ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว ยังมีมุมมืดมุมหนึ่งที่แสงสว่างมักส่องไปไม่ถึง นั่นคือชีวิตของผู้หญิงหลังกำแพงเรือนจำ
ในโอกาสครบรอบ 15 ปีของการรับรอง ‘ข้อกำหนดกรุงเทพ’ (The Bangkok Rules) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ได้จัดงานประชุมนานาชาติ ‘จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ: 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพ และอนาคตของกระบวนการยุติธรรมที่สนองตอบต่อเพศภาวะ’ เพื่อทบทวนอดีต มองปัจจุบัน และกำหนดอนาคต ต่อสถานการณ์ที่ว่าแม้เราจะมีกฎหมายคุ้มครองผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกมา 15 ปีแล้ว แต่จำนวนผู้หญิงในคุกกลับยังพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุด

จากน้ำตาของแม่…สู่กฎหมายของโลก
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถ่ายทอดความทรงจำอันทรงพลังผ่านปาฐกถาพิเศษ ย้อนกลับไปสู่จุดกำเนิดของข้อกำหนดฉบับนี้
‘การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นด้วยก้าวเล็กๆ แต่ทรงพลัง’ เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จเยี่ยมทัณฑสถานหญิงกลางเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2544
“ผู้ต้องขังหญิงคนหนึ่งคือแม่ที่พยายามเลี้ยงดูลูกหลังลูกกรง เธอระบายความกลัวที่กัดกินหัวใจ ความไม่แน่นอนของการต้องคลอดลูกในขณะถูกคุมขัง ความยากลำบากในการปลอบโยนทารกในสถานที่ที่ไม่เคยถูกสร้างมาเพื่อเด็ก และความใจสลายที่รู้ว่าอนาคตของลูกถูกกำหนดด้วยสถานการณ์ ไม่ใช่ด้วยทางเลือก”
บทสนทนานั้นทิ้งร่องรอยลึกในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงมองเห็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามคือผู้ต้องขังหญิง โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และแม่ลูกอ่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ‘เปราะบางและถูกลืม’
จากจุดเริ่มต้นของการจัดหาผ้าอ้อม นมผง และพื้นที่ปลอดภัยเล็กๆ ในเรือนจำ ได้ขยายผลสู่ ‘โครงการกำลังใจ’ และยกระดับสู่เวทีโลกผ่านโครงการ ELFI จนกระทั่งที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติได้รับรอง ‘ข้อกำหนดกรุงเทพ’ ในปี 2010 ซึ่ง ดร.กิตติพงษ์ ได้ยกพระดำรัสของพระองค์ในวันประวัติศาสตร์นั้นมาเตือนใจผู้เข้าร่วมประชุมว่า
“หากปี 2010 จะเป็นปีแห่งความหวังสำหรับผู้หญิง ก็ขอให้สิ่งนี้เป็นของขวัญจากประเทศไทยที่มอบให้แก่งานของสหประชาชาติ”

วิกฤตการณ์ที่มองไม่เห็น: เมื่อเรือนจำถูกสร้างมาเพื่อผู้ชาย
แม้จะมีกฎหมายคุ้มครองในระดับสากลแล้ว แต่สถานการณ์จริงในปัจจุบันกลับยังน่าเป็นห่วง ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ เปิดเผยข้อมูลสถิติที่สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างน่ากังวล
“ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จำนวนผู้หญิงและเด็กหญิงในเรือนจำทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นเกือบ 60% เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของผู้ต้องขังชายที่ 22%” ผู้อำนวยการ TIJ ย้ำตัวเลขที่น่าตกใจ “วันนี้มีผู้หญิงกว่า 740,000 คนถูกคุมขังทั่วโลก แนวโน้มนี้รุนแรงเป็นพิเศษในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งจำนวนผู้ต้องขังหญิงเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในรอบสองทศวรรษ”
ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ที่ตัวเลข แต่อยู่ที่ ‘โครงสร้าง’ ของระบบราชทัณฑ์ ดร.พิเศษ ชี้ให้เห็นว่าระบบยุติธรรมส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาโดยยึดผู้ชายเป็นศูนย์กลาง ทำให้ความต้องการของผู้หญิงกลายเป็นเรื่องที่ถูกมองข้าม
“เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้คือผู้หญิงที่มักเป็นแม่ เป็นผู้ดูแลหลักของครอบครัว เป็นคนทำงาน และเป็นผู้รอดชีวิต” ผู้อำนวย TIJ กล่าว “งานวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมาจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก หลายคนมาจากฐานะยากจน เกี่ยวข้องกับคดีเล็กน้อย และต้องถูกขังระหว่างพิจารณาคดีเพียงเพราะไม่มีเงินประกันตัว จำนวนมากยังมีประวัติถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิดมาก่อนที่จะกระทำความผิดเสียอีก”
คำถามสำคัญที่ ดร.พิเศษ ฝากไว้ต่อที่ประชุมคือ อะไรคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลงโทษจำคุก? หากเป้าหมายคือการคุ้มครองสังคม การจำคุกผู้หญิงที่เปราะบางเหล่านี้อาจไม่ได้ตอบโจทย์ แต่กลับเป็นการซ้ำเติมวงจรแห่งความเสียเปรียบให้ลึกลงไปอีก

ราคาที่สังคมต้องจ่าย: ความสูญเสียข้ามรุ่น
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยย้ำว่าประเด็นเรื่องผู้ต้องขังหญิงไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเป็นเพียงเรื่องสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ ‘ความมั่นคงของมนุษย์’ และศักยภาพของชาติ
นายกฯ ได้กล่าวถ้อยแถลงที่สะท้อนถึงผลกระทบในวงกว้างว่า การจำคุกผู้หญิงหนึ่งคน ไม่ได้หมายถึงการลงโทษคนคนเดียว แต่คือการลงโทษครอบครัวและชุมชนของเธอด้วย
“ผลกระทบเชิงลบจากการจำคุกผู้หญิงนั้นลึกซึ้งมหาศาล” อนุทินกล่าว “เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้าสู่เรือนจำ ครอบครัวจะแตกแยก เด็กๆ จะตกอยู่ในความเสี่ยง และชุมชนจะสูญเสียกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจและการดูแลครอบครัว คือการสูญเสียทุนมนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องข้ามรุ่น”
Bangkok Rules Accelerator: จากวิสัยทัศน์…สู่ปฏิบัติการเร่งด่วน
เพื่อให้การแก้ปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้องประชุม ประเทศไทยและสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ประกาศเปิดตัว ‘โครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามข้อกำหนดกรุงเทพ’ (Bangkok Rules Accelerator) อย่างเป็นทางการ
โครงการนี้ไม่ใช่เพียงการรณรงค์ทั่วไป แต่เป็นกลไกเชิงรุกที่จะทำงานในระยะเวลา 5 ปี เพื่อเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้เป็นการปฏิบัติที่จับต้องได้ โดยจะมุ่งเน้นการสนับสนุนประเทศนำร่องในการปฏิรูปกฎหมาย การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการให้ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ตรง (Women with Lived Experience) มีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย เพื่อให้แน่ใจว่าทางออกที่คิดขึ้นมานั้นใช้ได้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฎี
3 เสาหลักสู่อนาคต: แผนที่นำทางฉบับใหม่
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ เสนอ 3 ภารกิจเร่งด่วนที่ประชาคมโลกต้องร่วมมือกันทำในทศวรรษหน้า เพื่อให้ข้อกำหนดกรุงเทพเห็นผลอย่างแท้จริง
1. ลดการจำคุกผู้หญิง: ต้องยอมรับความจริงว่าผู้หญิงจำนวนมากถูกขังด้วยคดีที่ไม่รุนแรง คดีที่เกิดจากความยากจน หรือการถูกบังคับขู่เข็ญ ทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่การจำคุก เช่น การคุมความประพฤติ หรือกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ต้องกลายเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่ข้อยกเว้น การจำคุกควรเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ
2. สร้างโมเดลการกลับคืนสู่สังคมที่ร่วมมือกันทั้งสังคม: เรือนจำไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ลำพัง ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และเอกชน ต้องร่วมมือกันสร้างเส้นทางอาชีพ ที่อยู่อาศัย และการยอมรับ เพื่อให้โอกาสที่สองมีความหมาย
3. เปลี่ยนความยุติธรรมให้เป็นโอกาส: ระบบยุติธรรมต้องไม่ทำลายศักดิ์ศรี แต่ต้องสร้างความเข้มแข็ง ‘นี่คือจิตวิญญาณของข้อกำหนดกรุงเทพ: การมองผู้หญิงไม่ใช่ในฐานะความเสี่ยงที่ต้องควบคุม แต่ในฐานะศักยภาพของมนุษย์ที่ต้องได้รับการฟื้นฟู’

แสงสว่างที่ต้องไม่มอดลง
งานครบรอบ 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าโลกไม่อาจเพิกเฉยต่อชะตากรรมของผู้ต้องขังหญิงได้อีกต่อไป ความยุติธรรมที่แท้จริงต้องมี ‘เพศภาวะ’ เป็นเลนส์ในการมองปัญหา และต้องมีความเมตตาเป็นหัวใจในการขับเคลื่อน
ดร.กิตติพงษ์ ได้อัญเชิญพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ เมื่อ 15 ปีก่อนอีกครั้ง เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการทำงานต่อไป
“ด้วยการมอบเงื่อนไขและการปฏิบัติที่มีมนุษยธรรมและเปี่ยมด้วยเมตตา เราจะสามารถนำแสงสว่างเข้าไปสู่ความมืดมิดในชีวิตและจิตใจของพวกเธอ เพื่อมอบความหวังและศักดิ์ศรีคืนกลับมา”


