- การแถลงของประธาน Fed ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ในงานสัมมนา Jackson Hole บ่งชี้ถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ซึ่งอาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้น
- ความพยายามในการปลดผู้ว่าการ Fed โดยประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา เพราะอาจทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ
- นักวิเคราะห์ประเมินว่าการแทรกแซงทางการเมืองจะส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวพุ่งสูงขึ้น และอาจกระทบต่อสถานะของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกในอนาคต
- แม้ตลาดจะมีความหวังต่อการลดดอกเบี้ย แต่ต้องจับตาความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยการเมืองในสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางตลาดในระยะถัดไป
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นภายหลังงานสัมมนา Jackson Hole มีการส่งสัญญาณ Dovish ทำให้ตลาดคาดหวังการลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. โดยประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ ระบุความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมุมมองต่อผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงการเปลี่ยนระดับราคาแบบครั้งเดียว ไม่ใช่แรงกดดันเงินเฟ้อต่อเนื่อง
ปัจจัยดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น โดย S&P 500 ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งในสัปดาห์นี้ นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.7% จากการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ AMD, Broadcom และ Nvidia แม้ว่าผลประกอบการจะได้รับแรงกดดันจากยอดขายในจีน
ประเด็นการปลด Lisa Cook หนึ่งในผู้ว่าการ Fed และ FOMC voting member ซึ่งที่ผ่านมามีจุดยืนตรงกับประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ โดยย้ำความสำคัญของการควบคุมเงินเฟ้อ นำไปสู่ความกังวลต่อความเป็นอิสระของ Fed ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาล 10 ปีสหรัฐฯ มีโอกาสปรับขึ้น เนื่องจาก ปธน.ทรัมป์สามารถแต่งตั้งผู้ว่าการคนใหม่ซึ่งมีอำนาจร่วมในการกำหนดนโยบายดอกเบี้ย
ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับลดลงสะท้อนความกังวลต่อประเด็นการเมืองในประเทศฝรั่งเศส ตลาดหุ้น EM ปรับลดลงนำโดยตลาดหุ้นอินเดีย จากความกังวลการเริ่มบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 50% ด้านหุ้นเทคฯ จีนได้รับผลกระทบจากการแข่งขันในธุรกิจจัดส่งอาหารที่รุนแรง
ตลาดหุ้นไทยทรงตัว โดยกลับมายืนเหนือ 1,250 จุด ในวันพฤหัส ก่อนจะรู้คำวินิจฉัยของศาลฯ ในคดีคลิปเสียงนายกฯ ราคาน้ำมันปรับขึ้น ภายหลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่คืบหน้า ตลาดกังวลสหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม และสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ก่อน
หวั่นพายุการเมืองสะเทือนถึง ‘เงินดอลลาร์’
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า ในการแถลงข่าวของประธาน Fed ในงานสัมมนา Jackson Hole Economic Symposium ณ 22 ส.ค. 2025 ประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน เนื่องจากความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง โดยมองว่าผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียง "การเปลี่ยนระดับราคาแบบครั้งเดียว" ไม่ใช่แรงกดดันเงินเฟ้อต่อเนื่อง
ดังนั้น อินโนเวสท์ เอกซ์ จึงมองว่า
- การที่ประธาน Fed ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ เป็นการยอมโอนอ่อนต่อการที่แรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ แม้ว่าความเสี่ยงของสงครามการค้าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นก็ตาม
- มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนกันยายนและตุลาคม
- เชื่อว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4/2025 ซึ่งจะทำให้ Fed ต้องเผชิญความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงิน โดยคาดว่าผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพุ่งสูงขึ้นไปที่ 4.7% จากปัจจุบันที่ประมาณ 4.3% และทำให้ความเสี่ยงวิกฤตการคลังในระยะต่อไปเพิ่มสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน มองว่า การที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามปลดผู้ว่าการ Lisa Cook และส่งทีมงานประธานาธิบดีเข้าไปใน FOMC นั้น เพื่อบังคับให้ลดดอกเบี้ย แต่การแทรกแซงนี้จะทำให้นักลงทุนเสียความเชื่อมั่นในความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ส่งผลให้คาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตสูงขึ้น และต้องการผลตอบแทนจากพันธบัตรระยะยาวที่เพิ่มขึ้น
และถึงแม้ตลาดจะยังไม่ตื่นตระหนก เพราะกระบวนการเปลี่ยนแปลงใช้เวลา แต่หากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปต่อเนื่อง อาจทำให้ ต้นทุนการกู้ยืมสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นและดอลลาร์อ่อนค่าลง กระทบต่อสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกและทำลายรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
- หุ้น Earnings Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2H68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ HoH ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCPG GULF SCC TIDLOR
- หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div.Yield เกิน 2% แนะนำ PTT TTB HMPRO KKP
- Trading Idea : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้น Laggard Play ซึ่งคาดได้อานิสงส์หาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง โดยเลือกหุ้น SET50 ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้น QTD ต่ำกว่า SET และ Valuation ถูก โดยมี PBV และ PER 2568F < -1SD อีกทั้งมีพื้นฐานดี (กำไรเติบโต ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมี ESG Ratings A-AAA) แนะนำ BDMS CPALL MTC PTT WHA และ 2) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง และ/หรือ ดอลลาร์อ่อนค่า (บาทแข็งค่า) แนะนำ กลุ่ม REITs (FTREIT LHSC) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF GPSC)
“ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหว Sideway และบรรยากาศการลงทุนอยู่ในโหมดระมัดระวังหรือรอความชัดเจน เนื่องจากยังอยู่ระหว่างติดตามเสถียรภาพทางการเมืองไทยทำให้ความเชื่อมั่นการลงทุนยังไม่กลับมาเต็มที่ อีกทั้งยังจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ เงินเฟ้อ ส.ค. ไทย ซึ่งหากยังลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 อาจจะหนุนให้ตลาดเก็งกำไรเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยไทยต่อ รวมทั้งดัชนี PMI การผลิตและการบริการ ส.ค. จีนและสหรัฐฯ, ดุลการค้าและตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ซึ่งหากยังไม่ได้กลับมาแข็งแกร่งมากอย่างมีนัยสำคัญ คาดทำให้ตลาดประเมินว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ต่อ และจะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโลก” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
- เสถียรภาพทางการเมืองไทยต่อจากนี้ หลังศาล รธน. มีคำวินิจฉัยต่อกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร และสมเด็จ ฮุนเซ็น
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ส.ค. อาทิ ภาวะเงินเฟ้อ (CPI) ของไทย, ภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐฯ รวมทั้งดัชนี PMI ของสหรัฐฯ, ยูโรโซน และจีน
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: HMPRO - 3Q25 คาดกำไรฟื้นตัวดีขึ้น QoQ
แนะนำ บมจ. โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- ผู้นำธุรกิจ Home Improvement ของไทย ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและผลการดำเนินงานมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ตามแผนขยายสาขาที่มีต่อเนื่องเฉลี่ยราวปีละ 4-6 แห่งและการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSS) ราวปีละ 3%YoY
- มองผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดปีนี้ไปแล้วใน 2Q25 โดยแม้ 3Q25 คาดกำไรจะฟื้นตัวดีขึ้น QoQ แรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่คาดจะหดตัวในอัตราที่ช้าลงหลังสภาพอากาศกลับสู่ภาวะปกติ (2Q25 SSS ได้รับผลกระทบจากมีฝนตกหนักกว่าปีก่อน) และยังมีความต้องการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหลังเหตุน้ำท่วมคลี่คลาย
- Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขาย PER 25F ที่ 15.9 เท่า คิดเป็น -2SD. และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 16.2 เท่า อีกทั้งมีเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H25 หุ้นละ 0.16 บาท (XD 10 ก.ย.) และยังมีโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยจำกัด Downside
- เราประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่หุ้นละ 9.20 บาท (อิงวิธี DCF) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 0.39 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 5.4%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
ภาพรวมงบกลุ่มฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ดีกว่าคาดและเติบโต อย่างไรก็ดีหุ้นตอบสนองต่างกัน โดยในภาพรวมหุ้นกลุ่มซอฟต์แวร์ตอบสนองเชิงบวกจากแนวโน้มที่ดีกว่าคาด สวนทางกับหุ้นกลุ่มฮาร์ดแวร์ที่ปรับตัวลงหลังให้คาดการณ์ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่เรามองว่าความคาดหวังของตลาดต่อกลุ่มฮาร์ดแวร์ AI สูง โดยหากตัดความคาดหวังตลาดออก เรามองว่าแนวโน้มการเติบโตกลุ่มฮาร์ดแวร์ยังคงดี ทำให้เรายังแนะลงทุน เช่น NVDA AMD AMZN MSFT GOOGL
กลุ่มซอฟต์แวร์ - งบและแนวโน้มโตดีกว่าคาด
- กลุ่ม Cybersecurity อย่าง OKTA S CRWD เผยงบดีกว่าคาดและเติบโตโดยมีแรงหนุนจากการพัฒนา AI เข้ากับแพลตฟอร์มทำให้ความต้องการ Cybersecurity เพิ่มขึ้น รวมถึงฐานลูกค้าเดิมยังคงแกร่ง
- กลุ่มคลาวด์ อย่าง MDB SNOW ที่งบและแนวโน้มโตดีกว่าคาดหลังอุปสงค์ AI ที่เติบโต ทำให้การใช้งานคลาวด์เพิ่ม
- กลุ่มซอฟต์แวร์อื่น อย่าง ADSK งบโตหนุนจากธุรกิจสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และการก่อสร้าง (AECO) +23%YoY
เราประเมินว่ากลุ่มซอฟต์แวร์ยังคงปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้นจากแนวโน้มและงบที่ออกมาดี ทำให้เรายังคงแนะลงทุน โดยแนะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก AI 1. Cybersecurity อย่าง PANW 2. Cloud อย่าง MSFT GOOGL AMZN SNOW ORCL
กลุ่มฮาร์ดแวร์ - งบดีกว่าคาด แต่แนวโน้มผิดคาดเล็กน้อย
- MRVL เผยรายได้โต 58%YoY แตะระดับสูงสุด แต่หุ้นลงหลังคาดการณ์ 3Q25 และรายได้ Data Center ต่ำกว่าที่คาด
- DELL เผยรายได้เซิร์ฟเวอร์ AI โต 44% รวมถึงปรับขึ้นคาดการณ์ แต่หุ้นลงหลังมาร์จินธุรกิจ AI ต่ำกว่าคาดและ PC ยังอ่อนแอ
- NVDA เผยงบและแนวโน้มยังคงเติบโต แต่ด้วยความคาดหวังสูงของตลาด โดยมีการเทียบกับคาดการณ์ในระดับ Upper bound (ระดับสูงสุดในตลาด) ทำให้รายได้ Data Center และแนวโน้มอาจจะออกมาผิดคาดเล็กน้อย
เราประเมินว่ากลุ่มฮาร์ดแวร์อย่างพวก Server AI หรือเซมิฯ AI ยังมีแนวโน้มที่ดี แต่ด้วยความคาดหวังที่สูงต่อกลุ่ม AI ที่สูงทำให้ราคาหุ้นอาจจะมีความผันผวนได้ในระยะสั้น แต่เราเชื่อว่าราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้หลังแนวโน้มการเติบโตยังดี ทำให้เราแนะลงทุนโดยชอบ NVDA AMD TSM รวมถึงมองยังสามารถลงทุนใน MRVL AVGO ได้เช่นกัน
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้อานิสงส์จากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งความเสี่ยงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่มีอยู่ และความไม่แน่นอนการเจรจาสงครามในยูเครน หลังรัสเซียได้โจมตียูเครนด้วยขีปนาวุธและโดรน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประธานาธิบดี Trump
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามขาดดุลการคลังสหรัฐฯ ที่สูง และ Fed ที่รอดูข้อมูลเงินเฟ้อและตลาดแรงงานก่อนตัดสินใจ pace การลดดอกเบี้ย ด้านตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง จากการลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งใน 4Q2568 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
U.S. Treasury & IG
ความกังวลความเป็นอิสระของ Fed ที่อาจถูกแทรกแซง จะหนุนให้ US term premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ ขณะที่ US IG bond แม้มี spread ที่แคบ แต่ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แนะนำ UST และ US IG bonds ที่มี duration ระยะสั้นถึงกลาง เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ต ท่ามกลางความไม่แน่นอนนโยบายของสหรัฐฯ
High Yield Bond
ความเสี่ยงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ ตามถ้อยแถลง Powell ประธาน Fed ที่ Jackson Hole อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY default rate จะเพิ่มสูงขึ้นจากระดับต่ำ จนจำกัด upside ของ HY ท่ามกลาง HY spread ที่แคบ แม้ UST yield ตัวสั้น มีโอกาสลดลงต่อ ตามการลดดอกเบี้ยของ Fed ก็ตาม
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
Global Infrastructure
การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี Correlation กับสินทรัพย์หลักอื่นๆ ค่อนข้างต่ำในอดีต ทำให้สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจาก เป็นสัญญาระยะยาว และมีโครงสร้างรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการเงินอนาคตและโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้ง จากการที่ Fed อาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยได้มาก หลังยอดขายบ้านใหม่สหรัฐฯ เดือนก.ค. สูงกว่าที่คาด ทั้งนี้ แนะนำเน้นลงทุน Private credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนจากงบ Big Tech ที่แข็งแกร่ง และโมเมนตัมเศรษฐกิจที่ยังดี / เศรษฐกิจยุโรปได้แรงหนุนจากการลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญ และแรงหนุนจากนโยบายการคลัง/ หุ้นญี่ปุ่นได้รับอานิสงส์จากการปฏิรูปธรรมาภิบาล และจากการผ่อนคลายการคลัง
หุ้นสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนจาก GDP ใน 2Q2568 ที่ +3.3%QoQ ต่อปี ซึ่งสูงกว่าประมาณการครั้งแรก และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายใหม่ลดลงต่อเนื่อง รวมถึง งบ Nvidia ที่ดีกว่าคาด สะท้อนถึงอุปสงค์ AI ที่ยังแข็งแกร่ง แม้อาจมีความกังวลการเข้าแทรกแซง Fed ของประธานาธิบดี Trump
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันระยะสั้น จากความไม่แน่นอนทางการเมืองฝรั่งเศสที่อาจมีการเปลี่ยนนายกฯก่อนกำหนด จากการลงมติไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ เราคาดว่ามาตรการการคลังที่นำโดยเยอรมันยังเป็นแรงหนุนระยะยาว รวมถึงการผ่อนคลายทางการค้าหลังยุโรปยกเลิกภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ทำให้สามารถลดภาษีรถยนต์นำเข้าสหรัฐฯ ที่ 15%
หุ้นญี่ปุ่น
ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นได้แรงหนุนจาก 1) ความไม่แน่นอนของภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ลดลง 2) ความคืบหน้าการปฏิรูปบรรษัทภิบาล ผ่านการเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น และ 3) ความคาดหวังการออกมาตรการกระตุ้นการคลังเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม P/E ดัชนีฯ ที่เริ่มตึงตัว อาจจำกัดการเพิ่มขึ้นของดัชนีฯ
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
หุ้นตลาดเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อย่างต่อเนื่อง ที่มาจากโอกาสการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือนก.ย. ที่เพิ่มขึ้น และความกังวลในเรื่องการแทรกแซงธนาคารกลางของสหรัฐฯ ทั้งนี้ เรามอง ตลาดฯ ยังได้แรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้าจากเศรษฐกิจในเอเชียที่ฟื้นตัว
หุ้นอินเดีย
แม้ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มพักฐานระยะสั้น หลังสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก 25% ต่ออินเดีย ส่งผลให้ภาษีนำเข้าโดยเป็น 50% แต่ RBI ยังมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม และรัฐบาลมีแนวโน้มปรับเปลี่ยน GST เพื่อกระตุ้นการบริโภค และลดเงินเฟ้อ ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มลดลง จากความไม่แน่นอนด้านการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ เรามองว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ ขึ้นอยู่กับความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ การปรับประมาณการ EPS ในปีนี้ รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและต่างชาติหลังงาน Thailand Focus
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. และความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของ Fed หลังประธานาธิบดี Trump สั่งปลดผู้ว่าการ Fed โดยตลาดฯ ยังให้น้ำหนักการลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกระยะยาว จากแรงซื้อของธนาคารกลางโดยเฉพาะจีน
หุ้นจีน All-Share
ดัชนีหุ้นจีนได้แรงหนุนจากความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และเผยแผนปฏิรูปจากทางการในการประชุม 4th plenum ด้านหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI มีแนวโน้มได้อานิสงส์ หลังครม.จีนได้เปิดตัวโครงการ AI Plus ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเร่งการนำ AI ไปใช้ในภาคส่วนเทคโนโลยีและภาคการบริโภค
หุ้นจีน A-Share
ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้อานิสงส์จาก 1) แรงซื้อของนักลงทุนในประเทศทั้งสถาบันและรายย่อย 2) ความหวังมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของทางการ โดยเฉพาะในการประชุม 4th plenum และ 3) ความสัมพันธ์การค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ดีขึ้น ขณะที่ Fwd P/E ดัชนีฯ ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับภูมิภาคหลักอื่นๆ
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจากงบกลุ่ม Communication Services และ Tech รายใหญ่ ใน 2Q2568 ที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากล่าสุด Nvidia เผยรายได้เติบโตมากกว่า 50% ต่อเนื่อง 9 ไตรมาสติดต่อกัน ประกอบกับ การใช้จ่าย capex ของกลุ่ม Magnificent 7 ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะช่วยหนุนแนวโน้มอุปสงค์บน AI
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ได้รับปัจจัยบวก จากการที่ธนาคารกลาง (BOK) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% และปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2568 สู่ระดับ 0.9% จากระดับ 0.8% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือน พ.ค. หลังมีสัญญาณการฟื้นตัวของภาคบริโภค และสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก EPS กลุ่มฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโต ตามที่ความต้องการใช้ AI ที่กระจายไปหลายอุตสาหกรรมและภูมิภาค ทำให้ความต้องการบนชิปและโครงสร้างพื้นฐาน AI ยังสูง ขณะที่ ล่าสุด จีนมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตชิป AI ในประเทศ 3 เท่า ในปี 2569
หุ้นจีน H-Share
เราแนะนำ ขายทำกำไรในระยะสั้น บนดัชนีหุ้นจีน H-Share เนื่องจาก ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นมามากนับตั้งแต่แนะนำเข้าลงทุน ขณะที่ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของทางการจีน จะส่งผลบวกที่มากกว่าบนดัชนีหุ้นจีน A-Share ในระยะสั้น อย่างไรก็ดี เรายังแนะนำลงทุนดัชนีหุ้นจีน All-Share ในพอร์ตระยะยาว
ภาพ: Chip Somodevilla/Getty Images, Douglas Rissing/Getty Images