สวีเดน ประเทศเจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่าง Volvo, Spotify, และเกม Minecraft มักถูกขนานนามว่าเป็น Silicon Valley แห่งยุโรป และติดอันดับสูงในดัชนีนวัตกรรมโลกเสมอ แต่ใครจะรู้ว่าในศตวรรษที่ 19 พวกเขาเคยเป็นหนึ่งในชาติที่ยากจนที่สุดในยุโรป ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะพลิกกลับมาเป็นโรลโมเดลด้านเศรษฐกิจและการศึกษาระดับโลกได้อย่างทุกวันนี้
The Secret Sauce ได้สนทนากับ Mr. Kjell Håkan Närfelt (เชลล์ โฮกัน แนร์เฟลท์), Chief Strategy Advisor จาก Vinova, หน่วยงานนวัตกรรมแห่งชาติของสวีเดน เพื่อถอดรหัสความสำเร็จ และค้นหาว่าไทยจะเรียนรู้อะไรจากโมเดลนี้
นวัตกรรมไม่ได้เกิดจากความรู้อย่างเดียว แต่ต้องมี ‘เครื่องยนต์’
ในขณะที่หลายประเทศยังเชื่อว่าความรู้คือเชื้อเพลิงใหม่ของเศรษฐกิจ Mr. Närfelt กลับเสนอความคิดที่ทรงพลังยิ่งกว่า ‘ความรู้เป็นแค่เชื้อเพลิง แต่นวัตกรรมเกิดขึ้นเมื่อมีคนใส่เชื้อเพลิงนั้นเข้าไปในเครื่องยนต์’ และเครื่องยนต์ที่ว่าคือ ผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)
โมเดลของสวีเดนจึงไม่ใช่แค่การลงทุนในงานวิจัยหรือเทคโนโลยี เชื่อว่าความเป็นผู้ประกอบการสอนได้ ฝึกได้ และสร้างได้
หัวใจของแนวคิดนี้คือความเข้าใจว่า ความสำเร็จไม่สามารถทำนายได้ จึงต้องใช้วิธีการทดลองที่มีความเสี่ยงในระดับที่รับได้ และเปิดให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เลือกเข้ามาร่วมเอง
เชื้อเพลิงดี + เครื่องยนต์กล้า + ระบบนิเวศร่วมสร้าง
สิ่งที่ทำให้สวีเดนไม่เหมือนใคร ไม่ใช่แค่เรื่องการศึกษา ไม่ใช่แค่เรื่องทุนวิจัย แต่คือการออกแบบระบบนิเวศที่ทำให้นวัตกรรมเกิดได้จริง และต่อเนื่อง
- ความร่วมมือแบบ Triple Helix: รัฐบาล ภาควิชาการ และภาคธุรกิจทำงานร่วมกันจริง ไม่ใช่แค่ในเชิง R&D แต่รวมถึงเชิงธุรกิจด้วย
- วัฒนธรรมการนำร่วมแบบฉันทามติ: ไม่ใช่สั่งการจากบนลงล่าง แต่ฟังทุกฝ่าย เปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์มีชีวิต
- การร่วมสร้าง (Co-creation): ไม่ใช่คิดในห้องปิด แต่มาจากการรวมสมองหลากหลายแบบไม่มีสัญญาผูกมัด
- ทัศนคติแบบนานาชาติ: สวีเดนมีขนาดตลาดเล็ก จึงต้องคิดใหญ่แต่เริ่มต้น ทุกคนมี DNA การส่งออกตั้งแต่วันแรก
และที่โดดเด่นคือ บทบาทของรัฐบาลที่ไม่ใช่แค่คอยแก้ไขความล้มเหลวของตลาด แต่เป็นผู้สร้างอุปสงค์ผ่านนโยบายจัดซื้อจัดจ้างเชิงนวัตกรรม (Innovation Procurement) เช่น การที่รัฐบาลสวีเดนซื้อชุมสายโทรศัพท์ที่ยังไม่มีอยู่จริงจาก Ericsson จนกลายเป็นแรงผลักให้เกิดเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโฉมทั้งอุตสาหกรรม
Deep Tech ไม่ใช่แค่ล้ำ แต่คือการกล้าใช้วิทยาศาสตร์แก้ปัญหาใหญ่
อีกหนึ่งแนวโน้มที่สวีเดนให้ความสำคัญคือ deep tech ซึ่งไม่ใช่แค่การทำเทคโนโลยีให้ล้ำ แต่คือการนำความรู้เชิงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมมาใช้แก้ปัญหาใหญ่ของสังคมแบบมีกลยุทธ์
แนวคิด deep tech เน้น 4 อย่าง:
- ปัญหาเป็นศูนย์กลาง (Problem-oriented)
- ใช้ความรู้ลึกจากวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม
- ต้องการทุนสูงและใช้เวลานาน (capital-intensive)
- ต้องคิดแบบเป็นระบบ ไม่ใช่มองแค่สตาร์ตอัพตัวใดตัวหนึ่ง แต่รวมถึงห่วงโซ่ทั้งหมด เช่น กฎระเบียบ โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
อย่ากลัวความล้มเหลว แต่ต้องล้มให้ถูกจังหวะ
Mr. Närfelt ย้ำว่าในโลกของนวัตกรรม “ความล้มเหลวคือเรื่องธรรมดา” แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องรู้ว่าอะไรคือสมมติฐานสำคัญที่ถ้ายังไม่พิสูจน์ ก็ยังไม่ควรลงทุนหนัก
เขาแนะนำวิธีคิดแบบ ‘discovery-driven planning’
- เริ่มด้วยคำถามว่า “ทำไมคุณถึงคิดว่าจะสำเร็จ?”
- แยกความเสี่ยงสำคัญออกมา และหาวิธีทดสอบอย่างเร็วและถูกที่สุด
- ถ้าเจอว่าผิดทางก็ปรับเปลี่ยนได้ทันที โดยไม่ยึดติดกับแผนเดิม
สิ่งนี้สำคัญมากโดยเฉพาะในธุรกิจ deep tech ที่มักใช้เงินและเวลาจำนวนมากก่อนจะเห็นผล
ประเทศไทย กับความพร้อมในการสร้างเครื่องยนต์ของตัวเอง
Mr. Närfelt มองว่าไทยมีเชื้อเพลิงชั้นดีอยู่มากมาย ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ อาหาร การท่องเที่ยว และบุคลากรที่มีศักยภาพ แต่สิ่งที่ยังขาดคือเครื่องยนต์และระบบเชื่อมโยงที่ทำให้ทั้งหมดทำงานร่วมกันได้
3 บทเรียนสำคัญที่ไทยควรเริ่มทำทันทีคือ
- ทลายกำแพงระหว่างหน่วยงานทุน ภาคการศึกษา และธุรกิจ เพื่อเป้าหมายเดียวกัน
- สร้างโอกาสให้นักลงทุนถอนทุนได้อย่างคุ้มค่า เพราะถ้านักลงทุนมองไม่เห็นว่าลงทุนแล้วจะขายหุ้นหรือทำกำไรได้ในประเทศ เขาก็อาจพาบริษัทดีๆ ไปเติบโตในต่างประเทศแทน
- ระบบนิเวศไทยต้องผลักดันให้สตาร์ตอัพกล้าเติบโต หรือกล้าล้มแล้วลุกใหม่ ไม่ใช่แค่ประคองตัวให้อยู่กลางๆ แบบไม่ไปไหน
สวีเดนไม่ได้มีทรัพยากรมากกว่าประเทศอื่น ไม่ได้มีประชากรมากกว่า และไม่ได้มีเงินมากกว่าด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่พวกเขามีคือ ‘ความเข้าใจลึกถึงธรรมชาติของนวัตกรรม’ และ ‘กล้าสร้างเงื่อนไขให้มันเกิดขึ้นได้จริง’
และสิ่งที่พวกเขาทำได้ ประเทศไทยก็ทำได้เช่นกัน


