ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ออกบทวิจัยประเมินภาพตลาดหุ้นไทย หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีแผนทบทวนเกณฑ์เกี่ยวกับการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) รวมทั้งมีแผนจัดทำดัชนีโดยใช้เกณฑ์ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วย Free Float (Free Float Adjusted Market Capitalization) เพื่อให้ดัชนีสามารถสะท้อนสภาพการณ์ตลาดได้ดีมากขึ้น และเป็นไปในแนวทางเดียวกับสากล
โดย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า หุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET50 หรือ SET100 ที่มี Free Float ต่ำ จะถูกจับตาดูเป็นพิเศษ เนื่องจากเดิมตลาดใช้เกณฑ์ในการคัดกรองหุ้นใน SET50-100 คือ Free Float มากกว่า 20% หากตลาดเพิ่มเกณฑ์ Free Float ในการคัดกรอง อาจทำให้หุ้นที่มี Free Float ต่ำใกล้เคียงเกณฑ์เดิม มีโอกาสสูงถูกคัดออกจากดัชนีได้ เช่น DELTA, GPSC, AWC, VGI, BPP, CKP และ ACE น่าจะได้รับ Sentiment เชิงลบจากประเด็นดังกล่าว
นอกจากนี้ หากตลาดปรับเกณฑ์คำนวณดัชนีจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในการคำนวณ (Full Market Capitalization) เป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วย Free Float หรือ Free Float Adjusted Market Capitalization จะทำให้หุ้นที่มี Free Float น้อยมีผลต่อตลาดน้อยลงอย่างมีนัย ในทางกลับกันจะมีกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์เช่นกัน
โดยฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ได้รวบรวมข้อมูลทั้งในมุมอุตสาหกรรม และหุ้นที่มีโอกาสส่งผลต่อตลาดมากขึ้นหากมีการปรับเกณฑ์ ดังนี้
1. กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้และเสียประโยชน์โดยเริ่มจากพิจารณาจาก Free Float ของ SET Index ล่าสุดอยู่ที่ 44% ซึ่ง Sector ที่มี Free Float มากกว่า SET Index คือ BANK, CONS, CONMAT, AGRI, ICT, HELTH, PROP, TOURISM, INSURE และ PF&REIT ซึ่งการขยับของราคาหุ้นมีโอกาสผลักดันดัชนีมากขึ้น รวมถึงมีโอกาสได้แรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน Passive Fund เพิ่มเติม
ในทางกลับกัน Sector ที่มี Free Float น้อยกว่า SET Index ได้แก่ COMM, ENERGY, FOOD, PETRO, FIN, TRANS, MEDIA, AUTO และ ETRON การเคลื่อนไหวของราคามีผลต่อดัชนีน้อยลง และมีโอกาสถูกกองทุน Passive Fund ลดสัดส่วนเงินลงทุนเช่นกัน
2. ฝ่ายวิจัยได้คัดกรองหุ้นที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว เริ่มจากหุ้นที่มีน้ำหนักต่อดัชนีเพิ่มขึ้นมากสุด 10 อันดับแรก มีโอกาสได้เม็ดเงินลงทุนจากกองทุน Passive Fund ในการปรับพอร์ตตามดัชนีเพิ่มขึ้นเยอะสุด
อาทิ BBL คือหุ้นที่มีน้ำหนักต่อดัชนีเพิ่มขึ้นมากสุด โดยส่งผลต่อ SET Index เพิ่มขึ้น 1.7% (มีน้ำหนักต่อดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 1.4% เป็น 3.1%) หรือ ทุกๆ 1% ที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นของ BBL จะส่งผลต่อ SET เพิ่มขึ้นเป็น 0.47 จุด จากเดิม 0.21 จุด ในอีกมุมหนึ่งคือ กองทุน Passive Fund มีโอกาสเพิ่มเม็ดเงินลงทุนใน BBL ขึ้นถึง 125% จากเม็ดเงินเดิมที่ลงทุนอยู่แล้ว
ส่วนหุ้นที่เสียประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว หรือหุ้นที่มีน้ำหนักต่อดัชนีลดลงมากสุด 10 อันดับแรก มีโอกาสถูกลดเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน Passive Fund เพื่อปรับพอร์ตตามดัชนี
สรุปคือ หากเกณฑ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แม้อาจทำให้ SET Index ผันผวนในระยะสั้นจากการปรับพอร์ตของกองทุน Passive Fund รวมถึงนักลงทุนเข้าไปแสวงหากำไรจากประเด็นดังกล่าว แต่ในระยะถัดไปทำให้ SET Index สามารถสะท้อนสภาพตลาดได้ดีมากขึ้น
ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล