วันนี้ (13 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานกรรมการนโยบายพรรค พร้อมนายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคฯ และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคฯ แถลงข่าวชี้แจงถึงเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
นายจุติ ไกรฤกษ์ ย้ำถึงประเด็นความทุกข์ร้อนของประชาชนว่า หลังจากแถลงความชัดเจนไปแล้ว ขอให้เลือกพรรคที่พร้อมที่สุดที่จะเข้ามาแก้ปัญหาของประชาชน ปากท้อง หนี้ครัวเรือน รายได้ครัวเรือน ภาษีเป็นธรรมหรือไม่ และพรรคประชาธิปัตย์มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ และทำงานมาโดยตลอด 200 กว่าสัปดาห์ 5 ปีก่อนจะถึงวันนี้ โดยทำบนความถูกต้อง ไม่ทำให้ประเทศเสียหาย พร้อมเตือนประชาชนอย่าเลือกตั้งด้วยอารมณ์ แต่ให้เลือกด้วยประเด็นนโยบาย
โดยนายกรณ์ กล่าวว่า ปชป. ลงพื้นที่ทํางานด้านนโยบายมาตลอด 5 ปีที่มีรัฐบาลจากรัฐประหาร ทั้งการลงพื้นที่ทําจริง เก็บข้อมูล ศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ จากนักวิชาการและปราชญ์ชาวบ้าน จนขมวดรวมเป็นชุดนโยบาย ‘แก้จน-สร้างคน-สร้างชาติ’ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และประเทศชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด โดยแยกรายละเอียดในแต่ละชุดอย่างเป็นระบบ
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวย้ำถึงจุดยืนว่า ชุดนโยบายนี้จะถูกนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทยและประเทศชาติมากที่สุด คือการที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นแกนนํารัฐบาลเท่านั้น จากการพิจารณาจากอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย และหลักคิดทางนโยบายต่างๆ รวมไปถึงประวัติในการบริหารประเทศ แล้วพบว่าไม่สามารถร่วมรัฐบาลกันได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ได้เป็นประชาธิปไตยสุจริต และชัดเจนว่าไม่ได้ยึดประชาชนเป็นใหญ่ ตัวอย่างเช่นมีการผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และอีกหลายนโยบายที่สวนทางกับนโยบายของ ปชป.
ส่วนในประเด็นแนวนโยบายของพรรคพลังประชารัฐนั้น มีหลายข้อที่เรามองว่า นโยบายพรรคประชาธิปัตย์ตอบโจทย์ความต้องการประชาชน และการพัฒนาเศรษฐกิจได้ดีกว่า
นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ตลอดมาได้เน้นนโยบายที่ส่งเสริมทุนใหญ่ ล่าสุดความพยายามที่จะเร่งรัดการประมูลดิวตี้ฟรี ในวิธีการที่จะคงไว้ซึ่งสิทธิผูกขาดของผู้ประกอบการ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่ารัฐบาลละเลยการรักษาประโยชน์สูงสุดของประชาชนและบ้านเมือง
พรรคประชาธิปัตย์มองว่าประชาชนทั่วไปในระดับฐานราก และชนชั้นกลางถูกละเลยมานาน นโยบาย ปชป. จึงเน้นคนวัยทํางาน และผู้มีรายได้น้อย ไม่ขายแต่ GDP แต่ชูดัชนี ‘ปิติ’ (PITI) ซึ่งเป็นการวัดการพัฒนาที่เป็นตัววัดความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง เราเน้นการปฏิรูปโครงสร้างภาษี เก็บภาษีเศรษฐี ดูแลคนรายได้ปานกลาง และให้สวัสดิการพื้นฐานแก่ผู้มีรายได้น้อย ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ลดภาษีบุคคลธรรมดา 10% ทุกกลุ่มแต่คนรวยได้ประโยชน์สูงสุด ปชป. ไม่ลดคนรวยชัดเจน ในแง่นิติบุคคล ปชป. ลดให้เฉพาะเอสเอ็มอีเท่านั้น
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า ในด้านของราคาสินค้าเกษตรนั้น ในช่วงการบริหารของรัฐบาลปัจจุบันตกตํ่า สะท้อนปัญหาปากท้องในเศรษฐกิจฐานราก และนโยบายเกษตรที่ประกาศออกมา คือหลักการ ‘จํานํา’ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อความเสียหายที่เคยเกิดขึ้น ขณะที่ ปชป. ชูประกันรายได้เกษตร ไม่ต้องการบิดเบือนกลไกตลาด ปิดจุดรั่วไหล และมีนโยบายสร้างชาติด้านเกษตร ปฏิรูปเขียว ดันราคาตลาดให้สูงขึ้นโดยไม่เป็นภาระงบประมาณ
นอกจากนี้ ปชป. ออกสวัสดิการพื้นฐานดูแลทารกปฐมวัยด้วยหลักคิดจากนักวิจัย และนักเศรษฐศาสตร์โนเบล เกิดปั๊บรับสิทธิ์เงินแสน แต่พรรคพลังประชารัฐ ประกาศนโยบายมารดาประชารัฐโดยจงใจบลัฟตัวเลข หลักคิดแบบนี้สุ่มเสี่ยง และไม่ควรเป็นแกนนํารัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นพรรคใด โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐชี้แจงตัวเลขเงินงบประมาณที่จะนำมาใช้ในแต่ละนโยบาย ซึ่ง กกต. ก็มีการกำหนดไว้ว่า ต้องเปิดเผยแค่ไหนอย่างไรบ้าง ทั้งตัวเลขที่จะใช้ในแต่ละนโยบาย และที่มาของแหล่งเงิน หากหาเสียงแล้วทำไม่ได้ หรือใช้งบประมาณจนเป็นปัญหาต่อประเทศ ก็อาจนำมาซึ่งต้นเหตุแห่งความขัดแย้งใหม่ได้อีก
ดังนั้น “ชุดนโยบายแก้จน-สร้างคน-สร้างชาติ ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ต่อประเทศในครั้งนี้ จะถูกผลักดันอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้เลย หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแกนนํารัฐบาล” ประธานกรรมการนโยบาย ปชป. กล่าวย้ำในตอนท้าย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์