วันเลือกตั้ง

ธนาธรประกาศขอปักธงความคิดให้สังคมไทย ชูนโยบายไทย 2 เท่า ขอไขว่คว้าทุกคะแนนเสียง

01.10.2018
  • LOADING...

“ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี” คือคำประกาศชัดเจนอีกครั้งของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในงานแถลงวิสัยทัศน์ใหม่ของประเทศไทยภายใต้สโลแกน ‘ได้เวลาอนาคตใหม่ ไทย 2 เท่า’ หลังจากได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ให้เป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย

 

ในเอกสารของพรรคที่แจกให้สื่อมวลชนวันนี้ระบุสาสน์ของหัวหน้าพรรคตอนหนึ่งไว้ว่า “ถึงเวลาปลดปล่อยศักยภาพประเทศไทยด้วยมือของเราเอง อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของมัน อนาคตใหม่คืออนาคตที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน”

 

 

ธนาธรยืนยันว่าพรรคเสนอเส้นทางใหม่ให้ประชาชนเพื่อให้มีความเท่าเทียมกันและเท่าทันโลก ที่ผ่านมามีการปลูกฝังความคิดรวยจนขึ้นอยู่กับความพยายาม ซึ่งเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในการรับสวัสดิการของรัฐ ซึ่งในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ทำได้โดยอาศัยความร่วมมือ ยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่สากล และที่ผ่านมาตนเสนอรถไฟฟ้าระบบไฮเปอร์ลูปทดแทนรถไฟฟ้าความเร็วสูง ปรับสู่เทคโนโลยีที่ทันสมัย และพร้อมผลักดันอนาคตให้ประเทศไทยเท่าเทียมกันในทุกมิติ โดยอีก 3 เดือนจะมีการเปิดเผยนโยบายของพรรคภายใต้สโลแกน ‘ไทย 2 เท่า’

 

พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ให้รายละเอียดว่าตลอด 7 เดือนที่ก่อรูปจนมาสู่การตั้งพรรคได้สำเร็จถือว่า ‘มาไกล’ สิ่งที่พยายามทำมาโดยตลอดคือการปักธงอนาคตใหม่ลงในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยและมุ่งสู่การทำการเมืองสร้างสรรค์ แต่พรรณิการ์ยอมรับว่าแม้อนาคตใหม่มาไกล แต่จะไปได้ไกลขนาดไหนอยู่ที่ ‘ประชาชน’

 

 

ด้าน ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค บอกว่าความขัดแย้งที่ผ่านมามากกว่าทศวรรษนำมาสู่การขีดเส้นคู่ขัดแย้งใหม่ระหว่างประชาชนคนธรรมดากับเผด็จการและชนชั้นนำที่ผูกขาดอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะที่ทุกคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกคือการมาเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน และพรรคมีแนวทางที่จะเปิดเผยรายได้ทุก 3 เดือนเพื่อความโปร่งใส

 

ปิยบุตรยังมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ในสภาพที่ไม่ปกติ หัวหน้า คสช. ยังคงมีอำนาจตามมาตรา 44 จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามา เมื่อมีการเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะส่วนตัวสนับสนุนทุกคนที่ต้องการสร้างพรรคการเมือง แต่การปฏิบัติของทุกพรรคอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน แม้กับพรรคที่ไม่ได้สนับสนุน คสช.

 

ส่วนการที่ 4 รัฐมนตรีของรัฐบาล คสช. ลงมาเป็นผู้เล่นจัดตั้งพรรคการเมือง ปิยบุตรมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมแยกแยะได้ ส่วนการได้จัดตั้งพรรคก็จะคอยจับตาดูว่า กกต. จะรับรองเมื่อใด เพราะคำนวณเวลาแล้วกระชั้นชิดมาก พรรคอนาคตใหม่ต้องรอ 97 วัน

 

 

ทั้งนี้ธนาธรได้กล่าวเสริมว่าถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะเลือกอยู่กับเผด็จการหรือเสรีภาพ ขอเรียกร้องให้ พลเอก ประยุทธ์ ประกาศให้ชัด ประชาชนจะได้ตัดสินใจให้ชัดว่าจะอยู่ภายใต้ คสช. หรือจะเลือกลุกขึ้นยืนเพื่อทวงสิทธิเสรีภาพคืนมา

 

ช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าว THE STANDARD ถามธนาธรว่าได้ประเมินฐานเสียงของตัวเองอย่างไรบ้างหลังจากเดินสายลงพื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ธนาธรบอกว่า “พรรคไม่เคยเข้าสู่การเลือกตั้งมาก่อน เราไม่มีคะแนนเสียง ทุกจังหวัดที่ไปคือคะแนนใหม่ กลุ่มเยาวชนและวัยกลางคนเป็นกลุ่มใหม่ เราพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาชนะด้วยการแข่งขันด้านอุดมการณ์และนโยบาย อย่างไทย 2 เท่าคือการตกตะกอนจากการรับฟังในพื้นที่ และเสียงทุกเสียงเป็นเสียงที่เราจะไขว่คว้า”

 

 

ขณะที่หลังการเลือกตั้ง ธนาธรบอกว่ามี 3 เงื่อนไขเท่านั้นที่อนาคตใหม่จะร่วมทำงานกับพรรคการเมืองอื่นๆ คือ ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ คสช. ทุกรูปแบบ แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และลบล้างผลพวงรัฐประหาร

 

ธนาธรตอบคำถามสื่อถึงการดีเบตกับพลเอก ประยุทธ์ ด้วยว่า “ลำบากใจ เพราะพลเอก ประยุทธ์ มีหลายหมวก ถ้าเป็นแคนดิเดตในฐานะนายกรัฐมนตรีก็พร้อม แต่ถ้าแลกเปลี่ยนในฐานะหัวหน้า คสช. ไม่คุย”

 

“สิ่งที่สำคัญสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้คือการปักธงทางความคิดในสังคมไทย ถ้าปักธงความคิดได้ไกล ทำให้ทุกคนกลับมาเชื่อมั่นในการปกครองระบอบรัฐสภาได้ ประชาชนจะไม่ถูกแบ่งแยก การทำรัฐประหารจะเป็นไปไม่ได้ สงครามเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงแค่สมรภูมิเดียวในสงครามทั้งหมด สิ่งที่สำคัญเท่าๆ กับคะแนนเสียงคือการทำงานความคิดในสังคม ปักความคิดก้าวหน้าในสังคมให้ได้” ธนาธรตอบคำถามสื่อในช่วงท้าย

 

สำหรับบรรยากาศการจัดงานในวันนี้ไม่มีการตั้งเวทียกสูงแต่อย่างใด พรรคอนาคตใหม่แจ้งว่าต้องการสื่อสารถึงความเท่าเทียม จึงจัดที่นั่งให้ทั้งสมาชิกพรรค สื่อมวลชน รวมถึงผู้มาร่วมงานได้นั่งอยู่ในระนาบเดียวกัน จากนี้ในวันที่ 6 ตุลาคม พรรคอนาคตใหม่จะมีการเปิดรับสมัครสมาชิกอย่างเป็นทางการอีกด้วย

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising