- หุ้นโลกปรับตัวดีขึ้นและทำจุดสูงสุดใหม่ระหว่างสัปดาห์ หลังจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะ ทำให้กลุ่มหลักปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความคาดหวังด้านนโยบายที่จะหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ดีต่อเนื่อง
- อย่างไรก็ตาม ทรัมป์พร้อมกับพรรครีพับลิกันได้เสียงข้างมากทั้ง 2 สภา ทำให้ตลาดเริ่มกังวลนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าที่ทรัมป์หาเสียงไว้ รวมถึงการขาดดุลการคลังจากการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% สู่ 15%
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่านโยบายของทรัมป์อาจไม่น่าทำได้เร็ว โดยเฉพาะสงครามการค้าและการลดภาษี และแม้เกิดสงครามการค้า แต่แรงกดดันเงินเฟ้อไม่สูงมากนัก
- จึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ได้อานิสงส์บวกหลังทรัมป์คว้าชัยชนะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งจะทำให้มีการย้ายฐานการผลิต แนะนำ AMATA และ WHA
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นได้ดี โดยเฉพาะฝั่ง DM นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ระหว่างสัปดาห์ ภายหลังจากความชัดเจนของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะ ทำให้กลุ่มหลักปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความคาดหวังด้านนโยบายที่จะหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายลดภาษีนิติบุคคล ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้น
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเช่นกัน ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ย 25 bps ตามคาด
กลุ่มเทคโนโลยีปรับเพิ่มขึ้น 5.7% จากการลงทุนใน AI กลุ่มการเงินปรับเพิ่มขึ้น 4% และหุ้นขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 4.2% จากนโยบายลดภาษีและนโยบายสนับสนุน ส่วนกลุ่ม Healthcare ได้รับผลจากนโยบายปรับลดราคายา อย่างไรก็ตาม กลุ่ม Utilities และอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลง 1% หลังผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง
ตัวเลข ISM ภาคบริการสหรัฐฯ เดือนตุลาคมปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.0 สูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2022 การจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) เพิ่มขึ้นเพียง 12,000 ตำแหน่ง อันเป็นผลของเฮอร์ริเคนและการประท้วงของ Boeing ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ 4.1%
ด้านตลาดหุ้น EM ปรับตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยตลาดหุ้นจีน หลังตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของจีนเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นไทยผันผวนตามปัจจัยภายนอกหลังค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออก รวมถึงถูกกดดันจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจากแรงหนุน OPEC+ เลื่อนแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีก 1 เดือน แม้ระหว่างสัปดาห์ผันผวนตามสินทรัพย์เสี่ยงอื่น
ตลาดกังวลนโยบายทรัมป์
ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ เบื้องต้นบ่งชี้ว่าทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 พร้อมกับพรรครีพับลิกันได้เสียงข้างมากทั้ง 2 สภา ทำให้ตลาดเริ่มกังวลนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าที่ทรัมป์หาเสียงไว้ (จีน 60% และประเทศอื่น 10%) รวมถึงการขาดดุลการคลังจากการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% สู่ 15% โดยตลาดกังวลว่าอาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูง และกระทบแผนลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในปี 2025 ให้น้อยลงกว่าที่คาด ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเร็วเช่นกัน
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า
- นโยบายของทรัมป์อาจไม่น่าทำได้เร็ว โดยเฉพาะสงครามการค้า (ที่เราคาดว่าจะเริ่มทำอย่างเต็มที่ในปี 2026) และการลดภาษี (ที่น่าจะทำได้ใน 4Q25) เนื่องจาก พ.ร.บ.ลดภาษี (TCJA) จะหมดอายุลงในช่วงดังกล่าว
- แม้เกิดสงครามการค้า แต่แรงกดดันเงินเฟ้อไม่สูงมากนัก (การคาดการณ์ของ IMF ให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.2% จากกรณีฐานในปี 2026) ซึ่งจะทำให้ Fed น่าจะยังลดดอกเบี้ยตามแผนได้
- ด้วยมาตรการลดภาษีที่ยังไม่บังคับใช้จนกระทั่งปลายปี 2025 ประกอบกับดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ที่น่าจะลดได้ต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวไม่น่าจะปรับตัวได้สูงขึ้นกว่านี้มากนัก (โดยพันธบัตร 10 ปีอาจอยู่ที่ 4.5% ก่อนลดลง) ขณะที่ผลตอบแทนระยะสั้นจะลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะทำให้เส้นผลตอบแทนชันขึ้น
- ด้วยนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่น่าจะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่นเดียวกับทิศทางนโยบายการเงินที่อื่นๆ รวมถึงไทยที่จะผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เรามองว่าเงินบาทน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน โดยเฉลี่ยที่ 35.6 บาทต่อดอลลาร์ในปีหน้า ใกล้เคียงปีนี้ที่ 35.1 บาทต่อดอลลาร์
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
- หุ้น Earning Play ซึ่งหากนักลงทุนต้องการเก็งกำไรระยะสั้นสำหรับหุ้นที่คาดว่าสัปดาห์หน้าจะประกาศกำไร 3Q24 ออกมาเติบโตดี YoY เลือก AWC, BDMS, TIDLOR, CPALL, BEM และ AOT
- หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกหลังทรัมป์คว้าชัยชนะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฐานกำแพงภาษีสินค้านำเข้า โดยเฉพาะจากจีน จะทำให้มีการย้ายฐานการผลิต แนะนำ AMATA และ WHA ส่วนนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ แนะนำ CPF, TU, AOT และ MINT
- หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เลือก BBL, ADVANC, HMPRO และ BCP
- สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
“ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideway Up โดยปัจจัยลบที่มีต่อเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศมีค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ดี คาดเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะยังชะลอตัวลง ทำให้แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงความชัดเจนในการดำเนินนโยบายของทรัมป์หลังการเลือกตั้ง น่าจะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป ทั้งนี้ ผลกระทบจากความคาดหวังของนโยบายรัฐบาลใหม่ต่อเศรษฐกิจมหภาคจะทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง และอาจส่งผลกับทิศทาง Fund Flow โดยเฉพาะนโยบายระหว่างประเทศที่มีต่อจีน ส่วนปัจจัยในประเทศคาดจะถูกขับเคลื่อนด้วยการเข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการประกาศงบ 3Q24” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ
เหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
- ตัวเลขเศรษฐกิจจีนเดือนตุลาคม ทั้งยอดค้าปลีก, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม, อัตราการว่างงาน และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
- อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือนตุลาคม เช่น เงินเฟ้อ, ยอดขายปลีก และดัชนี PPI
- GDP 3Q24 ที่รายงานรอบแรกของญี่ปุ่น ตลาดคาดขยายตัว 1.1%QoQ SAAR ชะลอจาก 2Q24 ที่ขยายตัว 3.1%
- เข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการรายงานผลประกอบการ 3Q24 ของ บจ. Real Sector ของไทย
- ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมประจำเดือนตุลาคม ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: AMATA - Backlog New High ถึงปี 2025
แนะนำ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน หรือ AMATA เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในไทย ซึ่งมีลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 1,000 ราย โดยมีโครงการนิคมอุตสาหกรรมในไทย 2 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี, ระยอง และในเวียดนาม 1 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เบียนหัว
- ณ สิ้น 3Q24 มี Backlog 1.94 หมื่นล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็นจากไทย 90% และเวียดนาม 10% ซึ่ง Backlog จากไทยจะบันทึกรายได้ตั้งแต่ 4Q24-2025 ขณะที่ Backlog จากเวียดนามคาดบันทึกปลายปี 2025 - ต้นปี 2026 ซึ่งมองบวกต่อยอดขายที่ดินยังโตเด่นใน 4Q24 ซึ่งจะต่อยอด Backlog ในอนาคต
- Valuation น่าสนใจ โดยราคาหุ้น AMATA ซื้อขายที่ PER 2025F ที่ 11 เท่า คิดเป็น -1S.D. จาก PER เฉลี่ย 10 ปี ซึ่งมองยังไม่สะท้อนโมเมนตัมกำไรที่ยังจะเติบโตแข็งแกร่ง โดยปี 2024 คาดกำไรจะเติบโต 27%YoY และโตต่อ 17.6%YoY ในปี 2025 สู่ระดับ 2,820 ล้านบาท (บนสมมติฐานไม่มีกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์)
- เราประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 32.30 บาท อิงวิธี PER 13.4 เท่า และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2024 หุ้นละ 0.83 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 2.8%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
สัปดาห์นี้มีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั้ง 1. ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2. Fed ปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งภาพรวมตลาดตอบสนองเชิงบวก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ขณะที่เรามองว่าตลาดรับรู้ประเด็นนี้ไปแล้ว แนะหันมองปัจจัยพื้นฐานแทน โดยเรามองกลุ่มการเงินและบริษัทในสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ สวนทางกลุ่มเทคและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับจีนที่มีความเสี่ยง
- Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ตามตลาดคาดการณ์ ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ หลังจากที่ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือนกันยายน
- ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึงในทุก Swing State 7 รัฐ ประกอบกับพรรครีพับลิกันได้เสียงข้างมากทั้ง 2 สภา โดยสภาบนได้คะแนน 52 ต่อ 42 และสภาล่างได้ 198 ต่อ 180
- ภาพรวมตลาดตอบสนองในทิศทางบวกต่อ 2 ประเด็นนี้ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่มีความคาดหวังต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไปที่จะดูดีขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ที่มุ่งเน้น American First และการลดดอกเบี้ยของ Fed
ขณะที่เรามองว่าราคาหุ้นรับรู้ประเด็นเรื่องผลการเลือกตั้งไปพอสมควร ซึ่งทำให้ภาพในระยะถัดไป ผลตอบแทนจากธีมนี้เริ่มจำกัด ซึ่งเราแนะหันกลับมามองปัจจัยพื้นฐานของหุ้น รวมถึงแนะติดตามการดำเนินนโยบายของทรัมป์ว่าจะสำเร็จหรือไม่
นอกจากนี้ หากอิงตามแนวโน้มนโยบายที่ทรัมป์เคยปราศรัยหลักๆ เรามองว่ากลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายคือ
- กลุ่มการเงิน ทั้งบริการชำระเงินและธนาคาร: หลังกฎระเบียบในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น
- กลุ่ม Retail อย่าง COST, WMT และ HD รวมถึง V และ CMG คาดได้รับประโยชน์จากการลดภาษีนิติบุคคล ในทางตรงกันข้าม มองกลุ่มเทคและกลุ่มธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนจะมีความเสี่ยงในระยะถัดไป
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
สินทรัพย์สภาพคล่อง / เงินสด มีแนวโน้มให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังสูง โดยเฉพาะสหรัฐฯ หลัง Fed มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยครั้งละ 25 bps นอกจากนี้ สภาพคล่อง / เงินสด มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินต่อ เช่น ความขัดแย้งภายในตะวันออกกลางและข้อพิพาททางการค้า โดยล่าสุดทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 60% กับสินค้าจีนทั้งหมด และเก็บ 10% กับสินค้าจากทั่วโลก (ยกเว้นจีน)
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
โอกาสที่ UST Yield Curve จะปรับเพิ่มความชันแบบ Steepener (UST Yield ตัวยาวเพิ่มขึ้นนำ) ยังมีอยู่ หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงขาขึ้นของเงินเฟ้อ ทั้งจากการจำกัดผู้อพยพ การกีดกันทางการค้า และการผ่อนคลายการคลัง (การขาดดุลการคลังที่มากขึ้นยังนำไปสู่การออก UST ตัวยาวที่มากขึ้น) โดยที่ Bond ตัวยาว (> 7 ปีขึ้นไป) มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ Bond อายุ 2-4 ปี มีความเสี่ยง Duration ที่น้อยกว่าและ Coupon ที่มากเพียงพอ จึงทำให้ตราสารหนี้ตัวสั้นยังมีความน่าสนใจในการถือลงทุนเพื่อรับ Coupon Income และยังคุ้มที่จะถือเพื่อ Hedge กรณีที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขตลาดแรงงานออกมาต่ำกว่าคาด
US Treasury & IG
10Y UST Yield เพิ่มขึ้น QTD หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังชี้แนวโน้ม Soft Landing ในสหรัฐฯ และลดความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยที่มากของ Fed ในระยะถัดไป (ล่าสุดตลาดคาด Fed จะลดดอกเบี้ยรวมราว 75 bps ในปี 2025 จากเดิมเคยคาดว่าจะลดถึง 175 bps) ประกอบกับความกังวลยอดขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นผ่านการออก UST ที่มากขึ้นจากแนวนโยบายของทรัมป์
แนะนำลงทุนทั้ง UST และ US IG (ซึ่งมี Net Margins และสถานะด้านสภาพคล่องที่ยังดี) โดยเน้นลงทุนใน Duration ประมาณ 2-4 ปี ที่ให้ Yield ในกรอบ 4.3-4.9% ซึ่ง Yield เฉลี่ยยังสูงกว่าประมาณการอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ Fed ที่ 2.9% เพื่อเป็นการ Lock Coupon
High Yield Bond
แม้ว่า UST Yield เพิ่มขึ้น QTD แต่ US HY มีผลตอบแทนรวมติดลบเล็กน้อย ส่วนหนึ่งมาจากการแคบลงของ Spread ซึ่งสะท้อน
- US HY LTM Default Rate ที่ทยอยลดลง ล่าสุดอยู่ 1.39%
- จำนวน HY Issuers ที่ถูก Upgrade มากกว่าถูก Downgrade
- ความผันผวนของตลาด US HY ที่ยังต่ำ
- Maturity Wall ปี 2025 ยังไม่น่ากังวล โดยมียอดครบกำหนดเพียง 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับของปี 2026 ที่ 1.19 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ด้วย US HY Spread ที่แพงมากเมื่อดูค่าเฉลี่ย 10 ปี จึงทำให้ Upside ของ US HY มีค่อนข้างจำกัด
สินทรัพย์ผสม / กึ่งหนี้กึ่งทุน / REITs
REITs ถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนในรูปกระแสเงินให้กับ Portfolio ได้ ทั้งในระยะกลางถึงยาว และเป็นการเพิ่ม Diversification ให้กับ Portfolio จากความสัมพันธ์ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์อื่นต่ำ
สินทรัพย์ผสมช่วยกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน และช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอกที่มีต่อสินทรัพย์ที่ถือครอง
US REITs
US REITs มีปัจจัยหนุนจาก
- Bond Yield สหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มปรับลดลง ตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งเราคาดว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 125 bps จนถึงสิ้นปี 2025 (แม้ชัยชนะของทรัมป์อาจส่งผลให้ Bond Yield ปรับเพิ่มขึ้นจากแผนขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้น)
- Occupancy Rate ที่อยู่ในระดับสูงราว 94%
- กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NOI) ที่เติบโตต่อเนื่อง
- งบดุลที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตในอนาคต
- Valuation ที่อยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
Private Credit
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit Asset จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวแบบจัดการได้ (Soft Landing) อย่างไรก็ตาม ยังเน้นการลงทุนใน Private Credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหน้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก (First Lien Seniority)
หุ้นไทย
ดัชนีได้ปัจจัยหนุนจาก
- เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากโครงการแจกเงิน 10,000 บาท การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
- การประกาศแผนลงทุนในไทยของ NVIDIA ช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนด้าน Data Center และการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทในปีนี้
- ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้นจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
- Valuation ที่ดูจาก Earning Yield Gap ของไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เนื่องจาก Bond Yield ของไทยยังไม่ได้ปรับขึ้นมาก
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
เรามองว่าการที่ Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายภายใต้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวแบบ Soft Landing จะทำให้ตลาดหุ้นโลกมีผลตอบแทนที่ดีในกรอบเวลา 6-12 เดือน ด้านผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการของทรัมป์ เช่น กลุ่มการเงินและกลุ่มพลังงาน
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ท่ามกลางความขัดแย้งการเมืองภายในเยอรมนี / หุ้นญี่ปุ่นได้อานิสงส์จากเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า ทำให้เงินเยนอ่อนค่า และสนับสนุนหุ้นในกลุ่มส่งออกของญี่ปุ่น เน้นติดตามการผลักดันนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ในระยะต่อจากนี้
หุ้นสหรัฐฯ
ความคาดหวังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่โตในอัตราชะลอลงแบบ Soft Landing ยังมีอยู่ หลังแถลงการณ์หลังการประชุม Fed รอบล่าสุดระบุว่า GDP Growth ยังแข็งแกร่งและเงินเฟ้อมีความคืบหน้าในการลดลงสู่เป้าหมายที่ 2% ขณะที่การทยอยรายงานผลประกอบการของ S&P 500 ใน 3Q24 พบว่า โดยเฉลี่ย บจ.สหรัฐฯ ที่รายงานแล้ว มี EPS Surprise ที่ +6.5% นำโดยกลุ่ม Com. Services และ Cons. Discretionary และอาจช่วยหนุนให้ Consensus ทยอยปรับประมาณการ S&P 500 EPS ทั้งปี 2024 ดีขึ้น
นอกจากนี้ ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทรัมป์ชนะ หนุนความคาดหวังของตลาดบนแนวโน้มการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบและการลดภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นสหรัฐฯ
หุ้นยุโรป
ดัชนีหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักในยุโรป โดยเราเน้นหุ้นกลุ่ม Quality Growth ยุโรปที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงและมีงบดุลแข็งแกร่ง แม้ยังมีความเสี่ยงจากภาคการเมืองของเยอรมนีที่เสถียรภาพลดลง หลังนายกรัฐมนตรีสั่งปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้งข้อพิพาทการค้ากับจีน (หลังจีนบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดชั่วคราวต่อการนำเข้าบรั่นดีจาก EU) และแนวโน้มการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
เงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากหุ้นในตลาดเกิดใหม่เอเชีย (ไม่รวมจีน) ส่วนใหญ่ หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ สร้างความกังวลต่อประเด็นการเก็บภาษีสินค้านำเข้า ขณะที่ 10Y UST Yield ปรับเพิ่มขึ้น และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
ตลาดหุ้นจีนยังได้รับแรงหนุนจากการที่การประชุม NPC Standing Committee อนุมัติแผนวงเงิน 10 ล้านล้านหยวน สำหรับให้รัฐบาลท้องถิ่นนำไปรีไฟแนนซ์หนี้ LGFVs แม้ว่าจะไม่ได้ประกาศอนุมัติโควตาการออกเพิ่มเติมสำหรับการเพิ่มทุนของธนาคาร
เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตชะลอตัวลง ขณะที่รายงานกำไรของ บจ. มีแนวโน้มออกมาน้อยกว่าคาดและอาจถูกปรับประมาณการลงท่ามกลาง Valuation ที่แพง กดดันดัชนีระยะสั้น
หุ้นอินเดีย
เรามีมุมมองระมัดระวังต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะสั้นจากการขยายตัวของ GDP ที่มีทิศทางชะลอตัวลง โดย GDP ใน CY2Q24 ขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ +6.7%YoY และเริ่มส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดย EPS ใน 3QCY24 ขยายตัวน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และ EPS ใน CY24 มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการลง นักลงทุนต่างชาติโยกเงินลงทุนออกจากอินเดียนับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม
นอกจากนี้ Valuation ของดัชนียังอยู่ในระดับที่แพง อย่างไรก็ดี สัดส่วนส่งออกสินค้าอินเดียไปสหรัฐฯ ต่ำกว่าประเทศ EM ในกรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อ GDP อินเดียจำกัด โครงสร้างการเติบโตในระยะยาวแข็งแกร่ง เหมาะแก่การทยอยสะสมเมื่อดัชนีย่อตัว
หุ้นอินโดนีเซีย
ดัชนีมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก
- เศรษฐกิจที่เติบโตได้ดีจากการบริโภคที่ฟื้นตัว โดยการเลือกตั้งท้องถิ่นในเดือนพฤศจิกายนจะช่วยสนับสนุนภาคการบริโภค การส่งออกที่ขยายตัวดี นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นของรัฐบาลชุดใหม่ที่ให้ความสำคัญกับอาหาร ศักยภาพแรงงาน และการลงทุนมากขึ้น
- แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอินโดนีเซีย โดยเราคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วง 4Q24 อีก 50 bps จากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ
- FDI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย FDI ใน 2Q24 ขยายตัว +16.6%YoY
- กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวใน 2H24
- Valuation ของดัชนีที่อยู่ในระดับไม่แพง
หุ้นจีน
ดัชนีมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการตั้ง Swap Facility เพื่อหนุนการซื้อหุ้น และ Re-Lending Facility เพื่อหนุนการซื้อหุ้นคืน รวมทั้งจากมาตรการการคลังรอบล่าสุดที่เน้นการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ซ่อนเร้นของรัฐบาลท้องถิ่นวงเงิน 10 ล้านล้านหยวน ในการประชุม NPC Standing Committee ล่าสุด
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะผ่อนคลายการคลังมากขึ้น ผ่านการส่งสัญญาณเกี่ยวกับเป้าการเติบโตและงบการคลังสำหรับปีหน้าในการประชุม CEWC เดือนธันวาคมนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ
สินค้าโภคภัณฑ์
ปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังคงสนับสนุนการลงทุนในพอร์ตระยะยาว เนื่องจาก
- เป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะสงครามที่รุนแรงได้ ท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
- ความกังวลประเด็นหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง สนับสนุนการลดการถือเงินดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองระหว่างประเทศและสะสมทองคำมากขึ้น
- เงิน Fund Flow ของ ETF ทองคำกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ หลังจากเทขายมาตั้งแต่ต้นปี 2024 จนถึงกลางเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าและ US Bond Yield ที่ปรับขึ้นหลังชัยชนะของทรัมป์ มีแนวโน้มส่งผลกดดันต่อการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในระยะสั้น