เพราะไม่มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน ทำให้เราเลือกใช้คำว่า ‘สุดพลิก’ ในวันที่รู้ว่า 1917 คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทดราม่า จากงาน Golden Globes 2020
จนได้ดูเรื่องนี้จนจบถึงได้รู้ว่า นั่นคือการพาดหัวข่าวที่คลาดเคลื่อนไปอย่างมาก เพราะ 1917 ไม่ใช่ม้ามืดที่อยู่นอกสายตา แต่เป็นผลงานที่ ‘คู่ควร’ กับการยอมรับ และเราจะไม่แปลกใจเลย ถ้าได้ยินชื่อ 1917 ดังขึ้นอีกครั้ง กับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ในปีนี้
1917 ประกาศชัดตั้งแต่เรื่องย่อว่า นี่คือภาพยนตร์สงครามที่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การ ‘ไม่รบ’ โดยการให้คนดูติดตามภารกิจของ เบลก (ดีน ชาร์ลส์-แชปแมน) และ สกอฟิลด์ (จอห์น แมคเคน) สองพลทหารที่ได้รับมอบหมายให้วิ่งฝ่าสมรภูมิ, สนามเพลาะ, ห่ากระสุน ดงระเบิด เพื่อแจ้งข่าวให้กองทัพฝ่ายตัวเองที่ซ่อนอยู่อีกฝั่งหยุดการโจมตี ก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนของศัตรู
เส้นเรื่องทั้งหมดมีเพียงแค่นั้น แต่ผู้กำกับ แซม เมนเดส ผู้กำกับภาพ โรเจอร์ ดีกินส์ และทีมงานทั้งหมด สามารถเล่าเรื่อง ‘แค่นั้น’ เพื่อสะท้อนให้เห็นความเจ็บปวด สูญเสีย และความจริงอันไร้ค่าของการรบราฆ่ากันออกมาได้อย่างทรงพลังเหลือเกิน
โดยเฉพาะเรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ การถ่ายทำแบบช็อตเดียวต่อเนื่อง (A One-Shot หรือ Continuous Shot Feature Film) ที่ใช้การถ่ายแบบ Long Take หลายๆ ฉากมาประกอบกันด้วยเทคนิคการตัดต่อให้เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อเนื่องกันทั้งเรื่องแบบเนียนกริบ คนดูไม่ทันรู้เลยว่าสั่งคัตกันตอนไหน
การเล่าเรื่องทั้งหมดแบบต่อเนื่องไม่มีตัดสลับ ทำให้รู้สึกว่า เราไม่ใช่คน ‘สังเกตการณ์’ หรือคนฟังเรื่องเล่า แต่ได้เข้าไปอยู่ในสมรภูมิร่วมกับสองพลทหารนั้นจริงๆ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบันที่ตัวละครต้องเจอ ต้องเห็น ได้ยินอะไร เรารับรู้ไปพร้อมๆ กับพวกเขาทั้งหมด
การได้เห็นความลำบาก อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ กระสุนที่ไม่รู้จะพุ่งมาเมื่อไร ซากศพเกลื่อนกลาดอันน่าสะอิดสะเอียน ร่วมกับตัวละครแบบไม่มีจุดให้พัก ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า สนามรบคือพื้นที่เหนือกาลเวลาที่เข้ามาแล้วไม่สามารถออกไปได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเข้าด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
เพราะมีอยู่หลายครั้ง (โดยเฉพาะช่วงหลังๆ) เรารู้สึกเหนื่อย อยากพักสักครู่ ไม่อยากติดตามรับรู้ความกดดันในภารกิจนี้อีกแล้ว บางช่วงเราก็รู้สึกเหมือนเรากำลังดูภาพยนตร์ทริลเลอร์มากกว่าสงครามด้วยซ้ำ
ถ้าเป็นภาพยนตร์ทริลเลอร์ตามปกติ เราจะพอเล็งได้ว่า ตอนไหนจะมีจัมป์สแกร์ออกมา ให้ปิดตารอได้เป็นพักๆ แต่กับเรื่องนี้ พอทุกอย่างต่อเนื่องกันไปหมด เราคาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ซึ่งเอาจริงๆ เราในฐานะคนดู ยังสามารถเลือกหลับตา หรือเดินออกจากโรงได้เสมอ ถ้ารู้สึกทนไม่ไหวจริงๆ แต่พลทหารในสมรภูมิจริงไม่ได้โชคดีมีทางเลือกอย่างเรา พวกเขาถูกบังคับให้เดินหน้าและเสี่ยงตายต่อไปเรื่อยๆ เพราะมีเวลาเป็นศัตรู มีชีวิตของเพื่อนร่วมชาติเป็นเดิมพัน
เรายังไม่กล้าฟันธงว่า สุดท้าย 1917 จะไปได้ไกลถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากงานออสการ์ปีนี้หรือเปล่า แต่พอจะมั่นใจได้ว่า จาก 10 รางวัลที่เข้าชิงทั้งหมด เราจะได้ยินชื่อของ โรเจอร์ ดีกินส์ ดังขึ้นในฐานะผู้ชนะรางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่ 2 ต่อจาก Blade Runner 2049 อย่างแน่นอน
หลังจากนี้ 1917 จะกลายเป็นภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำๆ ในคลาสเรียนภาพยนตร์ เพื่อชำแหละทุกองค์ประกอบ ทั้งการถ่ายภาพ, ตัดต่อ, โปรดักชันดีไซน์, CGI, ดนตรีประกอบ และทุกๆ อย่างในการสร้างภาพยนตร์ระดับนี้ขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง
และ 1917 ก็จะเป็นผลงานอีกหนึ่งเรื่องที่จะถูกนำมาพูดถึงอยู่ทุกครั้ง เมื่อพูดภาพยนตร์สงครามสุดคลาสสิกที่พูดถึงความสูญเปล่าของสงคราม แบบเดียวกับที่ Saving Private Ryan (1998) กลายเป็นภาพยนตร์สงครามในดวงใจของใครหลายคน
ภาพยนตร์ที่เป็นเหมือนจดหมายส่งไปบอกเหล่าผู้นำระดับโลกว่า สิ่งที่ควรที่สุดไม่ใช่การมอบเหรียญตราเชิดชูเกียรติ แต่เป็นการทำอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องให้มีนายทหาร หรือใครก็ตามต้องตกไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอย่างไร้ค่า เพื่อแลกกับเหรียญตราที่ไม่ได้มีค่ามากไปกว่าการเอาไปแลก ‘ไวน์’ 1 ขวด
และวิธีหนึ่งที่จะทำให้สงครามไม่ใช่การ ‘รบ’ แต่เป็นการ ‘ไม่รบ’
รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ 1917 ได้ที่