คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย แถลงนโยบายแก้วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจซบเซาในปัจจุบันว่า พรรคเพื่อไทยขออาสาเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยอยู่รั้งท้ายในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเด็นการศึกษาที่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ดี ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยตลอดจนพรรคเพื่อไทย เราพิสูจน์แล้วว่าบุคลากรของพรรคเป็นทีมบริหารมืออาชีพที่นำพาประเทศพ้นวิกฤตมาตั้งแต่สมัยต้มยำกุ้ง ปี 2540
พรรคเพื่อไทยมองว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นคือโอกาสที่จะผลิตนโยบายใหม่ๆ มาแก้ปัญหา มั่นใจว่าคนในยุคสมัยใหม่มีความสามารถ และเชื่อว่าพลังของพวกเขาจะสามารถขับเคลื่อนประเทศ รวมถึงต้องมีการรื้อฟื้นแนวคิด SMEs ที่ไม่มีความมั่นคงตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยสร้างกองทุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ แต่ไม่มีโอกาส เข้าไปประสานกับมหาวิทยาลัยผ่านการสนับสนุนของภาครัฐ และให้ผ่อนคืนภาครัฐเมื่อสามารถตั้งตัวได้หรือมีความมั่นคงในชีวิต อีกทั้งต้องเตรียมพร้อมกับธุรกิจยุคใหม่ อาทิ การค้าออนไลน์
อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาจะไม่สร้างความขัดแย้งและรับฟังความเห็นต่าง แต่ขอให้ร่วมมือกันพาประเทศพ้นวงจรอุบาทว์ที่อาศัยความขัดแย้งและเรียกทหารเข้ามาสะสางปัญหา โดยจะนำประสบการณ์ทางการเมืองตลอด 27 ปีมาบริหารประเทศ
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นฐานล่างของการสร้างตึกที่เปรียบเสมือนประชาชน โดยจะจับมือกับนายชัชชาติเพื่อร่วมกันสร้างฐานรากให้แข็งแรง ให้ประเทศไทยทัดเทียมนานาประเทศ
ส่วนนโยบายการท่องเที่ยว พรรคเพื่อไทยจะเติมกำลังซื้อให้คนในประเทศ และจะปฏิรูปเรื่องการเกษตรและสุขภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และการศึกษาต้องเปิดทางให้เกิดความหลากหลาย ขณะที่ปัญหายาเสพติดก็ต้องหมดไปจากประเทศ
ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนต้องเลือกเพื่อไทยอย่างถล่มทลายเพื่อเข้าไปเป็นหัวหอกต่อสู้กับ ส.ว. 250 เสียงที่รัฐบาล คสช. เลือกเข้ามาโดยไม่ผ่านเสียงของประชาชน
พร้อมยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ปล่อยให้ประเทศล้าหลังและสิ้นหวังอย่าง 5 ปีที่ผ่านมา ตัดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่จะใช้ศักยภาพตัวเองสร้างรายได้ รวมถึงโอกาสของประชาชนทั้งประเทศ เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันใช้งบประมาณไป 13 ล้านล้านบาท ความล้มเหลวสะท้อนผ่านตัวเลขจีดีพี ทำให้เกิดภาวะรวยกระจุก จนกระจาย ใช้เงินเก่ง แต่หาเงินไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นภาษีน้ำมัน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อประชาชน ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น อีกทั้งยังขูดรีดภาษีประชาชนหลังรัฐประหาร ทำให้หนี้เสียและหนี้คนไทยเพิ่มขึ้น
วันนี้หมดเวลาแล้วที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสืบทอดอำนาจผ่านกลไกของรัฐธรรมนูญ รวมทั้งอำนาจผ่านองค์กรอิสระ เช่น กรณีหานาฬิกาไม่เจอ หรือกรณีสถานะของนายกรัฐมนตรีที่ไม่แน่ชัดว่าดำรงตำแหน่งในสถานะอะไร ส่วนธุรกิจของโลกยุคใหม่ก็ไม่มีการช่วยเหลือ และยังดึงต่างชาติเข้ามา แต่ไม่เหลียวมองคนตัวเล็กในประเทศไทย
ดังนั้นต้องเลือกอย่างถล่มทลายผ่านยุทธศาสตร์ในการส่งพรรคเพื่อไทยเข้าไปต่อสู้กับผู้มีอำนาจ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเลือกเพื่อไทยเข้าไปสกัดกั้น ส.ว. และเพื่อไทยจะสร้างความสงบสุขที่อยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีและเคารพเสียงประชาชน ไม่สร้างความเกลียดชัง เดินหน้าหาพันธมิตรไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และย้ำว่าเพื่อไทยจะไม่เป็นเหยื่อของความขัดแย้ง
ส่วนวาทกรรมที่โจมตีพรรคเพื่อไทยว่าจัดสรรงบประมาณที่ไม่เป็นธรรรม คุณหญิงสุดารัตน์ยืนยันว่าไม่มีการแบ่งงบประมาณไปยังพื้นที่สนับสนุนพรรคเท่านั้น ซึ่งตัวเลขเหล่านี้พิสูจน์ได้ ไม่ใช่วาทกรรม เพราะเพื่อไทยมองเห็นความเดือดร้อนของคนไทยเท่าเทียมกันทั้งประเทศ
ด้านนายชัชชาติได้ยกตัวอย่างหนังสือ How Democracies Die ที่ชี้ว่าปัจจุบันเทรนด์ทั่วโลกตอนนี้ประชาธิปไตยเริ่มถดถอย โดยมีสองประเด็นหลักคือ ตายด้วยปืน และตายโดยคนที่อาศัยประชาธิปไตยเข้ามาสู่อำนาจหรือเป็นเผด็จการ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างนี้ โดยนายชัชชาติย้ำว่าประชาชนต้องเลือกให้ดีว่าจะเลือกคนที่ไม่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้ช่องทางของรัฐธรรมนูญ และปิดปาก ปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน หรือมีแนวคิดล้มล้างประชาธิปไตยหรือไม่
อย่างไรก็ดี ตนได้พูดเรื่องเวลามีค่าหลายครั้งแล้ว ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมามีโครงการเกิดขึ้นหลายโครงการ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าประเทศเสียโอกาสหลายกรณี อาทิ การตรวจสอบความโปร่งใส และในอนาคตเราจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ ซึ่งจะมีผลกระทบมากมายมหาศาล
นายชัชชาติระบุว่าผู้บริหารมืออาชีพไม่ใช่การสร้างวาทกรรม เพราะหากเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล เราไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเจ้าของประเทศ แต่เพื่อไทยมีวิสัยทัศน์ที่จะมุ่งดูแล สร้างคุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น และสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้บริหารอาชีพ
นอกจากนี้ต้องมองอนาคตด้วยความเข้าใจบริบทของสังคม ไม่ใช่ความเพ้อฝัน โดยมีผลงานที่เป็นรูปธรรม ถ้าไม่สามารถทำตามสัญญาได้ ประชาชนก็ไม่เลือกเพื่อไทยในสมัยหน้า
ส่วนเรื่องธุรกิจด้านการขนส่ง ในอนาคตพรรคเพื่อไทยต้องทำให้กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้กฎหมายบางข้อต้องถูกแก้ไข และต้องส่งเสริมโดยความยุติธรรม ขณะที่การศึกษาต้องเปิดช่องทางให้ภาคเอกชนเข้าถึงการสร้างหลักสูตร ซึ่งในจุดนี้พรรคเพื่อไทยมีนโยบายสำหรับการพัฒนาประเด็นเหล่านี้ไว้อยู่แล้ว
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์