วันนี้ (20 ก.พ.) เวลา 09.50 น. ที่ร้าน S&P แกนนำพรรคพลังประชารัฐ นำโดย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรค และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กรรมการบริหารพรรค แถลงเปิด 5 นโยบายเศรษฐกิจกรุงเทพฯ ภายใต้แคมเปญ Bangkok OK ได้แก่
1. Super High Speed WiFi 5G นำร่อง 9 พื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ บางขุนเทียน, สีลม, จตุจักร, เยาวราช, ดอนเมือง, เจริญนคร, เจริญกรุง, สยาม และราชประสงค์
2. เว็บไซต์ Bangkok Ok Shop ให้เป็นพื้นที่ค้าขายออนไลน์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ระดับโลก โดยรับสินค้าจากคนกรุงเทพฯ เพื่อโปรโมตไปทั่วโลก ลดต้นทุนการตลาดและประชาสัมพันธ์ของผู้ผลิต พร้อมทั้งส่งเสริมโปรโมชันจากสินค้าต่างๆ ในเว็บไซต์
3. เปิดถนนคนเดินประชารัฐ 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็นสถานที่ค้าขายและพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว จัดระเบียบผู้ค้าขายให้เหมาะสมปลอดภัย
4. สตาร์ทอัพสามารถจดทะเบียนและอนุมัติได้ภายใน 1 วัน
5. ติดปีกธุรกิจกองทุนสนับสนุนสมาร์ทไอเดีย เปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นเงินทุน สามารถระดมทุนสร้างธุรกิจได้จริง
นายสนธิรัตน์กล่าวว่านโยบายกรุงเทพฯ จะเชื่อมโยงกับนโยบายภาพรวมประเทศของพรรค โดยมีผู้สมัคร ส.ส. ร่วมพิจารณาเพื่อช่วยกันตอบสนองความต้องการของประชาชน จึงขอให้มั่นใจว่าพรรคไม่ได้พูดนโยบายไปเรื่อยๆ แต่ต้องตอบโจทย์และขับเคลื่อนได้ในทางปฏิบัติ และในทุกวันอังคารหลังจากนี้อีก 3 สัปดาห์ขอให้ติดตามนโยบายใหม่ๆ ของพรรคได้ เรียกได้ว่าเร้าใจอย่างแน่นอน
นายสนธิรัตน์ยังกล่าวถึงความนิยมของพรรคที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พรรคไม่ประมาท เพราะช่วงโค้งสุดท้ายถือเป็นการต่อสู้ของพรรคการเมืองหลายๆ พรรค พรรคพลังประชารัฐมีจุดยืนที่ชัดเจนคือไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับใครและทำให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้า จึงเชื่อว่าสิ่งนี้ทำให้ประชาชนเลือกสนับสนุนพรรค
ส่วนกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ยื่นเรื่องต่อ กกต. ให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ระบุว่าพรรคไม่ต้องเตรียมอะไรนอกจากความจริง เพราะการเมืองมักจะสร้างประเด็น แต่บางประเด็นก็ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง ดังนั้นพรรคก็จะเตรียมข้อเท็จจริงไปชี้แจง และมั่นใจว่าพรรคไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ผิดรัฐธรรมนูญ หรือผิดเงื่อนไข ซึ่งเรื่องดังกล่าวทางฝ่ายกฎหมายของพรรคจะเป็นผู้ดำเนินการ
นายสนธิรัตน์ยังชี้แจงกรณีที่หลายพรรคการเมืองเรียกร้องให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าร่วมเวทีดีเบตว่าต้องไปดูข้อกฎหมาย แม้พลเอก ประยุทธ์ จะได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในนามของพรรค แต่สถานะยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงไม่เหมาะที่จะลงมาดีเบต และพลเอก ประยุทธ์ ก็ไม่จำเป็นต้องดีเบต เพราะที่ผ่านมาก็ได้แสดงวิสัยทัศน์ในนามนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องอยู่แล้ว พรรคพลังประชารัฐเรียนเชิญพลเอก ประยุทธ์ มานั่งแคนดิเดตนายกฯ เพราะตัวตนของพลเอก ประยุทธ์ ส่วนหน้าที่ดีเบตและการนำเสนอนโยบายเป็นหน้าที่ของพรรค ดังนั้นโดยกฎหมายจึงไม่อนุญาตให้ลงมาดีเบตได้ เนื่องจากไม่ใช่สมาชิกพรรค ขอให้แยกให้ชัดเจน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการปฏิรูปกองทัพที่หลายพรรคเสนอนโยบายตัดงบประมาณและยกเลิกการเกณฑ์ทหาร นายสนธิรัตน์กล่าวว่าประเด็นปฏิรูปกองทัพเป็นกรอบความคิดที่กองทัพเองไม่ได้ปฏิเสธการปฏิรูป และนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ ก็เน้นการปฏิรูปในทุกด้าน ไม่เฉพาะเจาะจง และในทางปฏิบัติกองทัพก็ได้ปฏิรูปตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ที่เป็นประเด็นขณะนี้เพราะหลายพรรคไปเจาะจงที่การลดงบประมาณ ซึ่งไม่ใช่การปฏิรูปทั้งระบบ สิ่งเหล่านี้ต้องดูความเป็นจริงประกอบกัน
ทั้งนี้พรรคได้ศึกษาเรื่องดังกล่าวไว้ แต่ไม่ได้เจาะจงที่กองทัพอย่างเดียว เพราะการปฏิรูปต้องปฏิรูปทั้งประเทศ ดังนั้นการพูดถึงกองทัพขณะนี้ไม่ใช่การปฏิรูปที่แท้จริง แต่เป็นประเด็นให้กองทัพต้องมารับผิดชอบทางการเมืองมากกว่า
นายสนธิรัตน์ปฏิเสธด้วยว่ากองทัพไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง หน้าที่ของกองทัพคือการดูแลความมั่นคง ส่วนรัฐประหารทุกครั้ง ต้นเหตุเกิดมาจากนักการเมือง ไม่ได้เกิดจากกองทัพ ดังนั้นการแก้ที่กองทัพเพื่อป้องกันรัฐประหารจึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าย้อนหลังกลับไป รัฐประหารทุกครั้งเกิดจากความล้มเหลวของฝ่ายการเมืองที่ไม่สามารถดำเนินการแบบปกติได้ แม้กระทั่งการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ก็ไม่ได้รัฐประหารรัฐบาลที่มาจากประชาชน แต่เป็นรัฐบาลรักษาการที่เดินหน้าไม่ได้ ประเทศไปต่อไม่ได้ เลือกตั้งก็ไม่ได้ เกิดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน กองทัพจึงเข้ามาแก้ปัญหา ดังนั้นการปฏิรูปกองทัพวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน อยากให้เอาเวลาไปแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองที่เร่งด่วน เพราะส่วนตัวเชื่อว่ากองทัพรับฟังความคิดเห็นต่างๆ แต่สิ่งเหล่านั้นยังมีเวลาพูดคุยพิจารณา
ภาพ: www.facebook.com/PPRPThailand
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
