ในการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น พรรคเดโมแครตของไบเดนสามารถทำผลงานได้ดีกว่าที่คาด เมื่อพวกเขาสามารถรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภาเอาไว้ได้ แต่อย่างไรก็ดี พวกเขาได้สูญเสียเสียงข้างมากในสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร โดยที่พรรครีพับลิกันพลิกกลับมาเอาชนะพวกเขาได้รวม 9 ที่นั่ง ทำให้ในสภาชุดใหม่ที่กำลังจะปฏิญาณตนกันในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ พรรครีพับลิกันจะมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. อยู่ที่ 222 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคเดโมแครตมีอยู่แค่ 213 ที่นั่ง
นโยบายต่างๆ ของไบเดนน่าจะไปติดที่สภาล่าง
ในช่วงเวลาสองปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประสบความสำเร็จพอสมควรในการผลักดันกฎหมายและนโยบายต่างๆ ที่เขาเคยหาเสียงไว้ ไม่ว่าจะเป็นการผ่านกฎหมายที่มีชื่อว่า American Rescue Plan Act ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ไปกับการผลิตวัคซีนโควิดกว่า 500 ล้านโดส, ใช้เพื่อการกู้ยืมฉุกเฉินสำหรับธุรกิจต่างๆ รวมถึงการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงแก่ชาวอเมริกันผู้มีรายได้น้อย, การผ่านร่างกฎหมายที่มีชื่อว่า Bipartisan Infrastructure Bill เพื่อใช้ลงทุนปรับปรุงถนน, สะพาน, ระบบราง, ไฟฟ้า และระบบการบริหารจัดการน้ำ มูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนกับระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ, รวมถึงการผ่านกฎหมายควบคุมการถือครองปืนได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี
ซึ่งสาเหตุที่ไบเดนสามารถผ่านร่างกฎหมายได้ตามที่เขาหาเสียงไว้นั้น ก็เป็นเพราะว่าพรรคเดโมแครตของเขาครองเสียงข้างมากทั้งในสภาล่างและสภาสูงในช่วงสองปีแรกของเขา ซึ่งการที่เดโมแครตเสียเสียงข้างมากในสภาล่างไปก็จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของเขาในช่วงสองปีที่เหลือเป็นไปได้ความยากลำบาก ไบเดนจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะชักจูงให้ ส.ส. ของรีพับลิกันจำนวนหนึ่งมาโหวตให้เขา ซึ่งก็หมายความว่าร่างกฎหมายหรือนโยบายใดๆ ที่ไบเดนจะผลักดันให้ผ่านรัฐสภาออกมาได้ จะต้องไม่เป็นร่างกฎหมายที่ซ้ายเกินไป (จนแม้แต่ ส.ส. ของรีพับลิกันที่เป็นสายกลางยังไม่สามารถโหวตให้ได้) ดังนั้นร่างกฎหมายที่จะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่อย่าง American Rescue Plan Act หรือ Bipartisan Infrastructure Bill คงจะไม่สามารถคลอดออกมาได้ในช่วง 2 ปีที่เหลือ
ที่สำคัญไปกว่านั้น สภาผู้แทนราษฎรคือสภาที่มีอำนาจในการควบคุมงบประมาณแผ่นดิน และถ้าไบเดนไม่สามารถประนีประนอมกับพรรครีพับลิกันได้ เราก็อาจจะได้เห็นการปิดตัวของหน่วยงานของรัฐบาลกลางหรือ Government Shutdown อีก (เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินที่จะใช้บริหารหน่วยงานของรัฐนั้นจะต้องมีการอนุมัติใหม่ทุกปี) เหมือนในช่วงปลายปี 2018 ที่ประธานาธิบดีในตอนนั้นอย่างทรัมป์ เจรจาร่างงบประมาณแผ่นดินกับเดโมแครตที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรไม่สำเร็จ
Impeachment?
การครองเสียงข้างมากในสภาล่างเปิดโอกาสให้รีพับลิกันได้ใช้อำนาจของกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรในการสอบสวนรัฐบาลของไบเดนที่เดโมแครตปฏิเสธที่จะดำเนินการ รีพับลิกันน่าจะใช้โอกาสนี้ในการสอบสวนลูกชายของเขาอย่าง ฮันเตอร์ ไบเดน ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้คอนเน็กชันของผู้เป็นพ่อในการทำธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ยูเครน รวมถึงสอบสวนถึงสาเหตุของความล้มเหลวในการถอยทัพออกจากอัฟกานิสถาน ซึ่งถ้าการสอบสวนพบมูลความผิดที่สาวไปถึงตัวไบเดนเองได้ ก็เป็นไปได้ว่ารีพับลิกันอาจจะโหวตเพื่อถอดถอนไบเดนออกจากตำแหน่ง (Impeachment) เหมือนกับที่เดโมแครตเคยทำกับโดนัลด์ ทรัมป์
แต่อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์ทางการเมืองส่วนใหญ่เชื่อว่า โอกาสที่รีพับลิกันจะโหวตถอดถอนจริงๆ นั้นน่าจะค่อนข้างน้อย เพราะพวกเขาครอบครองเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งอยู่แค่ 4 เสียง ซึ่งก็แปลว่าพวกเขาจะต้องพึ่งพาเสียงจาก ส.ส. ที่มาจากเขตที่ไบเดนชนะเลือกตั้ง หรือเขตที่มีคะแนนสูสี ซึ่ง ส.ส. เหล่านี้ก็อาจจะไม่อยากโหวต Impeachment เพราะจะทำให้พวกเขามีภาพของนักการเมืองที่เอาแต่ ‘เล่น’ การเมืองแบบแบ่งขั้ว และอาจจะทำให้พวกเขาแพ้การเลือกตั้งในสมัยต่อไป (เว้นที่แต่ว่ามูลความผิดนั้นชัดเจนมากจริงๆ)
โอกาสสุดท้ายในศาลสูง?
เดโมแครตโชคดีอย่างมากในการรักษาเสียงข้างมากในสภาสูงไว้ได้ ทำให้พวกเขายังมีเวลาอีกสองปีในการที่จะรับรองผู้พิพากษาของศาลสูงคนใหม่ (อำนาจในการรับรองอยู่ที่สภาสูงสภาเดียว) ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าผู้พิพากษาศาลสูงฝ่ายซ้ายสองคนอย่าง เอเลนา เคแกน และโซเนีย โซโตมายอร์ (อายุ 62 และ 68 ปีตามลำดับ) อาจจะถือโอกาสนี้เกษียณตัวเองเพื่อเปิดโอกาสให้ไบเดนได้เลือกผู้พิพากษาอายุน้อยมาดำรงตำแหน่งแทน เพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอยแบบกรณีของผู้พิพากษา รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก ที่เสียชีวิตในขณะที่ทำเนียบขาวและสภาสูงถูกครอบครองโดยรีพับลิกัน ทำให้พวกเขาสามารถแต่งตั้งผู้พิพากษาฝ่ายขวาอย่าง เอมี โคนีย์ บาร์เรตต์ มาครอบครองเก้าอี้ของเธอได้
ซึ่งสาเหตุที่เธอทั้งสองคนและเดโมแครตจำเป็นจะต้องพิจารณาทางเลือกนี้ ก็เป็นเพราะว่าเดโมแครตมีโอกาสสูงมากที่จะเสียที่นั่งข้างมากในวุฒิสภาในรอบการเลือกตั้งต่อไปในปี 2024 เพราะในการเลือกตั้งรอบต่อไป เดโมแครตต้องป้องกันที่นั่งของตัวเองถึง 20 ที่นั่ง ในขณะที่รีพับลิกันต้องป้องกันแค่ 11 ที่นั่ง และใน 20 ที่นั่งนั้นก็เป็นมลรัฐสีแดงเข้มถึง 3 มลรัฐ (มอนแทนา, โอไฮโอ และเวสต์เวอร์จิเนีย) และมลรัฐสีม่วงอีก 5 มลรัฐ (เนวาดา, มินนิโซตา, วิสคอนซิน, มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย) ซึ่งก็แปลว่าถ้าการเลือกตั้งในปี 2024 เป็นรอบที่แย่ของพวกเขา เดโมแครตอาจจะเสียที่นั่งได้ถึง 8 ที่นั่ง และนั่นน่าจะทำให้พวกเขากลายเป็นพรรคเสียงข้างน้อยในสภาสูงไปจนถึงทศวรรษหน้า
ภาพ: Nathan Posner / Anadolu Agency via Getty Images