×

เปิด 3 ธีมใหญ่กระทบการลงทุนปี 2025 จับตายุค Trump 2.0 เขย่าตลาดหุ้นทั่วโลก พร้อมแนะกลยุทธ์โค้งสุดท้ายจัดพอร์ตลดหย่อนภาษี

05.12.2024
  • LOADING...
Trump

วิศกรณ์ คีรีวรรณ CFA นักกลยุทธ์การลงทุน ผู้อำนวยการฝ่าย Wealth Products & Strategy บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth โดยประเมินสิ่งที่นักลงทุนเตรียมเผชิญในปี 2025 และจะมีผลกระทบต่อการลงทุน แบ่งได้เป็น 3 ธีม ดังนี้

 

  1. ในปี 2025 จะเป็นปีแห่ง Normalization แห่งการเข้าสู่ภาวะสมดุล ประเมินว่าการลงทุนจำเป็นต้องเน้นการเลือกมากขึ้น (Selection) ในทุกสินทรัพย์ เนื่องจาก Valuation มีความตึงตัวมากขึ้น ในขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรโดยรวมนั้นชะลอตัวลง และดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงรวดเร็วอย่างที่นักลงทุนคาดไว้

 

โดยภาพที่จะเห็นคือสินทรัพย์ลงทุนที่เคยให้ผลตอบแทนที่สูงและมีราคาเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงในปี 2024 มีความเสี่ยงที่จะเห็นการปรับตัวลดต่ำลงในปี 2025 ขณะที่สินทรัพย์ลงทุนที่เคยสร้างผลตอบแทนการลงทุนและมีราคาในระดับต่ำในปี 2024 คาดว่าในปี 2025 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งตลาดหุ้นที่มีมูลค่าที่สูงหรือแพง เช่น ดัชนี S&P 500 ที่เคยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในปีนี้ในระดับ 20-30% ประเมินว่าในปี 2025 อาจไม่ได้สร้างผลตอบแทนระดับสูงเช่นเดียวกับปีนี้

 

  1. Expecting the Unexpected เตรียมเผชิญสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยในช่วงปี 2024 พบว่านักวิเคราะห์และนักลงทุนมักคาดการณ์ทั้งดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และ GDP ผิดอยู่บ่อยครั้ง โดยมักจะประเมินในแง่บวกหรือลบจนเกินไป จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวนมาก จึงแนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงเพื่อลดความผันผวน 

 

  1. Global Ripple of Trump 2.0 ประเมินว่าการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และกฎหมาย ส่งผลให้การลงทุนในปี 2025 และช่วง 4 ปีต่อจากนี้ จำเป็นต้องนำทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ เป็นตัวตั้งต้นสำหรับการเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนจากผลกระทบของนโยบาย America First Policy

 

จับตานโยบาย Trump 2.0 สะเทือนหุ้นทั่วโลก

 

ประเมินว่าการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีทั้งผลบวกและผลลบ โดยจะเป็นผลกระทบในเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโลก เนื่องจากนโยบายของทรัมป์ส่งผลให้สถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ของโลกมีความรุนแรงขึ้นจากนโยบายที่สหรัฐฯ จะปรับกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่จะเข้ามาสหรัฐฯ ให้สูงขึ้น ทั้งสินค้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา รวมถึงมีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกจัดเก็บภาษีดังกล่าวด้วย

 

สำหรับการลงทุนลดหย่อนภาษีโค้งสุดท้ายปี 2024 โดยหลักการลงทุนในกองทุนรวม ทั้งในกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) และการลงทุนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นการลงทุนระยะยาวในช่วง 5-10 ปี

 

อย่างไรก็ดี ประเมินว่าสินทรัพย์ลงทุนที่จะมีความโดดเด่นในปี 2025 ยังเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่จำเป็นต้องเลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเวียดนาม 

 

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนมีโอกาสที่จะเกิดภาพจุดเปลี่ยนได้ในปี 2025 โดยประเมินว่าปัญหาเศรษฐกิจของจีนในปัจจุบันไม่ได้มาจากผลกระทบจากกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ เตรียมประกาศปรับขึ้นสินค้านำเข้าจากจีน แต่ประเด็นหลักมาจากปัญหาวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยประเมินว่าหากภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนสามารถฟื้นตัวได้ ก็มีโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัว และสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนด้วยเช่นกัน

 

ดังนั้น ประเมินว่ากองทุน SSF หรือ RMF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน มีโอกาสที่จะเห็นการฟื้นตัวตามสภาพเศรษฐกิจของจีนที่มีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นในปีหน้า แต่หากสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ก็สามารถปรับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ได้

 

นอกจากนี้ ยังมองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ถือเป็นสินทรัพย์สัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวและประหยัดภาษี แนะนำให้เน้นการลงทุนในตราสารหนี้โลก เนื่องจากปัจจุบันสามารถให้อัตราผลตอบแทน (Yield) ในระดับสูงเฉลี่ยประมาณ 4-5% อีกทั้งหากเป็น Yield ของหุ้นกู้เอกชนในบริษัทต่างประเทศก็สามารถให้ผลตอบแทนในระดับที่ดีเฉลี่ยประมาณ 5-6%

 

แนะกลยุทธ์จัดพอร์ตกองทุนรวมลดหย่อนภาษียุค Trump 2.0

 

อย่างไรก็ดี การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกด้วย เช่น ทองคำในพอร์ตลงทุน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงสำหรับพอร์ตการลงทุนในช่วงส่งท้ายปี 2024 

 

ทั้งนี้ ภาพรวมในการจัดพอร์ตการลงทุน มีคำแนะนำแบ่งพอร์ตลงทุนเป็น 2 ส่วน ได้แก่ Core Portfolio กับ Satellite Portfolio อีกทั้งแนะนำให้นักลงทุนทยอยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อลดหย่อนภาษีในรูปแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) โดยทยอยซื้อตลอดทั้งปี

 

วิศกรณ์กล่าวต่อว่า หากนักลงทุนต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ยังแนะนำให้ลงทุนในกองทุน ThaiESG เพราะสามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มได้อีกสูงสุด 3 แสนบาท

 

สำหรับคำแนะนำในการสร้าง Core Portfolio เพื่อใช้สำหรับการลดหย่อนภาษี หากเป็นผู้ที่สามารถลงทุนได้ต่อเนื่องตลอด 5 ปี แนะนำให้ลงทุนในกองทุน RMF จนถึงอายุ 55 ปี แต่หากไม่สามารถลงทุนได้ต่อเนื่องในช่วง 5 ปี แนะนำให้เลือกลงทุนในกองทุน SSF เพราะแม้กำหนดระยะเวลาถือครองกองทุนเป็นเวลา 10 ปี แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขให้จำเป็นต้องลงทุนทุกปี

 

สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมระยะยาว (LTF) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่สร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก หากนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน LTF แล้วยังมีผลขาดทุนอยู่ในระดับประมาณ 5-10% หากถือกองทุนจนครบกำหนดแล้วและมีอายุต่ำกว่า 45 ปี แนะนำให้ย้ายเงินลงทุนเข้าไปลงทุนในกองทุน SSF แทน เนื่องจากสามารถใช้ทั้งสิทธิประโยชน์ลดหย่อนทางภาษี รวมถึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการลงทุนในตลาดหุ้นโลกด้วย

 

ส่วนกลุ่มนักลงทุนที่มีอายุเกิน 45 ปีที่ลงทุนในกองทุน LTF แนะนำให้โยกเงินไปในกองทุน RMF แทนเป็นหลัก เนื่องจากหากเข้าไปลงทุนในกองทุน RMF จะใช้ระยะเวลาถือครองไม่ถึง 10 ปี ก็สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ จึงเป็นการลงทุนที่ตอบโจทย์มากกว่า

 

นอกจากนี้ ปัจจุบัน InnovestX ออกโปรโมชันร่วมกับบัตรเครดิตกรุงศรีและบัตรในเครือ โดยสามารถใช้บัตรเครดิตซื้อกองทุนสำหรับประหยัดภาษีได้แล้วกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เพื่ออำนวยความสะดวกกับนักลงทุนที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นการเริ่มโปรโมชันในเฟสแรก อาจใช้ซื้อได้กับเฉพาะกองทุนประหยัดภาษีเท่านั้น โดยยังไม่ครอบคลุมทุกกองทุน นักลงทุนสามารถตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งไอเดียการลงทุน กลยุทธ์ และบทวิเคราะห์ รวมถึงคำแนะนำการลงทุนเชิงลึกได้ในแอปพลิเคชันของ InnovestX

 

ภาพ: Chip Somodevilla / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X