THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
thai-credit-rating-risk-fed-interest-outlook
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

สถิติพบ 50% ของประเทศที่ถูกปรับ Outlook เป็น Negative จะถูกลดอันดับจริงภายใน 1-2 อินโนเวสท์ เอกซ์ ย้ำต้องเร่งแก้วินัยการคลัง ก่อนถูกลดอันดับเป็น BBB

... • 30 ก.ย. 2025

HIGHLIGHTS

  • ตลาดหุ้นโลกพักตัว หลังปรับตัวทำจุดสูงสุดอย่างต่อเนื่อง มีแรงขายทำกำไรหลังผลประชุม Fed ออกมาตามคาดในสัปดาห์ก่อน ขณะที่คำกล่าวของประธาน Fedขาดความชัดเจนต่อทิศทางดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า
  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์มองว่า Fed น่าจะต้องการเร่งการปรับลดดอกเบี้ยให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองต่อตลาดแรงงานที่อ่อนกำลังลง ขณะที่เงินเฟ้อยังไม่เป็นความเสี่ยงมากนักในปัจจุบัน
  • ขณะที่สถานการณ์อันดับเครดิตไทยเสี่ยงมากขึ้นต่อการถูกลดอันดับ หลังจาก Fitch Ratings ปรับลดมุมมองเครดิตเป็น ‘Negative’ ตามรอย Moody’s เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ 
  • ข้อมูลประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า 50% ของกรณีที่ถูกปรับ Outlook เป็น Negative จะถูกลดอันดับจริงภายใน 1-2 ปี ทำให้ไทยต้องเร่งปรับปรุงวินัยการเงินการคลังเพื่อหลีกเลี่ยงการลดอันดับจาก BBB+ เป็น BBB

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกเข้าสู่ช่วงพักตัว หลังปรับตัวทำจุดสูงสุดอย่างต่อเนื่อง มีแรงขายทำกำไรหลังผลประชุม Fed ออกมาตามคาดในสัปดาห์ก่อน ขณะที่คำกล่าวของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าสุด ขาดความชัดเจนต่อทิศทางดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า โดยแม้จะย้ำถึงตลาดแรงงานที่ชะลอ แต่ยังคงความกังวลเงินเฟ้อ ที่จะทำให้การตัดสินใจของ Fed ทำได้ยากมากขึ้น 

 

นอกจากนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีกว่าคาด เช่น ยอดขายบ้านใหม่เดือน ส.ค. และ GDP 2Q25 ที่ปรับเพิ่มขึ้นไปอีก ด้านจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกต่ำกว่าคาด ยิ่งทำให้ตลาดเริ่มปรับมุมมองการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2026 ลงเหลือ 2 ครั้ง จากเดิม 3 ครั้ง เข้าใกล้ Dot Plot ล่าสุด 

 

กลุ่ม Health Care ปรับตัวลดลง 2.4% หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เริ่มการไต่สวนการนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์, กลุ่ม Consumer ปรับตัวลดลง 1.3%-2.1% ตามกำลังซื้อที่ลดลง ด้านกลุ่มสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยีเผชิญกับแรงขายทำกำไรหลังราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงก่อนหน้านี้ 

 

OECD ปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกสำหรับปี 2025 เป็น 3.2% จาก 2.9% โดยได้รับแรงหนุนจากการผลิตและการค้าที่เพิ่มขึ้นก่อนการใช้ภาษีศุลกากรอัตราสูงของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม OECD เตือนว่าการเติบโตจะชะลอลงเหลือ 2.9% ในปีหน้า เนื่องจากการลงทุนและการค้าที่จำกัด จากการขึ้นภาษีศุลกากรเพิ่มเติม 

 

ตลาดหุ้น EM ยังปรับขึ้นได้เล็กน้อย ได้แรงหนุนจากตลาดฝั่งเอเชียเหนือ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องจากกระแสการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 

 

ไทยเสี่ยงถูกลดอันดับจาก BBB+ เป็น BBB 

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ดัชนี PMI ล่าสุดของสหรัฐฯ สะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จึงมองว่า Fed น่าจะต้องการเร่งการปรับลดดอกเบี้ยให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองต่อตลาดแรงงานที่อ่อนกำลังลง ขณะที่เงินเฟ้อยังไม่เป็นความเสี่ยงมากนักในปัจจุบัน 

 

โดยคาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้สู่ระดับเฉลี่ย 3.63% (อยู่ในช่วงคาดการณ์ 3.50 - 3.75%) แม้แรงกดดันเงินเฟ้อยังไม่รุนแรง แต่เรายังคงประเมินว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ เป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป

 

โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะทยอยเพิ่มขึ้นสู่ 3.3% ภายในสิ้นปีนี้และคาดว่าแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.5% จะทำให้เงินเฟ้ออยู่ระดับใกล้เคียงกับดอกเบี้ย และหากประธาน Fed ท่านใหม่ ยังคงยึดมั่นในวินัยการเงิน ก็จะทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า สถานการณ์อันดับเครดิตไทยเสี่ยงมากขึ้นต่อการถูกลดอันดับ หลังจาก Fitch Ratings ปรับลดมุมมองเครดิตเป็น ‘Negative’ ตามรอย Moody's ทำให้มี 2 จาก 3 บริษัทจัดอันดับหลักให้มุมมองลบต่อไทย เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ โดยปัจจัยเสี่ยงหลักคือหนี้สาธารณะที่พุ่งใกล้ 70% ของ GDP และการจัดเก็บรายได้ที่ขยายตัวลดลงเหลือ 1.2% จากเดิม 3.2% 

 

ข้อมูลประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า 50% ของกรณีที่ถูกปรับ Outlook เป็น Negative จะถูกลดอันดับจริงภายใน 1-2 ปี ทำให้ไทยต้องเร่งปรับปรุงวินัยการเงินการคลังเพื่อหลีกเลี่ยงการลดอันดับจาก BBB+ เป็น BBB อย่างไรก็ตาม โอกาสที่รัฐบาลจะเพิ่มภาษีในระยะสั้นมีน้อย เนื่องจากจะกระทบต่อ GDP และคะแนนนิยมทางการเมือง แต่อาจมุ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่าน PPP แทน

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

  1. หุ้น Earnings Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2H68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ HoH ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCPG GULF SCC
  2. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div.Yield เกิน 2% แนะนำ PTT (XD 1 ต.ค.) TTB (XD 6 ต.ค.)
  3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC TIDLOR
  4. Trading Idea : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 
  1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวชาติจีน (Golden Week) แนะนำ กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW) 
  2. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและการท่องเที่ยวไทย แนะนำ กลุ่มค้าปลีก (CPALL GLOBAL TNP) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG OSP HTC ICHI) กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW) 
  3. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากความต้องการซ่อมแซมถนนและที่อยู่อาศัยหลังพ้นสถานการณ์น้ำท่วมในไทย แนะนำ กลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มค้าปลีก (TASCO BJC HMPRO GLOBAL)

 

“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,260-1,300 จุด โดยปัจจัยในประเทสติดตามการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุน ส่วนปัจจัยต่างประเทศติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ PMI จีนและสหรัฐ รวมทั้งตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าตัวเลขจะออกมาไม่ได้แย่กว่าที่ตลาดกังวล ทำให้ไม่กดดันตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่หากอ่อนแอมากขึ้น คาดจะทำให้ตลาดมีคาดหวังมากขึ้นต่อการเร่งปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ในระยะถัดไป” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

  1. การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลคุณอนุทิน ชาญวีรกุล
  2. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ อาทิ จำนวนตำแหน่งงาน JOLTS, การจ้างงานภาคเอกชน ก.ย., Nonfarm Payrolls และอัตราว่างงาน ก.ย.
  3. ตลาดหุ้นจีนปิดทำการระหว่างวันที่ 1-8 ต.ค. (Golden Week) เนื่องในวันชาติจีน และตลาดฮ่องกงปิดทำการวันที่ 1 ต.ค.

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: PTT - มีโมเดลธุรกิจที่สมดุล ปันผลน่าสนใจ

 

แนะนำ บมจ. ปตท. หรือ PTT เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

  • เป็นผู้นำธุรกิจด้านพลังงานและปิโตรเคมีครบวงจรของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากคาดเห็นศักยภาพการเติบโตต่อเนื่อง จากแผนขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของโลก
  • 3Q25 คาดกำไรจะเติบโต YoY และ QoQ โดยได้แรงหนุนจากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของธุรกิจ P&R ขณะที่ปี 2025 คาดกำไรปกติจะแตะระดับ 9.66 หมื่นลบ. พลิกเติบโต 18.2%YoY โดยมองโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรของ PTT จะช่วยปกป้องกำไรจากความผันผวนของราคาน้ำมันได้อย่างต่อเนื่อง 
  • Valuation น่าสนใจ โดยปัจจุบัน PTT ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.8 เท่า (-1.5SD ของ PBV เฉลี่ย 5 ปี) ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีแผนงานด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน อีกทั้งคาดให้อัตราผลตอบแทนจากปันผลที่ดีในระดับราว 6.3% ในระยะ 3 ปีนี้
  • เราประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 39 บาท อ้างอิงวิธี sum-of-parts และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 2.10 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 6.3% 

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษี 100% ผลิตภัณฑ์ยาที่มีสิทธิบัตรนำเข้าในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี บริษัทจะได้รับการยกเว้นภาษีหากมีการสร้างโรงงานผลิตยาในสหรัฐฯ แต่รายละเอียดเพิ่มเติมยังไม่มีการเปิดเผย ทำให้เราเชื่อว่าความไม่แน่นอนยังคงสูงถึงแม้ว่ากลุ่มยาในยุโรปและสหรัฐฯหลายแห่งจะมีการประกาศลงทุนในสหรัฐฯแล้ว ทำให้เรายังแนะระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มผู้ผลิตยา

 

สหรัฐฯจะเรียกเก็บ ภาษี 100% สำหรับผลิตภัณฑ์ยาที่เป็นแบรนด์เนมหรือมีสิทธิบัตร (branded or patented pharmaceutical products) ที่นำเข้ามาในสหรัฐฯ

 

ภาษีนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2025 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี บริษัทจะได้รับการยกเว้นภาษี หากมีการสร้างโรงงานผลิตยาในสหรัฐฯ สะท้อนเป้าหมายของสหรัฐฯ เพื่อผลักดันให้บริษัทยาย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐฯ โดยทรัมป์มีการสอบสวน

อุตสาหกรรมยาตั้งแต่เม.ย. แล้ว

 

เรามองว่า 

  1. ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง หลังรายละเอียดเพิ่มเติมยังไม่ถูกเปิดเผย และหากอิงกับที่ทรัมป์พูดในช่วงก่อนหน้ามาตรการภาษีอาจจะถูกเก็บแบบขั้นบันได ทำให้ภาษีที่ระดับนี้อาจจะไม่ใช่ตัวเลขสุดท้าย
  2. ภาษี 100% นี้อาจทำให้ราคายาบางชนิดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งอาจทำให้กลุ่มยามีการปรับประมาณการลงได้ 
  3. มองกลุ่มยาต่างประเทศที่นำเข้าสินค้าเข้าไปในสหรัฐฯได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ เช่น Sumitomo Pharma, CSL, Takeda Pharmaceutical, และ Samsung Biologics 
  4. หลายบริษัทยาในยุโรปและสหรัฐฯมีการประกาศลงทุนในสหรัฐฯแล้ว แต่อย่างไรก็ดี บางแห่งมีผลิตภัณฑ์ทำเงินที่ยังพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศและอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการที่ยังไม่มีความชัดเจน เช่น NVO (Ozempic, Wegovy ในเดนมาร์ก, LLY (Mounjaro ในไอร์แลนด์, JNJ (Stelara, Darzalex ในสวิตฯ), Novartis (Cosentyx ในสวิตฯ), Bristol-Myers (Opdivo ผลิตในไอร์แลนด์และสวิตฯ)

 

ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูง ทำให้เราแนะระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มผู้ผลิตยา

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ยังคงให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง และได้รับแรงสนับสนุนจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ รวมถึงความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอาจส่งผลให้ผลตอบแทนมีแนวโน้มปรับลดลงตามไปด้วย

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจำกัด ท่ามกลางความเสี่ยงขาลงของตลาดแรงงาน และแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของ Fed ด้านตราสารหนี้ไทย Bond Yield มีความผันผวนในระยะสั้น หลัง Fitch ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือไทยเป็น Negative แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยที่ปรับลดลงต่อ ยังคงเอื้อต่อการลงทุนในตราสารหนี้

 

U.S. Treasury & IG

 

แนะนำพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ IG ระยะสั้นของสหรัฐฯ รับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed แม้ปัญหาขาดดุลการคลังเรื้อรัง จะยังหนุน term premium และความไม่แน่นอนการค้าที่เพิ่มขึ้น หลังประธานาธิบดี Trump ประกาศเก็บภาษีนำเข้า 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตรตั้งแต่ 1 ต.ค.นี้ อาจทำให้ต่างชาติชะลอการซื้อ ก็ตาม

 

High Yield Bond

 

ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น จนกระทบหุ้นกู้ HY สหรัฐฯ มีมากขึ้น ตามความเสี่ยงขาลงในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่มีอยู่ หลังทำเนียบขาวเตรียมแผนปลดพนักงานถาวร หากงบไม่ผ่านและเกิดชัตดาวน์ 1 ต.ค. แม้ UST yield มีโอกาสลดลงต่อ ตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Asia REITs

 

อัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศเอเชียมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าสหรัฐฯ ทำให้ Dividend Yield Spread มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยแนะนำลงทุนใน Singapore REITs ที่มีอัตราปันผลที่น่าสนใจอยู่ที่ 6% ต่อปี และ REITs ไทยที่มีอัตราปันผลเฉลี่ยสูงถึง 8.9% สูงกว่าภูมิภาคอื่น

 

Global Infrastructure

 

การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี Correlation กับสินทรัพย์หลักอื่นๆ ค่อนข้างต่ำในอดีต ทำให้สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจาก เป็นสัญญาระยะยาว และมีโครงสร้างรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

Private Asset ช่วยลดความผันผวนให้พอร์ต ขณะที่ สถาบันการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น กองทุนความมั่งคั่ง ยังเพิ่มการลงทุนต่อเนื่อง โดยเรามองบวกต่อ Private Equity ตามการลดลงของดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของ M&A ด้าน Private Credit เน้นที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จากกระแส AI ที่ยังคืบหน้า และความสามารถในการทำกำไรที่ยังโดดเด่น / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หนุนจากการเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและกลาโหม / หุ้นญี่ปุ่น ได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนการค้าที่ลดลง และความหวังการผ่อนคลายการคลัง

 

หุ้นสหรัฐฯ

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1) กระแส AI ที่ยังดำเนินต่อ 2) Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย 3) ผลดีจากมาตรการกระตุ้นการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4) EPS ที่มีแนวโน้มเติบโตเป็นวงกว้างขึ้น สอดรับกับ GDP ใน 2Q2568 ที่สูงกว่ารอบก่อนหน้า และตลาดคาด

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดหุ้นยุโรป มีแนวโน้มปรับตัวลดลงระยะสั้น จากการที่สหรัฐฯ ประกาศสอบสวนการนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ หุ่นยนต์ และเครื่องจักรอุตสาหกรรมจากยุโรป รวมถึงการเก็บภาษีนำเข้ายาที่มีตรา 100% ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะยาว โดยดัชนี Composite PMI เพิ่มสูงสุดในรอบ 16 เดือน

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น ได้แรงหนุนจาก 1) ความไม่แน่นอนการค้ากับสหรัฐฯ ที่ลดลง หลังประธานาธิบดี Trump มีแผนเยือนญี่ปุ่นในช่วงปลายเดือนต.ค. 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่น และ 3) ความคาดหวังการผ่อนคลายการคลังมากขึ้น หลังการเลือกตั้งผู้นำพรรค LDP และจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลใหม่

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

หุ้นตลาดเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการเข้าสู่วัฏจักรลดดอกเบี้ยของ Fed เปิดโอกาสในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากธนาคารกลางในเอเชีย ทั้งนี้ เรามองตลาดยังได้แรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่ยังอ่อนค่า และ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศกลุ่ม DM ที่ระดับ P/E 14 เท่า

 

หุ้นอินเดีย

 

เรายังมีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว จากการทยอยลดดอกเบี้ยของ RBI และจากการลดภาษีสินค้าและบริการ (GST) ที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนข้อพิพาทกับสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดี Trump ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า H-1B เป็น 1 แสนดอลลาร์ สรอ.

 

หุ้นไทย

 

ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้น จากนโยบายขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย เช่น การยกเว้นภาษีเงินปันผล การให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้ กองทุน Thai ESG รวมถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภาในวันจันทร์นี้ ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดในระยะถัดไป ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐ

 

หุ้นจีน All-Share

 

ดัชนีหุ้นจีนได้แรงหนุนจาก ความหวังการออกมาตรการกระตุ้นและการปฏิรูปจากทางการจีน ในการประชุม 4th plenum เดือน ต.ค. และ จากความหวังความคืบหน้ากระแส AI ในจีน หลัง Alibaba ประกาศจะเพิ่มงบลงทุนด้าน AI จากแผนเดิมที่ประกาศเดือนก.พ. ซึ่งตั้งเป้าใช้เงินกว่า 3.8 แสนล้านหยวน

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นระหว่างยุโรปตะวันออกกลางและรัสเซีย และความกังวลด้านความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกระยะยาวต่อทองคำ หนุนโดยแรงซื้อจากธนาคารกลางโดยเฉพาะจีน และกองทุนทองคำ ETF ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

หุ้นจีน A-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share รับอานิสงส์จาก 1) แรงซื้อนักลงทุนภายในประเทศทั้งสถาบันและภาคครัวเรือน 2) ความหวังมาตรการกระตุ้นและปฏิรูปจากทางการ หลังจีนออกแนวทางใหม่สนับสนุนการบริโภคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ และ 3) AH premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก EPS กลุ่ม Tech ที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง และจากแผน AI capex ของ Hyperscalers ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามอุปสงค์การประมวลผล AI ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ ล่าสุด Nvidia เตรียมลงทุนสูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. ใน OpenAI เพื่อยกระดับความร่วมมือด้าน AI ระดับโลก

 

ดัชนีหุ้น S&P 500

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1. กระแส AI ที่ยังดำเนินต่อ 2. Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย 3. ผลดีจากมาตรการกระตุ้นการคลังภายใต้ One Big Beautiful Bill Act และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4. EPS ที่มีแนวโน้มเติบโตเป็นวงกว้างขึ้น สอดรับกับ GDP ใน 2Q2568 ที่สูงกว่ารอบก่อนหน้า และตลาดคาด

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก EPS กลุ่มฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้ AI ที่ยังเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เห็นได้จากล่าสุดที่ OpenAI เตรียมลงทุนราว 4 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อพัฒนา Data center ใหม่ 5 แห่งในสหรัฐฯ ร่วมกับ Oracle และ SoftBank

 

ภาพ: mbbirdy/Getty Images, Roman Kybus/Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 30 ก.ย. 2025




Latest Stories