เราจะเขวี้ยงเหล็กราคานับสิบล้านบาทเข้าใส่กันอีกนานแค่ไหน
“อนาคตอันใกล้เราจะได้เห็นการรบพุ่งกันด้วยลำแสงเลเซอร์ อย่างในหนัง Star Wars แน่นอน”
Kinetic Weapon คือ อาวุธที่ใช้มวล ความเร็ว และความแรง ในการทำลายคู่ต่อสู้ ตัวอย่างที่เราคุ้นเคย คือ จรวดและอาวุธนำวิถีแบบต่าง ๆ ซึ่งมีอำนาจการทำลาย (lethality) และความแม่นยำ (precision) แตกต่างกันตามลักษณะการใช้งาน และมีใช้กันมาเกือบศตวรรษแล้ว แต่ราคากลับสูงมาก ในขณะที่ปัจจุบัน Energy Weapon เช่น อาวุธพัลส์เลเซอร์พลังงานสูง เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ประเทศไทยเราเริ่มพัฒนาได้เองแล้วในสเกลขนาดเล็ก หากพัฒนาสำเร็จราคาต่อนัดจะถูกมาก ซึ่งแน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยการลงทุนวิจัยและพัฒนาที่สูงเช่นเดียวกัน ในอนาคตอันใกล้เราจะได้เห็นการรบพุ่งกันด้วยลำแสงเลเซอร์ อย่างในหนัง Star Wars แน่นอน

ที่มา: Epic Star Wars Battlefront 2015 https://art.alphacoders.com/arts/view/90637
จรวดไม่นำวิถี (Unguided Rocket) ส่วนใหญ่มีระยะสั้น เช่น ต่ำกว่า 40 km ใช้ยิงข่ม และยิงกระจายตัวเป็นพื้นที่ ไม่ค่อยแม่นยำ (อัตราการกระจายตัวโดยทั่วไป 5% ของระยะยิง) จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมาเราได้เห็นแนวทางการใช้อาวุธที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก การสาดอาวุธที่ไม่นำวิถีกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมโลก และละเมิดหลักมนุษยธรรม ดังนั้นหากเป็นไปได้ เราจะเลือกใช้จรวดนำวิถี (missile) ไม่ว่าจะเป็นแบบพื้นสู่พื้น เช่น DTI-1G หรือใช้ F-16 ไปหย่อนลูกระเบิดร่อนนำวิถีแบบอากาศสู่พื้นมากกว่า และแน่นอนว่าความแม่นยำระดับ 1-5 m ที่ได้มานั้น ย่อมต้องแลกกับราคาที่สูงขึ้น จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้านบาท
ส่วนขับเคลื่อนเป็นหัวใจของจรวดแบบไม่นำวิถี เป็นที่น่าภูมิใจว่าสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) มีองค์ความรู้ในการวิจัยและพัฒนาจรวดดินขับเชื้อเพลิงแข็งอยู่ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ, การจำลองการทำงาน, การหล่อดินขับ, การสร้างชิ้นส่วนโลหะ, การประกอบรวม, การทดสอบฟังก์ชันการทำงาน ไปจนถึงการรับรองมาตรฐาน ผลงานที่เป็นที่น่าภาคภูมิใจของไทย ได้แก่ จรวดไม่นำวิถี DTI-2 ระยะยิง 40 km และจรวดนำวิถี DTI-1G ระยะยิง 150 km เป็นต้น
วิทยาศาสตร์ของจรวด หรือ Rocket Science เป็นศาสตร์ที่มีองค์ความรู้หลาย ๆ ด้านรวมกันอยู่ ตั้งแต่วิศวกรรมเครื่องกล ไฟฟ้า สื่อสาร คอมพิวเตอร์ เคมี วัตถุระเบิด วัสดุศาสตร์ และอีกหลายศาสตร์ ที่ไม่มีสอนในประเทศไทย จรวดนำส่งทางอวกาศจะใช้ออกซิเจนเหลว (O2) เป็นตัวสันดาปเชื้อเพลิง มีวาล์วปรับแรงดันได้ แต่ดูแลรักษายากและค่อนข้างอันตราย ในขณะที่จรวดที่ใช้เป็นอาวุธจะใช้เชื้อเพลิงที่มีลักษณะคล้ายยางสีดำ ซึ่งเป็นส่วนผสมของเชื้อเพลิงและสารออกซิไดซ์ผสมกันเป็นก้อนแข็ง มีความเสถียร ไม่จำเป็นต้องดูแลรักษา เก็บได้นานกว่าสิบปี แต่จุดตัวครั้งเดียวแล้วหมดไป สร้างแรงผลัก (thrust) ช่วงต้นสูงมากแล้วก็สิ้นสุดลงภายในไม่กี่วินาที หลังจากนั้นจรวดจะเคลื่อนที่ด้วยแรงเฉื่อย กลายเป็นท่อเหล็กบรรจุหัวรบดี ๆ นี่เอง
บริเวณวงรีส่วนหน้าของจรวด เป็นส่วนหัวรบ (warhead) ซึ่งบรรจุลูกปราย หรือลูกบอลเหล็กขนาดเล็กจำนวนมากไว้ภายใน ส่วนกรวยแหลมด้านหน้าสุด เรียกว่าฟิวส์ (fuze) ทำหน้าที่จุดระเบิดเมื่อเงื่อนไขถูกต้องด้วยสลักนิรภัยที่มีลักษณะคล้ายลานของนาฬิกา มีวัตถุระเบิดแรงดันสูง เช่น ส่วนผสมของ RDX และ TNT อยู่ภายในซึ่งแรงระเบิดจะทำให้ลูกปรายแตกกระจายออกไปในทุกทิศทางหลังจากจรวดพุ่งชนเป้าหมาย
จรวดไม่นำวิถี จะมีครีบหางแบบโค้ง (wrap around fin) เมื่อจุดจรวด จรวดจะถูกปั่นออกไปด้วยเกลียวในท่อยิง ให้หมุนด้วยความเร็วสูงหลายสิบรอบต่อวินาที เมื่อออกจากท่อครีบหางจะกางออกและหมุน เพื่อรักษาความเสถียรขณะอยู่ในอากาศ การออกแบบดินขับและส่วนต่าง ๆ ภายในจะต้องทำให้จุดศูนย์กลางมวล (CG) อยู่หน้าจุดศูนย์กลางความดัน (CG) เสมอเพื่อให้เกิดความเสถียร
 
 
ตัวอย่างจรวด ไม่นำวิถีจากค่ายรัสเซีย และส่วนประกอบหลักของจรวดขับเชื้อเพลิงแข็ง
ที่มา: https://www.ainonline.com/aviation-news/defense/
ที่มา: Aerospace Notes https://share.google/ZpSmqONLz8tJawtdY
การออกแบบจรวดให้มีความแรง เดินทางไปได้ไกล มีการต้านทานอากาศ (drag) ต่ำสุด เป็นงานที่ไม่ง่ายเลย เพราะสัมประสิทธิ์ทางอากาศพลศาสตร์ที่เกี่ยวข้องจะมีค่าเปลี่ยนไปตลอดที่ความเร็วต่าง ๆ เราเรียกการศึกษานี้ว่า ‘External Ballistic’ ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์ CFD (Computational Fluid Dynamics) คำนวณ ‘พลศาสตร์ของไหล’ หรือทดสอบโมเดลในอุโมงค์ลมความเร็วเหนือเสียงที่ขนาดใหญ่เพียงพอ ซึ่งอุโมงค์ความเร็วลม 3-5 mach หรือ 1000-1650 m/s หาไม่ง่ายเลย จะมีก็แต่ในประเทศมหาอำนาจ และมีต้นทุนที่สูงมาก นอกจากนี้ ความแรงจรวด ยังขึ้นอยู่กับการออกแบบส่วนผสมและรูปร่างของดินขับในท่อจรวด (rocket motor) รวมทั้งการออกแบบท่อท้าย (หรือ nozzle)
ให้สามารถทนความร้อนเป็นพันองศาเซลเซียสได้ ซึ่งเราเรียกการศึกษาในส่วนนี้ว่า ‘Internal Ballistic’ ซึ่งเช่นกัน ก็ต้องใช้ซอฟต์แวร์ วัสดุ และเครื่องมือพิเศษเป็นจำนวนมากในการพัฒนา ต้องรับถ่ายทอดองค์ความรู้ในระดับ TRL-6 เป็นอย่างต่ำจากประเทศมหาอำนาจ และการออกแบบ External & Internal Ballistic นี้เองถือเป็นจุดเริ่มในการออกแบบคุณลักษณะและประสิทธิภาพของจรวดให้เหมาะกับภารกิจและการใช้งาน – จรวดดินขับเชื้อเพลิงแข็งมักมีแรงผลักช่วงต้นสูง แล้วจะลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จรวดนำส่งทางอวกาศ จะมีแรงผลักช่วงต้นปานกลาง และค่อนข้างคงที่ไปเป็นระยะเวลานาน เป็นต้น
แล้วเราจะพัฒนาจรวดธรรมดาให้เป็นจรวดนำวิถีได้อย่างไร
จรวดนำวิถี คือจรวดธรรมดาที่เราติดตั้งระบบนำวิถีเข้าไป และมักเรียกว่า missile มีครีบหางเป็นแผ่นตรง และหมุนขณะถูกยิงออกไปเช่นกันเพื่อรักษาความเสถียร ถึงแม้ครีบหางจะหมุน แต่ตัวจรวดเองจะไม่หมุน องค์ประกอบหลักที่เป็นหัวใจของระบบนำวิถีคือ GNSS และ INS ซึ่งมักจะอยู่ด้านหน้าจรวด – รู้ไหมว่าบางทีระบบนำวิถีมีราคามากกว่าครึ่งหนึ่งของจรวดเสียอีก
โลกาภิวัฒน์ของระบบนำทางผ่านดาวเทียมทำให้การหาตำแหน่งบนพื้นโลก มีความแม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกันกับระบบอาวุธ โมดูลรับสัญญาณดาวเทียมแบบ GNSS (Global Navigation Satellite System) สามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมนำทางของหลาย ๆ ค่ายได้พร้อมกันและเลือกเอาค่าที่ดีที่สุดออกมา ไม่ว่าจะเป็น GPS ของอเมริกา, GLONASS ของรัสเซีย, BeiDou ของจีน หรือ Galileo ของยุโรป ในระบบนำวิถี โมดูล GNSS จะทำงานร่วมกับระบบ INS โดยนักพัฒนาจะต้องเขียนเฟิร์มแวร์ควบคุม
เพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ถูกต้องของจรวดออกมา ตั้งแต่ขณะที่จรวดอยู่บนแท่นยิง ไปจนถึงกระทบเป้าหมาย ก่อนเริ่มยิงเป้าหมายใด ๆ เราจะคิดย้อนกลับว่าหากต้องการให้จรวดเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งดังกล่าวจะต้องหันจรวดไปในทิศทางใด และตั้งมุมยิงที่กี่องศา เราทำได้เพราะเรารู้คุณลักษณะของจรวดของเราเป็นอย่างดี แล้วพล็อตเป็นเส้นทางขีปนวิถี (trajectory) ไว้ล่วงหน้าในส่วนควบคุมจรวดตั้งแต่ก่อนยิง เมื่อยิงออกไปตำแหน่งจรวดที่ได้จากระบบ INS/GNSS จะถูกเปรียบเทียบกับตำแหน่งที่ได้คาดการณ์ไว้ตลอดเส้นทาง และหากจรวดเคลื่อนที่ออกนอกเส้นทางอันเกิดจากเหตุใด ๆ ก็ตาม เช่น ดันขับไม่สมบูรณ์ เก็บรักษาไม่ดี หรือมีลมปะทะ ระบบควบคุมจะปรับครีบด้านหน้าให้จรวดเคลื่อนที่บน-ล่าง หรือซ้าย-ขวา กลับเข้าสู่เส้นทางที่ได้ตั้งไว้

ตัวอย่างจรวดนำวิถีเทคโนโลยีสูง จาก Roketsan ของตุรกี แสดงให้เห็นระบบและเซ็นเซอร์หลายแบบ เช่น ระบบส่งสัญญาณ (Telemetry), ระบบต่อต้านการแจมสัญญาณ GNSS, ระบบทำลายตัวเอง (Flight Termination System), เรดาร์วัดความสูงจากพื้น (RADAR Altimeter) และ ระบบรับ-ส่งข้อมูลทางยุทธวิธี (Tactical Data Links) เป็นต้น
ที่มา: https://www.savunmasanayist.com/
โมดูลรับสัญญาณจากดาวเทียมนำทาง ไม่ว่าจะเป็น GPS หรือ GNSS ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาจะถูกควบคุมเป็นพิเศษ โดยจะตัดการทำงานเมื่อแพล็ตฟอร์มเคลื่อนที่เร็วมากกว่า 500 m/s หรือประมาณ 1.5 mach หรือใช้งานที่ความสูงเกิน 18 km เราเรียกการควบคุมนี้ว่า COCOM Limits ซึ่งเป็นตัดการทำงานของโมดูลจากเฟิร์มแวร์รับสัญญาณ GNSS การจัดหาโมดูลที่ไม่ติด COCOM Limits ต้องขออนุญาตพิเศษจากรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา และเขามักจะจำกัดจำนวนที่ให้อนุญาต ข้อจำกัดดังกล่าวทำให้โมดูลเกรดทางทหาร (military grade) ซึ่งส่วนใหญ่ทนแรงกระชาก (shock) และความเร่ง (acceleration) สูงได้ รวมทั้งมีประสิทธิภาพและใช้เทคโนโลยีสูง มีราคาสูงกว่าโมดูลเกรดทั่วไปเป็นสิบเป็นร้อยเท่า และส่วนใหญ่จะติด ITAR (International Traffic in Arms Regulations)
ซึ่งเป็นระเบียบในการส่งออกอุปกรณ์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ในหลาย ๆ ครั้งหลายคนพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้อุปกรณ์ ITAR แต่ก็มักพบว่าอุปกรณ์จากแหล่งอื่น มีประสิทธิภาพต่ำกว่าอุปกรณ์ ITAR มาก และด้วยเหตุผลของ ITAR นี่เองที่ทำให้ประเทศส่วนใหญ่ที่พัฒนาจรวดนำวิถีเป็นของตนเองเกือบทั้งหมด ต้องลงทุนในการออกแบบพัฒนาโมดูลรับสัญญาณ GNSS เป็นของตนเอง อย่างไรก็ตามเทคโนโลยี SDR (Software Defined Radio) ในปัจจุบันช่วยให้การพัฒนาดังกล่าวง่ายขึ้นเล็กน้อย
หลังจากที่ได้ทราบ ข้อมูลโดยสังเขปของตัวจรวด และอาวุธนำวิถีไปแล้ว ต่อไปเราจะมาดูเทคโนโลยีในการป้องกันอาวุธนำวิถีกันบ้าง ระบบโดมเหล็ก หรือ Iron Dome เป็นหนึ่งในนั้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืน

การทำงานของระบบ Iron Dome เริ่มจากเรดาร์ AESA ตรวจจับขีปนวิถีของศัตรู แล้วยิงจรวดนำวิถีขึ้นสกัดกั้น อาศัยเทคโนโลยี IR seeker, ระบบสื่อสารที่แจ้งตำแหน่งล่าสุดของศัตรู รวมทั้งหัวรบแบบ proximity fuze
ที่มา: https://root-nation.com/en/articles-en/weapons-en/en-iron-dome/
ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense System)
ในสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่ผ่านมา เราได้เห็นการใช้ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense System) เช่น Iron Dome อย่างจริงจัง การยิงจรวดขึ้นสกัดกั้นขีปนาวุธที่ยิงเข้ามาจำเป็นต้องใช้จรวดนำวิถีเช่นกัน หลัก ๆ คือการใช้ระบบสายอากาศแบบ AESA (Active Electronically Scanned Array) กวาดท้องฟ้าด้วยบีมขนาดเล็ก จากบนลงล่าง ขนาดเล็ก จากบนลงล่างและซ้ายไปขวาด้วยความเร็วสูงหลายครั้งต่อวินาทีในทิศทางที่ต้องเฝ้าระวัง เราจะส่งคลื่นเรดาร์ความถี่สูงแบบพัลส์ดอปเพลอร์ (Pulsed Doppler) ออกไปซึ่งเหมาะสำหรับการตรวจจับเป้าหมายระยะไกลหลายร้อยกิโลเมตร เมื่อศัตรูยิงจรวดเข้ามา จรวดจะสะท้อนสัญญาณเรดาร์ เราจะนำสัญญาณที่สะท้อนกลับมาวิเคราะห์เพื่อหาตำแหน่ง ความเร็ว และขนาดของจรวดได้
ตำแหน่งของจรวดแต่ละนัดที่ยิงเข้ามาจะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันศูนย์ควบคุมก็จะปล่อยจรวดนำวิถีออกไปสกัดกั้น และส่งข้อมูลตำแหน่งล่าสุดของจรวดศัตรูให้กับจรวดสกัดกั้น แล้วที่เหลือก็เป็นเพียงการควบคุมให้เข้าสู่เป้าหมายโดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนบนหัวจรวดสกัดกั้น ตรวจจับรังสีความร้อนที่แพร่ออกมาจากจรวดศัตรู นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นไปอีก โดยใช้ชนวนหัวรบแบบ proximity ที่จะจุดระเบิดได้โดยอัตโนมัติเมื่อเพียงแค่เฉียดเป้าหมาย เช่น 10-20 m เป็นต้น

การสาธิตระบบพัลส์เลเซอร์กำลังสูงทำลายโดรนบุกรุกของ Raytheon (UK) ติดตั้งบนรถทางทหารขนาดเล็ก
ที่มา: Cambridge
ในสงครามรัสเซีย-ยูเครน เราได้เห็นการใช้งานโดรนทางยุทธวิธีอย่างแพร่หลาย มีการวิเคราะห์กันว่า การใช้โดรนเพื่อทิ้งระเบิด และใช้เป็นโดรนพลีชีพพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย (Kamikaze) โดยติดหัวรบหรือวัตถุระเบิดเป็นสองรูปแบบที่ใช้ได้ผลสูง นิยมใช้กันมากและราคาถูก ดังนั้นหลักนิยมในการใช้อาวุธต่อต้านก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย การยิงจรวดนำวิถีราคาหลายสิบล้านเข้าใส่โดรนราคาหลักหมื่นดูจะไม่สมเหตุสมผล หรือจะระดมยิงโดรนที่ระยะ 1 km ด้วยกระสุนปืนกล 12 7 mm หลายร้อยนัดกว่าจะทำลายโดรนได้ ก็ดูจะเริ่มไม่คุ้มและเสี่ยงเกินไปเพราะกระสุนที่สาดไปจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณใกล้เคียง สิ่งนี้ทำให้เกิดการพัฒนาระบบอาวุธ Direct Energy Weapon สำหรับโดรนบุกรุกกันอย่างจริงจังเมื่อไม่นานนี้ และพบว่าอาวุธพัลส์เลเซอร์พลังงานสูงมีความเหมาะสมมากต่อภารกิจดังกล่าว ว่ากันว่ามีต้นทุนเพียงนัดละไม่กี่สิบบาท
High Energy Pulsed Laser Weapon
อาวุธพัลส์เลเซอร์พลังงานสูงจริงๆ แล้วมีการพัฒนามานานแล้วโดยประเทศมหาอำนาจตั้งแต่หลังยุคสงครามเย็น มีการสร้างระบบเลเซอร์พลังงานสูงถึง 1 MW โดยมุ่งเน้นไปที่กำลังส่ง และคุณภาพของลำแสงเลเซอร์ที่มีขนาดเล็กและสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถโฟกัสพลังงานและความร้อนสูงไปที่เป้าหมาย อย่างไรก็ตามพบปัญหาหลายอย่าง ทั้งในส่วนของเทคโนโลยีที่ใช้สร้างแสงเลเซอร์ให้มีความบริสุทธิ์และไม่กระจายตัว ปัญหาแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าขนาดมหึมา รวมทั้งการระบายความร้อนของระบบ ทำให้ไม่สามารถใช้ทำลายจรวดนำวิถี หรือเป้าหมายขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่เมื่อความคุ้มค่าและต้นทุนของการใช้อาวุธกลายมาเป็นประเด็นหลัก รวมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่มีการพัฒนาดีขึ้นมากในทุกๆ ด้าน ทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างไทยสามารถสร้างอาวุธเลเซอร์ขนาดเล็กเพื่อใช้ทำลายโดรนบุกรุกได้ไม่ยากโดยประยุกต์จากระบบเลเซอร์ตัดโลหะในภาคอุตสาหกรรม ในห้วงที่ผ่านมาเราพบหลักนิยมในการใช้งานใน 2 รูปแบบ คือ ใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ไดโอดแสงสีฟ้า 3-4 ตัวรวมแสงกัน เหมาะกับการต่อต้านโดรนระยะใกล้ เช่น 200-300 m และเนื่องจากเลเซอร์ไดโอดปล่อยแสงในย่านกว้าง ทำให้ลำแสงมีการกระจายตัวสูงที่ระยะห่างออกไป ไม่สามารถใช้ตัดโดรนได้ แต่ใช้ทำลายกล้องบนโดรนของศัตรูได้ และแนวทางที่สอง คือใช้ปั๊มเลเซอร์ (Pumped Laser) เช่น เลเซอร์ CO2 ที่ใช้ตัดเหล็ก ซึ่งจะให้แสงที่มีความบริสุทธิ์มากกว่า แสงมีการกระจายตัวต่ำ และใช้โฟกัสพลังงานความร้อนไปที่เป้าหมายได้ดี สามารถใช้เผาโดรนที่ระยะประมาณ 1 km ให้ทะลุ หรือใช้ตัดใบพัดของโดรนได้ ทั้งนี้แสงเลเซอร์ในแบบหลังนี้ จะมีกำลังสูงในหลักหลายสิบ kW ระบบจะมีขนาดใหญ่ เพราะต้องแสงเลเซอร์มาผ่านเลนส์รวมแสงที่มีการระบายความร้อนที่ดีเป็นพิเศษ ในทางปฏิบัติ การใช้เลเซอร์ทำลายโดรนจะต้องติดตั้งไว้บนแท่นหมุนความละเอียดสูง และใช้ควบคู่กันกับระบบติดตามเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพด้วย ซึ่งในปัจจุบัน เรามักจะนำหลักการ Machine Learning (ML) มาใช้ เนื่องจากได้ผลดี
บทเรียนจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดความตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาอาวุธเพื่อการป้องกันประเทศ ซึ่งทั้งเรดาร์ตรวจจับเป้าหมายแบบ AESA และระบบพัลส์เลเซอร์พลังงานสูง มีความต้องการสูงมากทั้งทางทหารและพลเรือน อุปกรณ์ทั้งสองอย่างสามารถพัฒนาสร้างได้ไม่ยากด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน การจัดหาจากต่างประเทศจะมีราคาหลายสิบล้านบาทต่อระบบ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสทองทางธุรกิจหากสามารถพัฒนาได้เองในประเทศ ที่สำคัญกว่านั้นคือหากมีเงินในวันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อของมาใช้ได้ เพราะอุปกรณ์ทั้งสองกลายเป็น hot item ในตลาดโลกไปแล้ว ต้องต่อคิวประเทศอื่นยาวเป็นปี
อ้างอิง:


 
         
           
                                 
             
                                                     
                                         
                                             
                                                 
                                                     
                                                         
                 
                 
                 
                 
                 
                