หลังจากผ่านการนับคะแนนมาเกือบ 2 สัปดาห์ ในที่สุดผลการเลือกตั้งกลางเทอมในวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมาก็ออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า พรรครีพับลิกันสามารถเอาชนะเดโมแครตในสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎรไปได้อย่างฉิวเฉียด และความพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็ทำให้พรรคเดโมแครตได้ถือโอกาสถ่ายเลือดเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคในสภา โดยเฉพาะผู้นำสูงสุดอย่างแนนซี เพโลซี ที่เป็นผู้นำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคมาเกือบ 2 ทศวรรษ และดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรมาถึง 4 สมัย หรือ 8 ปี
ตัวแทนของซานฟรานซิสโก
เพโลซีเริ่มเล่นการเมืองจากการชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. จากมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เขต 5 (ซึ่งก็คือเขตของมหานครซานฟรานซิสโก) ในปี 1987 และชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายมาติดต่อกันถึง 18 สมัย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะเมืองซานฟรานซิสโกถือได้ว่าเป็นเขตเสรีนิยมจัดที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครตมาแต่ไหนแต่ไร
ด้วยความที่เพโลซีชนะเลือกตั้งติดต่อกันหลายสมัย จนเธอสะสมความอาวุโสและบารมีในพรรคมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2002 เธอก็ได้รับการโหวตจาก ส.ส. ในพรรคให้ขึ้นมาเป็นผู้นำของพรรคในสภาผู้แทนราษฎร แต่เนื่องจากในขณะนั้นพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างน้อยในสภา จึงทำให้เธอยังได้เป็นแค่ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน จนกระทั่งในการเลือกตั้งปี 2006 ที่พรรคเดโมแครตของเธอชนะการเลือกตั้งได้ครองเสียงข้างมากในสภา ทำให้ในที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
The Vote Counter
เพโลซีถือเป็นผู้นำของพรรคเดโมแครตที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการชี้นำ ส.ส. ของพรรคให้โหวตไปในทิศทางเดียวกัน เธอมีความสามารถอย่างมากในการที่จะร่างกฎหมายในลักษณะประนีประนอมที่จะทำให้ ส.ส. กลางซ้ายและซ้ายจัดในพรรคสามารถโหวตให้กับร่างนั้นได้ นอกจากนั้นเธอยังเป็นคนเก็บรายละเอียดเก่งและจดจำ ส.ส. ของพรรคในฐานะบุคคล (ไม่ใช่แค่ลูกน้อง) ทำให้หลายๆ ครั้งเธอก็สามารถขอร้อง (แกมบีบบังคับ) ให้ ส.ส. ของพรรคโหวตในร่างกฎหมายที่พวกเขาอาจจะไม่เห็นด้วย
ตัวอย่างของความสามารถของเธอ เช่น การที่เธอช่วยผลักดันให้ร่างกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ หรือ Affordable Care Act ผ่านสภาล่างได้อย่างฉิวเฉียดที่ 219 เสียง โดยเพโลซีมีบทบาทอย่างมากในการเจรจากับบารัก โอบามา ประธานาธิบดีขณะนั้น ให้ร่างกฎหมายมีความเสรีนิยมลดลง (เช่น ตัดงบช่วยเหลือการทำแท้งแก่ผู้มีรายได้น้อยและประกันสุขภาพราคาถูกจากรัฐบาลกลาง) จนทำให้ ส.ส. ที่เป็นพวกกลางซ้ายยินยอมโหวตให้กับร่างกฎหมายนี้ รวมถึงการที่เธอสามารถช่วยให้โจ ไบเดนผ่านร่างกฎหมายใหญ่ๆ อย่าง American Rescue Plan Act ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตโควิด และ Bipartisan Infrastructure Bill มูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ลงทุนปรับปรุงถนน สะพาน ระบบราง ไฟฟ้า และระบบการบริหารจัดการน้ำครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ
ตำบลกระสุนตก
ถึงแม้ว่าในความจริงแล้วเพโลซีมักจะเป็นตัวเชื่อมของสมาชิกกลางซ้ายและซ้ายจัดในพรรค แต่ด้วยความที่เธอเป็นผู้นำและเป็นหน้าตาของพรรค เธอก็มักจะถูกพรรครีพับลิกันโจมตีว่าเธอเป็นพวกซ้ายจัด (ยิ่งเธอเป็นผู้แทนจากเมืองซานฟรานซิสโกก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของความเป็นเสรีนิยมจัดนั้นเด่นชัดขึ้น) ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เวลาที่พรรครีพับลิกันจะโจมตีนักการเมืองคนไหนของเดโมแครต พวกเขาก็มักจะเอาชื่อของเพโลซีมาอ้างว่า การเลือกนักการเมืองคนนั้นเข้าไปในสภา ก็เหมือนเอาลูกล้อไปเพิ่มให้กับเพโลซี แต่อย่างไรก็ดีด้วยความที่เธอไม่ใช่นักการเมืองที่เป็นดาวดังในโซเชียลมีเดีย ก็ทำให้การโจมตีของพรรครีพับลิกันในยุคหลังๆ เริ่มลงไปที่นักการเมืองรุ่นใหม่ที่เป็น ‘ดาว TikTokk’ อย่าง อเล็กซานเดรีย โอกาซิโอ-กอร์เตส หรือ อิลฮาน โอมาร์ แทน
เดโมแครตผลัดใบ
ถึงแม้ว่าเพโลซีจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ แต่เธอก็ถูกวิจารณ์อยู่เสมอๆ ว่าเธอครองอำนาจอยู่นานเกินไปและไม่ยอมส่งต่ออำนาจให้คนรุ่นใหม่ในพรรคเสียที ทำให้คนรุ่นใหม่ของพรรคไม่ได้เติบโตมาเกือบ 2 ทศวรรษ ซึ่งความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ก็ทำให้เธอถึงเวลาต้องตัดใจลงจากอำนาจเสียที และก็เป็นที่คาดหมายกันว่า ส.ส. ผิวดำอย่าง ฮาคีม เจฟฟรีส์ จากมลรัฐนิวยอร์ก เขต 8 จะมาเป็นผู้นำ ส.ส. ของพรรคคนถัดไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นการถ่ายเลือดสู่คนรุ่นใหม่ เพราะเจฟฟรีส์นั้นมีอายุแค่ 52 ปี และเขาก็จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นชายผิวดำคนแรกที่มีโอกาสเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย
ภาพ: Olivier Douliery / AFP