เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค, นายชูศักดิ์ ศิรินิล ฝ่ายกฎหมาย และนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรื่องความเห็นต่อการจัดการเลือกตั้งและจุดยืนการจัดตั้งรัฐบาลตามเจตนารมณ์ของประชาชน โดยมีรายละเอียดที่ระบุในแถลงการณ์คือ
ตามที่ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ได้ปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาและกระบวนการในการจัดการเลือกตั้ง รวมถึงผลของการเลือกตั้งที่ทำให้เห็นถึงกติกาที่ไม่ชอบธรรม นำมาซึ่งการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เสรีและเป็นธรรมนั้น พรรคเพื่อไทยจึงขอแถลงดังนี้
1. ความเห็นต่อการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการดำเนินการจัดการเลือกตั้งของ กกต. ในครั้งนี้มีปัญหามาตั้งแต่ต้น เริ่มจากหัวหน้า คสช. ซึ่งมีส่วนได้เสียในการเลือกตั้ง มีอิทธิพลต่อการกำหนดกติกา กำหนดกรรมการ รวมทั้งใช้อำนาจตามมาตรา 44 เข้ามาแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งหลายครั้ง และในระหว่างการเลือกตั้งยังมีความไม่โปร่งใสในหลายขั้นตอน ทั้งกระบวนการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งที่ไม่ระบุจำนวนและสถานที่พิมพ์ ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ การปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการเลือกตั้งอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะในรูปแบบของการซื้อเสียง การใช้อำนาจรัฐ การใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคามผู้สมัครและผู้สนับสนุนในหลายพื้นที่ดังที่ปรากฏเป็นข่าวแพร่หลายโดยทั่วไป จนถึงขั้นตอนการนับคะแนนและการประกาศผลคะแนน ที่คะแนนจากหน่วยเลือกตั้งไม่ตรงกับที่มีการรายงานผล มีคะแนนมากกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ อันแสดงให้เห็นว่ามีการใช้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงในกระบวนการจัดการเลือกตั้งอย่างเห็นได้ชัด จนเป็นที่มาของการที่ประชาชนได้แสดงเจตจำนงที่จะเข้าชื่อถอดถอน กกต. ขณะนี้กว่า 700,000 คนแล้ว
2. ความเห็นต่อผลการเลือกตั้งและจุดยืนในการจัดตั้งรัฐบาล
ผลจากการเลือกตั้งได้สะท้อนให้เห็นถึงระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่จะทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงข้างมากเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้เอง และผลที่จะเกิดขึ้นต่อการเป็นรัฐบาลผสมที่จะทำให้ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเรื่องดังกล่าวพรรคเพื่อไทยได้คัดค้านและแสดงความไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้น
เมื่อพิจารณาจากผลการเลือกตั้งโดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้มีการแบ่งฝ่ายของประชาชนและของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนให้หัวหน้า คสช. สืบทอดอำนาจต่อไป โดยมีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ กับฝ่ายประชาธิปไตยที่คัดค้านการสืบทอดอำนาจดังกล่าว โดยมีพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วมอื่นๆ อีกหลายพรรค ซึ่งผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการขณะนับคะแนนได้ประมาณ 95% ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส. มากที่สุดประมาณ 137 คน ส่วนพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส. ประมาณ 118 คน จึงต้องถือว่าพรรคเพื่อไทยได้รับฉันทามติจากประชาชนเพื่อให้เข้ามาบริหารประเทศ แต่พรรคพลังประชารัฐกลับอ้างคะแนนเสียงรวมของประชาชน ทั้งที่คะแนนดังกล่าวได้แปลงมาเป็นจำนวน ส.ส. แล้ว
นอกจากนี้เมื่อรวมจำนวน ส.ส. ของทุกพรรคการเมืองที่ประกาศชัดเจนก่อนการเลือกตั้งว่าคัดค้านการสืบทอดอำนาจก็มีจำนวน ส.ส. มากกว่า 250 คน และมีจำนวนคะแนนเสียงมากกว่าคะแนนเสียงของพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจกว่า 6 ล้านเสียง
3. พรรคเพื่อไทยเห็นว่าผลการเลือกตั้งเบื้องต้นสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่สนับสนุนให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
ดังนั้นการที่บางพรรคการเมืองจะร่วมตั้งรัฐบาลและสนับสนุนให้พลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปนั้นน่าจะเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งรัฐบาลเช่นนี้จะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน จะเป็นรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ของประชาชนได้เลย
พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองคำนึงถึงประเทศชาติและประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ทางการเมืองของตน และพรรคพร้อมที่จะทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองอย่างมีความรับผิดชอบและสร้างสรรค์ เพื่อให้เจตนารมณ์ของประชาชนได้รับการเคารพ และปัญหาของประชาชนได้รับการแก้ไข
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์