. หนึ่งเดียว จังหวัดสุพรรณบุรี และใกล้เคียง, ทีมสหวิชาชีพ และนักจิตวิทยา เร่งเข้าช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนในเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และการซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย โดยจะมีงบประมาณจากหลายหน่วยงาน เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ, กองทุนยุติธรรมจังหวัด และในส่วนของกระทรวง พม. โดยแต่ละรายคาดว่าจะมีเงินสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท
วราวุธกล่าวต่อว่า ในฐานะรองประธานมูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส ศิลปอาชา ได้ทราบว่ามีเด็กๆ 10 กว่าขวบ ระดับมัธยมศึกษา ที่สูญเสียทั้งคุณพ่อคุณแม่ โดยมูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส ศิลปอาชา จะเข้าไปช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการศึกษาของน้องๆ ทุกคน
“ผมต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชน เพราะขณะนี้ผมเองได้ขอลากิจ ซึ่งเตรียมการล่วงหน้าไว้หลายเดือนแล้ว และเกิดการเดินทางขึ้นมา แต่ถึงอย่างไรการทำงานยังเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ได้ขอให้ทุกหน่วยงานของกระทรวง พม. ในจังหวัดสุพรรณบุรี, สส. พรรคชาติไทยพัฒนา ทุกคน และทีมงาน ลงพื้นที่ดูแลพี่น้องประชาชน เราจะดูแลทุกคนให้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด และจะเยียวยาทางด้านจิตใจและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบ้านเรือน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทุกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้” วราวุธกล่าว