บางครั้งเรื่องราวในซีรีส์อาชญากรรมบน Netflix ก็ไม่ได้ไกลตัวเท่าที่คิด วันนี้บทละครที่ว่ากำลังถูกเล่นจริงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวทีหลักคือประเทศไทย แต่ฉากหลังไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียว
ตามรายงานปี 2024 ของ United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC) ประเมินความสูญเสียทั่วโลกจากการฉ้อโกงออนไลน์ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ราว 1.8 แสนล้านถึง 3.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
เราไม่พูดถึงแค่แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินหลักพันอีกต่อไป แต่กำลังเผชิญกับอาชญากรรมข้ามชาติขนาดใหญ่ ที่มีศูนย์กลางในพื้นที่ที่เคยเรียกว่า ‘สามเหลี่ยมทองคำ’ วันนี้กลายเป็น ‘สามเหลี่ยมแห่งความมืด’ และที่น่าตกใจที่สุด คือไทยกำลังถูกใช้เป็นเครื่องซักผ้าฟอกเงินสกปรกให้กลายเป็นทรัพย์สินที่ดูสะอาด
โรงงานทาสในดินแดนไร้กฎหมาย
บางบริเวณในพื้นที่ชายแดนอย่าง กัมพูชา เมียนมาร์ และลาว กำลังถูกเปลี่ยนจากดินแดนป่าเขาเป็นฐานของเศรษฐกิจสแกมเมอร์ (Scammer Economy) ออฟฟิศเหล่านี้ไม่ใช่สำนักงานทั่วไป แต่เหมือนค่ายกักกัน
มีผู้คนจำนวนมากถูกจับกุม กักขัง และบังคับให้ทำงานหลอกลวงออนไลน์ทั่วโลก พาสปอร์ตถูกยึด ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ และชีวิตถูกปิดกั้น ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติชี้ว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อหลายแสนคนในเมียนมาร์และกัมพูชา
เม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบนี้มหาศาลจนแทบไม่น่าเชื่อ ในกัมพูชาเพียงแห่งเดียว สแกมเมอร์สร้างรายได้มากกว่า 12,500 ล้านดอลลาร์ต่อปี มากกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจทางการของประเทศ การทุจริตและการสมคบคิดของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นช่วยผลักดันให้ธุรกิจสีเทานี้เติบโตอย่างรวดเร็ว
ประเทศไทย จาก Financial Gateway สู่เครื่องซักเงิน
เมื่อเงินสกปรกจากการฉ้อโกงไหลเข้ามา ปัญหาของแก๊งคือจะทำอย่างไรให้ปลอดภัย นี่คือจุดที่ประเทศไทยเข้ามามีบทบาท
ตัวละครสำคัญที่ถูกเปิดโปงคือเบน สมิธ (Benjamin Mauerberger) หรือที่ถูกขนานนามว่า ‘The Fixer’ ผู้ทำหน้าที่ฟอกเงินให้แก๊งสแกมเมอร์โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน
เขาใช้กลยุทธ์หลายอย่าง ตั้งแต่ตั้งบริษัทนอมินี ซื้อคอนโดหรู รถซูเปอร์คาร์ ไปจนถึงเข้าถือหุ้นในบริษัทใหญ่ เพื่อเปลี่ยนเงินสกปรกให้กลายเป็นทรัพย์สินของตัวเอง
หลักฐานปรากฏชัดเมื่อรัฐบาลไทยยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ในการดำเนินคดีกับเครือข่ายอาชญากรรม พบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงระหว่างผู้มีอิทธิพลในต่างประเทศกับสินทรัพย์ในไทย โดยใช้คริปโตและบัญชีม้าเป็นเครื่องมือหลัก
3 ยุทธวิธีรับมือทุนอาชญากร
สาเหตุที่ทำให้ไทยกลายเป็นสวรรค์ของทุนเทา อาจเพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยเองที่พร้อมเกินไป ระบบธนาคารแข็งแรง ตลาดทุนเปิดกว้าง และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าถึงง่าย สิ่งเหล่านี้กลายเป็น ‘ทางผ่าน’ ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทั้งคนและเงิน
ลำพังการไล่จับบัญชีม้าเป็นเพียงการแก้ปลายเหตุ ไทยต้องรุกฆาตด้วยกลยุทธ์ที่จัดการถึงต้นตอ
- Quick Win: เด็ดหัวตัวการใหญ่ จัดการกลุ่มทุนที่ถูกทั่วโลกขึ้นบัญชีดำแล้วทันที เช่น Prince Group หรือ Huione Group รวมถึงเร่งสอบเส้นทางเงินของ ‘เบน สมิธ’ และเครือข่ายนอมินี โดยเฉพาะการตรวจสอบย้อนหลังในบริษัทหลักทรัพย์ที่กลุ่มเหล่านี้ถือหุ้นอยู่
- อุดรอยรั่วระบบ: ปิดตายช่องทาง ‘ทองคำ’ และ ‘นอมินี’ แก้กฎหมายให้รัฐมองเห็นธุรกรรมซื้อขายทองคำกับต่างชาติซึ่งเป็นหลุมดำทางการเงินในปัจจุบัน พร้อมบังคับใช้กฎหมายเปิดเผย ‘ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง’ ห้เข้มข้น เพื่อไม่ให้ใครซ่อนตัวอยู่หลังฉากได้อีก
- Data Bureau: ผนึกกำลังล่าสังหาร เลิกต่างคนต่างทำ แต่เชื่อมโยง Big Data ระหว่างแบงก์ชาติ ปปง. และ ก.ล.ต. เพื่อดักจับธุรกรรมผิดปกติแบบ Real-time พร้อมผสานความร่วมมือ 6 ชาติ (ไทย-จีน-อาเซียน) เพื่อกวาดล้างฐานปฏิบัติการตามแนวชายแดนให้สิ้นซาก
สงครามครั้งนี้ไม่ใช่การสู้รบด้วยปืน แต่เป็นการสู้ด้วย ‘ข้อมูล’ และ ‘ความโปร่งใส’ โจทย์ใหญ่ของไทยคือการเปิดเผยผู้ถือผลประโยชน์ที่แท้จริงของบริษัทต่างๆ ให้ได้ เพื่อไม่ให้นอมินีเป็นเกราะกำบังของโจรอีกต่อไป


