หลังจากบทความที่แล้วได้กล่าวถึงปี 2020 ที่เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์โลก ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ การเมือง การลงทุน สงครามเย็น รวมถึงการพัฒนาระยะยาวของโลก ในบทความนี้จะมองถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2021 ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ดังนี้
- วัคซีนจะมาช้ากว่าคาด แต่ยารักษาโควิด-19 และเครื่องตรวจจะเป็นความหวัง และผู้คนจะชินกับ New Normal
แม้วัคซีนจะเป็นความหวังของชาวโลก และเริ่มอนุมัติให้ฉีดได้ตั้งแต่ปลายปี 2020 ในบางราย แต่การอนุมัติวัคซีนหลายรายจะล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้การฉีดให้กับประชาชนล่าช้า โดยเรามองว่าวัคซีนทั่วโลกจะฉีดได้เพียง 2.4 ล้านโดสในครึ่งปีแรก และ 4 ล้านโดสในครึ่งปีหลัง ทำให้พลเมืองโลกได้รับการฉีดประมาณ 2.4 พันล้านคนในปี 2021 หรือประมาณ 30% ของประชากรโลกที่ 7.7 พันล้านคน ซึ่งจะทำให้การเดินทางระหว่างประเทศยังค่อนข้างยาก
แต่ความหวังเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ยารักษาโควิด-19 ที่จะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยที่ติดเชื้อมากขึ้น นอกจากนั้น เครื่องมือทดสอบที่ง่ายขึ้น สามารถทดสอบได้ด้วยตนเอง รวมถึงการทำ Social Distancing อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ผู้คนใช้ชีวิตได้มากขึ้น แต่การพบปะเป็นกลุ่มใหญ่ รวมถึงการเดินทางระหว่างประเทศจะยังถูกคุมเข้มโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก
- เศรษฐกิจจะฟื้นตัวแบบ ‘หลุม’ แบบ ‘ช้อน’ แบบ ‘ตัว K’
โดยเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปถ้าวัคซีนได้รับอนุมัติ แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนจะไม่ฟื้นกลับมาได้ในทันที เนื่องจากวัคซีนต้องได้รับการอนุมัติ และการแจกจ่ายทั่วโลกต้องใช้เวลา ทำให้การฟื้นตัวในแต่ละประเทศแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับ (1) จำนวนผู้ติดเชื้อและการได้รับวัคซีน (2) การพึ่งพิงภาคท่องเที่ยวและบริการ และ (3) ภาคเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการจะอ่อนแอ/ฟื้นตัวช้ากว่า
ภาพดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เติบโตได้ดีที่สุดในปี 2021 ได้แก่ จีน ที่จะฟื้นตัวแบบเครื่องหมายไนกี้ รองลงมาได้แก่สหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวขึ้นจากฐานต่ำและวัคซีน แต่การเมืองจะเป็นตัวฉุดรั้ง ทำให้การฟื้นตัวเป็นรูปแบบช้อน (คือเป็นหลุมก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้น) ขณะที่เศรษฐกิจไทย ยูโรโซน และญี่ปุ่น จะฟื้นตัวต่ำกว่าจากการพึ่งพิงความต้องการจากต่างประเทศ และภาคการท่องเที่ยวที่สูงกว่า ทำให้การฟื้นตัวเป็นรูปแบบแอ่ง รวมถึงระดับการฟื้นตัวไม่เท่ากัน (เป็นรูป K-Shape) โดยภาคเกษตรและอุตสาหกรรมฟื้นตัวดีขึ้นกว่าภาคบริการ
- สงครามเย็นภาคสอง
ในยุคไบเดนสงครามเย็นจะไม่หายไป แต่จะเปลี่ยนรูปแบบเป็นการรบหาพันธมิตรมากขึ้น โดยในส่วนการค้า จีนเดินแต้มก่อนหลังจากได้เข้าร่วมสนธิสัญญาการค้า RCEP ขณะที่รัฐบาลไบเดนจะเริ่มเดินเกมในเอเชียมากขึ้นผ่านความร่วมมือกับอาเซียน TPP รวมถึง APEC รวมถึงบีบให้จีนต้องยอมทำตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดร่วมกัน เช่น มาตรฐานสินค้า การคุ้มครองแรงงาน ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และการลดทอนอิทธิพลและขนาดของรัฐวิสาหกิจในเศรษฐกิจ แลกกับการลดภาษีนำเข้าที่เคยขึ้นในสมัยของทรัมป์
- Tech-Celelation หรือการเร่งตัวของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด
โดยวิกฤตโควิด-19 ที่จำกัดการปฏิสัมพันธ์โดยตรง ทำให้มนุษยชาติน้อมรับเทคโนโลยี (Technological Adoption) รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ที่คุ้นชินมากขึ้นกับการช้อปปิ้งออนไลน์ และการ Work from Home ขณะที่การทำธุรกรรมแบบไม่ใช้เงินสด (Cashless Transaction) ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่วนด้านการแพทย์ ก็ได้เปลี่ยนการวินิจฉัยโรคให้ผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้น
เราจึงมองว่ากระแส Tech-Celelation จะส่งผลกระทบกับสามกลุ่มธุรกิจทั่วโลก ได้แก่
หนึ่ง ธุรกิจ IT ขยายตัวได้ดี เนื่องจากโควิด-19 ทำให้ความจำเป็นในการทำธุรกิจแบบ Social Distancing มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ Software ทั่วโลกที่จะขยายตัวได้ดี เช่นเดียวกับธุรกิจแบบ Backup System และ Cloud-Based Software (หรือที่เรียกว่า Infrastructure as a Service)
สอง ธุรกิจค้าปลีกจะกลับมาเติบโตได้บ้าง หลังจากหดตัวทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ผลจากการช้อปปิ้งออนไลน์รวมถึง Omni Channel เช่น Click-and-collect ที่มากขึ้น และ
สาม ธุรกิจ Telecom ที่จะได้ประโยชน์จาก Online Shopping และ Work from Home มากขึ้น แต่กำลังซื้อผู้บริโภคที่น้อยลง รวมถึงค่าใช้จ่ายของธุรกิจในการน้อมรับกระแส 5G ที่ต้องลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานเชิงโครงสร้าง (Infrastructure) จะเป็นตัวกดดันผลกำไร แต่ในระยะยาวจะได้ประโยชน์เต็มที่จากกระแสดังกล่าว
- ปี 2021 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติพลังงานสะอาด (Clean Energy Revolution)
หลังจากวิกฤตโควิด-19 เริ่มผ่านพ้นไป ผู้คนจะเริ่มให้ความสำคัญกับวิกฤตอื่นๆ ที่อาจรุนแรงในอนาคตได้ เช่น ภาวะโลกร้อน โดยที่ผ่านมา มนุษยชาติพยายามลดภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง โดยในการประชุม COP-26 ที่อังกฤษในปลายปี 2021 สหภาพยุโรปประกาศว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050 เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ส่วนจีนจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เหลือศูนย์ภายในปี 2060 ด้วยภาพดังกล่าว ปี 2021 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติพลังงานสะอาด ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสามจุด
หนึ่ง ความต้องการน้ำมันน่าจะถึงจุดสูงสุดแล้ว และจะลดลงในระยะต่อไป พร้อมๆ กับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มากขึ้น (Peak Oil and Rising EV Trend)
สอง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุหายาก และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดจะเฟื่องฟู และ
สาม การลงทุนที่เกี่ยวกับสีเขียวจะเฟื่องฟู โดย Clean Energy Revolution ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเงิน กล่าวคือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเริ่มเข้าสู่ขาลง ขณะที่การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น
กล่าวโดยสรุป ในปี 2021 (1) วัคซีนจะมาช้า (2) เศรษฐกิจจะฟื้นแบบช้อน แบบหลุม และแบบตัว K (3) สงครามเย็นจะเป็นการแย่งพันธมิตร (4) จะเป็นปีแห่ง Tech-Celelation และ (5) เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติพลังงานสะอาด (Clean Energy Revolution)
ท่านผู้อ่านเตรียมพร้อมปีแห่งความเสี่ยงและโอกาสแล้วหรือยัง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์