หลังจากเมื่อวานนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศเดินหน้ารวมเสียงพรรคการเมืองเพื่อตั้งรัฐบาล ในฐานะพรรคที่ได้จำนวน ส.ส. มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้จำนวน ส.ส. เป็นอันดับที่สอง ได้ประกาศเดินหน้าตั้งรัฐบาลเช่นกัน โดยระบุว่าเป็นพรรคการเมืองที่ได้อันดับหนึ่ง หากดูจากผลรวมของคะแนนที่ประชาชนโหวตให้ทั้งประเทศ
ล่าสุดวันนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ได้เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นในเวลานี้ว่า
พรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง 350 เขต แต่ได้จำนวน ส.ส. น้อยกว่าพรรคที่ลงสมัครแค่ 250 เขต แล้วออกมาบอกว่าตัวเองได้คะแนนนิยมจากคนทั้งประเทศมากกว่า ควรจะได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ระบอบรัฐสภาไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ
ประเด็นแรกคือกติกาที่บิดเบี้ยว ตั้งใจออกแบบให้นำระบบ ส.ส. พึงมีมาคิด เพื่อตัดคะแนนพรรคที่คนนิยม และได้จำนวน ส.ส. เขตมากที่สุด เพื่อทำให้ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อน้อยที่สุด
นี่คือกับดักอย่างหนึ่งที่จงใจให้เกิดความยากลำบากในการแข่งขัน เพราะไม่ต้องการให้พรรคที่มีคะแนนนิยม ซึ่งแสดงผ่านจำนวนเขตที่มากเป็นพรรคที่แข็งแรงเกินไป
ประเด็นที่ 2 คือการโหวตในสภา เมื่อคิดจาก ส.ส. 1 คน มีคะแนนโหวตเท่ากัน 1 คะแนน
เสียงข้างมากในสภาจึงมีค่าเท่ากับ ส.ส. ที่โหวตเป็นจำนวนมากกว่าอีกฝ่าย ไม่ใช่การคิดคะแนนจาก ส.ส. คนไหนได้คะแนนเลือกตั้งมาเท่าไรแล้วจะกลายเป็นเสียงข้างมากนะคะ
แข่งขันในสนามเดียวกัน ออกแบบกติกาเอาเปรียบคนอื่นมากมายมหาศาล ตั้งแต่จุดสตาร์ทยันเส้นชัย แต่จำนวน ส.ส. ก็ยังแพ้อยู่ดี
เข้าเส้นชัยเป็นที่ 2 แต่จะขอรับเหรียญทองบนแท่นที่ 1 แบบนี้ก็ได้เหรอคะ
หลังข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ออกไป มีประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นและแชร์ข้อความดังกล่าวจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาต่อไปว่าที่สุดแล้วการรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใครจะเป็นฝ่ายที่สามารถประกาศชัยชนะในเกมนี้ได้ก่อน และแน่นอนไม่ว่าจะออกทางไหน ดูเหมือนว่าสถานการณ์การเมืองและฝ่ายสนับสนุนแต่ละขั้วคงจะไม่ยอมกันง่ายๆ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า