นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. จัดงานแถลงข่าวหลังเกิดกระแสข่าวว่าจะจับมือกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอดีตพระพุทธะอิสระ เพื่อตั้งพรรคการเมือง โดยชี้แจงว่ากระแสดังกล่าวไม่เป็นความจริง เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ตนถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ก็ได้พบปะพูดคุยกับทั้งนายสนธิและอดีตพระพุทธะอิสระในหัวข้อการหาทางออกให้ชาติบ้านเมือง แต่ไม่เคยคุยกันถึงเรื่องการตั้งพรรคการเมืองเลย
ซึ่งหากจะตั้งจริงก็เป็นไปไม่ได้ เพราะนายสนธิต้องโทษถึง 20 ปี ส่วนตนก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี โดยกระแสข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและพูดถึงความประทับใจระหว่างเดินทางไปเยี่ยมตนในเรือนจำ ซึ่งตนได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการพูดคุยกับทั้งสองคน ขอยืนยันว่ากระแสข่าวจับมือนี้เป็นเรื่องเท็จร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นการกุข่าวผสมผสานเรื่องจากเรื่องในจุดต่ำสุดของชีวิตที่ตนเล่าหลังออกมาจากเรือนจำ
นายจตุพรยังกล่าวถึงพรรคเพื่อชาติว่า พรรคเพื่อชาติก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2556 แล้ว มิใช่พรรคการเมืองใหม่ มิใช่พรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่ม นปช. แต่อย่างใด ด้วย นปช. ประกาศจุดยืนตั้งแต่ต้นว่าจะไม่มีการตั้งพรรคการเมือง ด้านตนก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง มีเพียงสิทธิ์เลือกตั้งได้เท่านั้น การที่พรรคเพื่อชาติเปิดกว้างรับคนในฝ่ายประชาธิปไตยเข้าร่วม โดยเฉพาะกลุ่ม นปช. ที่ไม่มีพื้นที่ในพรรคเพื่อไทยก็จะมาเข้าร่วมพรรคเพื่อชาติ เนื่องจากพวกตนคิดได้ภายหลัง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ได้แยกอดีต กปปส. เป็น 5 พรรคการเมืองเพื่อรองรับกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พวกตนจึงได้แยกกันอยู่ในหลายๆ พรรคการเมือง ทั้งนี้ยังเป็นการสร้างสมดุลให้กับรัฐสภาอีกด้วย ให้มีทั้งฝ่าย กปปส. และ นปช. เข้าไปอยู่ในสภา ด้วยความที่รัฐธรรมนูญถูกเขียนมาให้สามารถเกิดวิกฤตได้ตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องมีแผนการรองรับ
นายจตุพรกล่าวอีกว่าตนอยู่ในฐานะกองเชียร์เท่านั้น เพียงแค่เห็นด้วยและสนับสนุนพรรคเท่านั้นในเรื่องกระแสข่าวลือของชื่อหัวหน้าพรรคทั้ง นายนพดล ปัทมะ และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยังคงเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น การประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคจะเกิดขึ้นกลางเดือนพฤศจิกายน แต่จะมีการประชุมเพื่อแก้ไขข้อบังคับพรรคในวันที่ 14 ตุลาคม 2561 เวลา 8.30 น. ที่อิมพีเรียล สำโรง อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าการแบ่งเป็นหลายพรรคนั้นไม่ใช่การดึงคะแนนกัน เราควรห่วงบ้านเมืองมากกว่าห่วงคะแนนเสียง ทางอีกซีกหนึ่งเขายังแบ่งเป็น 5 พรรคได้เลย ไม่เคยมีใครมาอธิบายความกันว่าเป็นการดึงคะแนน ทุกคะแนนเสียงประชาชนล้วนเป็นคนตัดสิน