THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
fed-rate-cut-analysis
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดปีนี้ Fed ลดดอกเบี้ยรวม 3 ครั้ง สู่ 3.63% เหตุให้น้ำหนัก ‘แรงงานชะลอ’ มากกว่าเงินเฟ้อ

... • 22 ก.ย. 2025

HIGHLIGHTS

  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปรับประมาณการเงินเฟ้อให้วิ่งเข้าสู่ 3.3% ในปลายปีนี้ จาก 3.6% ในช่วงก่อน ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี ที่ 3.63% ยังสูงกว่าเงินเฟ้อที่ 3.3% 
  • ขณะที่ในปี 2026 เชื่อว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ไปสู่ 3.38% 
  • ส่วนเงินเฟ้อ คาดว่าจะเร่งขึ้นสู่ 3.7% ทำให้นโยบายการเงินอยู่ในโหมด Accommodative stance และคาดว่าผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะต่ำในปี 2025 ก่อนเร่งตัวขึ้นในปี 2026
  • พร้อมคาดการณ์ค่าเงินบาทปี 2025 สู่ 32.4 บาท/ดอลลาร์

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกยังคงปรับขึ้นได้ต่อ โดย S&P500 ยังเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ แม้จะการชะลอการขึ้นบ้างระหว่างสัปดาห์ระหว่างรอผลการประชุม Fed ซึ่งมีมติลดดอกเบี้ย 25 bps ตามตลาดคาดโดยมีกรรมการเพียง 1 ท่านคือ Stephen Miran (ผู้ที่ทรัมป์เพิ่งแต่งตั้ง) ลงมติให้ลดดอกเบี้ย 0.5% 

 

ทั้งนี้ Fed ปรับประมาณการเศรษฐกิจโดยเพิ่ม GDP ปี 2025 เป็น 1.6% จาก 1.4% และปี 2026 เป็น 1.8% จาก 1.6% 

 

ขณะที่อัตราว่างงานคาดว่าจะอยู่ที่ 4.5% ในปี 2025 และเงินเฟ้อ Core PCE คาดว่าจะอยู่ที่ 3.1% ในปี 2025 และ 2.6% ในปี 2026 

 

ด้าน Dot Plot ปี 2025 ส่วนมากมองว่า ควรลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 1 ครั้งใน Dot Plot ครั้งก่อน ขณะที่มองการลดดอกเบี้ยปีละ 1 ครั้ง ในช่วง 2026-2027 ซึ่งอาจจะน้อยกว่าที่ตลาดคาดหวังทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินดอลลาร์ปรับเพิ่มขึ้นหลังการประชุม 

 

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ ได้แก่ยอดค้าปลีกออกมาดูยังค่อนข้างเป็นบวกเพิ่มขึ้นและสูงกว่าคาด บ่งชี้การบริโภคภาคเอกชนยังแข็งแรง หนุนภาวะ Goldilocks และการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 1.5% จากการลงทุน AI ในจีนของบริษัทใหญ่และ Nvidia ลงทุน US$5b ใน Intel หุ้นขนาดเล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% จากประโยชน์ที่คาดจะได้จากดอกเบี้ยที่ลดลง 

 

ด้านตลาดหุ้น EM ปรับขึ้นในทิศทางเดียวกัน โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าและกระแสการลงทุนใน AI ของจีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคบริการของจีน 

 

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเหนือ 1,300 ได้สำเร็จ ก่อนจะถูกขายทำกำไร หลังเงินบาทกลับมาอ่อนค่า ผสานความเห็นของว่าที่รมว.คลังที่ระบุเตรียมมาตรการรองรับเงินบาทแข็งไว้แล้ว 

 

ทั้งนี้ ตลาดยังรอการแถลงนโยบายอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะในกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ ราคาน้ำมันปรับขึ้นจากความกังวลด้านอุปทานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

 

เพิ่มคาดการณ์ Fed ลดดอกเบี้ยเป็น 3 ครั้งในปีนี้

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปรับการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed จากที่คาดว่าจะลด 2 ครั้งในปีนี้ สู่ 4.1% เป็นลด 3 ครั้งในปีนี้ (ซึ่งลดไปแล้ว 1 ครั้งในการประชุมครั้งนี้) สู่ 3.63% (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.50-3.75%) เหตุผลในการปรับลดการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed ได้แก่ 

  1. เรามองว่า Fed ยอมโอนอ่อนผ่อนตามทรัมป์มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ Stephen Miran เข้ามารับตำแหน่ง 
  2. Fed ปรับน้ำหนักความสำคัญของตลาดแรงงานที่ชะลอลงมากขึ้น และลดความสำคัญของเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นลง 
  3. Fed น่าจะต้องการเร่งการปรับลดดอกเบี้ยให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองต่อตลาดแรงงานที่อ่อนกำลังลง ขณะที่เงินเฟ้อยังไม่เป็นความเสี่ยงมากนัก 

 

ทั้งนี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปรับประมาณการเงินเฟ้อให้วิ่งเข้าสู่ 3.3% ในปลายปีนี้ จาก 3.6% ในช่วงก่อน ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี ที่ 3.63% ยังสูงกว่าเงินเฟ้อที่ 3.3% 

 

ขณะที่ในปี 2026 เราเชื่อว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ไปสู่ 3.38% ขณะที่เงินเฟ้อเร่งขึ้นสู่ 3.7% ทำให้นโยบายการเงินอยู่ในโหมด Accommodative stance และคาดว่าผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะต่ำในปี 2025 ก่อนเร่งตัวขึ้นในปี 2026 และปรับค่าเงินบาทปี 2025 สู่ 32.4 บาท/ดอลลาร์ 

 

ด้านเศรษฐกิจจีน แม้กำลังเผชิญภาวะชะลอตัว โดยอาจขยายตัวเพียง 4.4% ในปี 2025 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 5% แต่ทางการจีนยังคงมีมาตรการสนับสนุนต่อเนื่องทั้ง Trade in program และมาตรการอุดหนุนสินเชื่อ รวมถึงมาตรการ 19 ประการ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลภาคบริการ โดยสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การค้า ขนส่ง การเงิน การศึกษา และการอบรมวิชาชีพให้เป็นดิจิทัล เพื่อความโปร่งใส รวดเร็ว ทันสมัย และตรวจสอบได้มากขึ้น ซึ่งจะขยายขนาดภาคบริการจากปัจจุบันที่ 55% ต่อ GDP สู่ 75% ดังเช่นประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงเป็นกลจักรสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจดิจิทัลสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

  1. หุ้น Earnings Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2H68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ HoH ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCPG GULF SCC
  2. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div.Yield เกิน 2% แนะนำ PTT TTB 
  3. Trading Idea : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 
  1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากสถานการณ์น้ำท่วมในไทย แนะนำ TASCO BJC HMPRO GLOBAL เนื่องจากสถิติระหว่างปี 2558-2567 (ยกเว้นปี 2563 ที่เกิดวิกฤตโควิด-19) พบว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นได้ดีเมื่อซื้อลงทุนช่วงกลาง ก.ย. และไปขายต้น พ.ย. โดยคาดหวังได้ผลตอบแทนสูงสุดเฉลี่ยราว 2.6%

และ 2. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภค ท่องเที่ยวและการลงทุน แนะนำ กลุ่มค้าปลีก (CPALL GLOBAL TNP) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG OSP HTC ICHI) กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL) กลุ่มนิคม (AMATA WHA) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC)

 

“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสพักฐานหรือแกว่งตัวในกรอบแคบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยปัจจัยในประเทศยังอยู่ระหว่างรอติดตามความคืบหน้าจัดตั้งรัฐบาลและแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งจะมีผลต่อการเรียกความเชื่อมั่นการลงทุนให้ฟื้นตัวและการทยอยไหลเข้าของ Fund Flow ในระยะถัดไป ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ อาทิ PMI และ PCE ซึ่งหากตัวเลขออกมาแย่กว่าตลาดคาด จะมีผลต่อการพิจารณาตัดสินใจเร่งลดดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ในระยะถัดไป อย่างไรก็ดีมอง SET เริ่มมี Upside จำกัดหลังดัชนีปรับขึ้น 19% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ด้าน Downside ยังจำกัดเช่นกัน หลังเริ่มเห็น Fund Flow ชะลอการขาย โดยประเมิน SET มีแนวต้านบริเวณ 1,320 และมีแนวรับ 1,280” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

  1. ตัวเลข PMI ก.ย. (เบื้องต้น) ในวันที่ 23 ก.ย. 
  2. GDP 2Q25 สหรัฐฯ (ประมาณการครั้งสุดท้าย) 
  3. Personal Income, PCE Price Index ส.ค. สหรัฐฯ ในวันที่ 26 ก.ย. 
  4. กำไรภาคอุตสาหกรรมจีน ส.ค. ในวันที่ 27 ก.ย.

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: PTT - มีโมเดลธุรกิจที่สมดุล ปันผลน่าสนใจ

 

แนะนำ บมจ. ปตท. หรือ PTT เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

  • เป็นผู้นำธุรกิจด้านพลังงานและปิโตรเคมีครบวงจรของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากคาดเห็นศักยภาพการเติบโตต่อเนื่อง จากแผนขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของโลก
  • 3Q25 คาดกำไรจะเติบโต YoY และ QoQ โดยได้แรงหนุนจากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของธุรกิจ P&R ขณะที่ปี 2025 คาดกำไรปกติจะแตะระดับ 9.66 หมื่นลบ. พลิกเติบโต 18.2%YoY โดยมองโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรของ PTT จะช่วยปกป้องกำไรจากความผันผวนของราคาน้ำมันได้อย่างต่อเนื่อง 
  • Valuation น่าสนใจ โดยปัจจุบัน PTT ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.8 เท่า (-1.5SD ของ PBV เฉลี่ย 5 ปี) ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีแผนงานด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน อีกทั้งคาดให้อัตราผลตอบแทนจากปันผลที่ดีในระดับราว 6.3% ในระยะ 3 ปีนี้
  • เราประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 39 บาท อ้างอิงวิธี sum-of-parts และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 2.10 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 6.3% 

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

นโยบายของจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้นจากการตรวจสอบและจำกัดการซื้อชิปจากบริษัทสหรัฐฯ อย่าง Nvidia และ TXN ขณะเดียวกันก็เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ เช่น SMIC และ Hua Hong เพื่อสร้างระบบนิเวศ AI ที่ครบวงจร ซึ่งภาพนี้ทำให้กลุ่ม AI จีนน่าสนใจขึ้น โดยเราแนะกลยุทธ์ barbell strategy คือถือหุ้นพื้นฐานแข็งแรง (Hua Hong, Tencent, Alibaba) และเสริมด้วยหุ้นเสี่ยง - ผลตอบแทนสูง (SMIC, Baidu) 

 

จีนมุ่งตรวจสอบอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯอย่างเข้มงวดขึ้น โดยเปิดการสอบสวนอย่างเป็นทางการ 2 เรื่อง และควบคุมการซื้อชิป

  1. ตรวจสอบการทุ่มตลาด (Anti-Dumping) ‘ชิปอะนาล็อก’ ของบริษัทสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments และ Analog Devices 
  2. ตรวจสอบการต่อต้านการผูกขาด (Anti-Monopoly) โดยอ้างว่า Nvidia ได้ละเมิดกฎดีลเข้าซื้อ Mellanox Technologies 
  3. นอกจากนี้จีนสั่งให้บริษัทเทคฯชั้นนำ เช่น ByteDance และ Alibaba หยุดซื้อชิป AI ของ Nvidia โดยเฉพาะรุ่น RTX Pro 6000D

 

เรามองว่าประเด็นนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯและเน้นสนับสนุนอุตฯเซมิฯในประเทศ โดยล่าสุดภาพรวมจีนกำลังเร่งสร้าง Ecosystem ด้าน AI และเซมิฯ 

 

  1. SMIC เริ่มทดสอบเครื่องจักรลิโทกราฟี DUV แบบ immersion เพื่อลดการพึ่งพา ASML และหากสำเร็จจะถือเป็นบริษัทแรกในจีนที่สามารถผลิตอุปกรณ์เซมิฯขั้นสูงได้
  2. Hua Hong ถูกปรับประมาณการขึ้น จาก 1. อุปสงค์ชิป AI/Edge AI 2. utilization rate ใกล้เต็ม และ 3. แผนขยายกำลังผลิตสู่ 28nm ในปี 2027 หนุนให้ได้รับการปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” พร้อมคาดกำไรโตเฉลี่ยกว่า 60% ต่อปีใน 5 ปีข้างหน้า
  3. กลุ่มอินเทอร์เน็ตจีนมีพัฒนาการเชิงบวก โดย 1. Tencent เปิดตัวโมเดล AI Hunyuan กว่า 30 และขยาย Tencent Cloud ไปต่างประเทศ 2. Alibaba เน้นลงทุน AI chip T-Head โดยได้ China Unicom เป็นลูกค้าใหญ่ 3. Baidu ถูกปรับคำแนะนำขึ้นหลัง Kunlun AI chip เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์และมีออร์เดอร์ใหญ่จาก China Mobile 

 

ภาพรวมเรามองว่า 1. เซมิฯสหรัฐฯ มีแรงกดดันจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และกฎระเบียบที่ไม่แน่นอนซึ่งจำกัด Upside ของหุ้นในระยะสั้น โดยเฉพาะ NVDA ซึ่งหากว่าตัดประเด็นนี้ออก เราเชื่อว่า NVDA มีปัจจัยพื้นฐานที่แกร่งและแนวโน้มโตดี ทำให้เรายังแนะลงทุนในช่วงที่หุ้นย่อตัว 2. กลุ่มเซมิฯ จีนมีพัฒนาการเชิงบวกจากการสร้าง AI value chain ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ (เครื่องจักร-foundry) จนปลายน้ำ (Cloud-แพลตฟอร์ม AI) โดยเราแนะใช้กลยุทธ์ barbell strategy คือถือหุ้นพื้นฐานแข็งแรง (Hua Hong, Tencent, Alibaba) และเสริมด้วยหุ้นเสี่ยง - ผลตอบแทนสูง (SMIC, Baidu)

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้อานิสงส์จากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังอยู่ โดยล่าสุด กลุ่มฮูตีในเยเมนได้ยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงพิสัยไกลและส่งโดรน 3 ลำเข้าโจมตี 3 เมืองในอิสราเอล

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจำกัด ท่ามกลางตลาดแรงงานที่อ่อนแอ และแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของ Fed ด้านตราสารหนี้ไทย Bond Yield ที่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจาก แรงขายทำกำไรระยะสั้น ทำให้ Valuation เริ่มกลับมาน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้ง โดยเรามองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้

 

U.S. Treasury & IG

 

แนะนำพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ IG ระยะสั้น สหรัฐฯ รับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของ Fed อีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้ หุ้นกู้ IG ยังมีปัจจัยพื้นฐานดี แม้แนวโน้มการแทรกแซงความเป็นอิสระของ Fed และความเสี่ยงการคลังสหรัฐฯ อาจหนุนให้ US term premium เพิ่มขึ้น ก็ตาม

 

High Yield Bond

 

ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น จนกดดัน HY Bond เพิ่มสูงขึ้น ตามความเสี่ยงตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ แม้ว่า UST yield มีโอกาสลดลงต่อ ตามแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Asia REITs

 

จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ และประเทศในกลุ่มเอเชีย ทำให้สินทรัพย์ประเภท REIT มีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจาก Dividend Yield Spread ปรับสูงขึ้น โดยเราแนะนำลงทุนใน Singapore REITs ที่มีอัตราปันผลที่น่าสนใจอยู่ที่ 6% ต่อปี และ REITs ไทยที่มีอัตราปันผลเฉลี่ยสูงถึง 8.9% สูงกว่าภูมิภาคอื่น

 

Global Infrastructure

 

การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี Correlation กับสินทรัพย์หลักอื่นๆ ค่อนข้างต่ำในอดีต ทำให้สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจาก เป็นสัญญาระยะยาว และมีโครงสร้างรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

Private Asset ช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และสร้างผลตอบแทนระยะยาว โดยเรามองบวกต่อ Private Equity ตามการลดลงของดอกเบี้ย รวมทั้ง การเพิ่มขึ้นของ M&A และ IPO ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทน ด้าน Private credit เน้นที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จากกระแส AI ที่คืบหน้าขึ้น และความสามารถในการทำกำไรที่ยังโดดเด่น / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หนุนจากการเร่งลงทุนของภาครัฐ และมาตรการลดภาษี / หุ้นญี่ปุ่น ได้แรงหนุนจากการปฏิรูปธรรมาภิบาล และแนวโน้มการผ่อนคลายการคลังที่มากขึ้น

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

แม้ว่า Valuation ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังตึงตัว แต่ตลาดฯ ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 1) กระแส AI สหรัฐฯ ที่ยังดำเนินต่อ 2) Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย 3) ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4) EPS ที่มีแนวโน้มเติบโตดี และเป็นวงกว้างขึ้น

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยของ Fed และการปรับประมาณการ GDP เพิ่มขึ้นของ ECB จาก 0.9% เป็น 1.2% ในปีนี้ แต่คาดว่ายังผันผวนในระยะสั้นจากการประท้วงในฝรั่งเศส เนื่องจากมาตรการลดงบประมาณการคลัง อย่างไรก็ดี เรายังคงมุมมองบวกระยะยาวต่อเศรษฐกิจยุโรปจากการเร่งใช้จ่ายภาครัฐ

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น ได้แรงหนุนจาก 1) ความไม่แน่นอนการค้ากับสหรัฐฯ ที่ลดลง 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่น และ 3) ความคาดหวังการผ่อนคลายการคลังมากขึ้น หลังการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP แม้ว่า ประเด็นที่ BoJ ประกาศจะทยอยขาย ETF จากงบดุล อาจสร้างความผันผวนระยะสั้นก็ตาม

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

หุ้นตลาดเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการเข้าสู่วัฏจักรลดดอกเบี้ยของ Fed เปิดโอกาสในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากธนาคารกลางในเอเชีย ทั้งนี้ เรามองตลาดยังได้แรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่ยังอ่อนค่า เศรษฐกิจเติบโตได้ดี และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง

 

หุ้นอินเดีย

 

เรามีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว จากการทยอยลดดอกเบี้ยของ RBI และจากการลดภาษีสินค้าและบริการ (GST) ที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีอยู่ แม้อินเดียกลับมาเปิดเจรจากับสหรัฐฯ และทั้งสองฝ่ายกำลังพยายามหาข้อตกลงร่วมกัน

 

หุ้นไทย

 

ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มลดลงระยะสั้น จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติเนื่องจาก FTSE Rebalance ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดในระยะถัดไป ขึ้นอยู่กับผลบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลใหม่ เช่น มาตรการคนละครึ่ง รวมถึงการปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรของ บจ.

 

หุ้นจีน All-Share

 

ดัชนีหุ้นจีนได้แรงหนุนจากความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปฏิรูปเพิ่มเติมจากทางการจีน ในการประชุม 4th plenum ช่วงเดือน ต.ค. และจากความหวังความคืบหน้ากระแส AI ในจีน หลังทางการจีนตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตชิป AI ภายในประเทศ ให้ได้ 3 เท่าภายในปี 2569

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น จากแรงขายทำกำไรหลัง Fed ประกาศลดดอกเบี้ย แต่ยังส่งสัญญาณระมัดระวังในการเร่งปรับลดดอกเบี้ย เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ทั้งนี้ เรายังคงมุมมองบวกต่อราคาทองคำระยะยาว หนุนโดยแรงซื้อจากธนาคารกลางโดยเฉพาะจีน และแรงซื้อจากกองทุนทองคำ ETF

 

หุ้นจีน A-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้รับอานิสงส์จาก 1) แรงซื้อนักลงทุนภายในประเทศทั้งสถาบันและภาคครัวเรือน 2) ความหวังมาตรการกระตุ้นและปฏิรูปจากทางการ โดยล่าสุด จีนออกแผน 19 มาตรการ เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ ผ่านการบริโภคภาคบริการ และ 3) AH premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก EPS กลุ่ม Tech ที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง และจากแผน AI capex ของ Hyperscalers ต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามอุปสงค์การประมวลผล AI ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ ล่าสุด Nvidia ประกาศลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ใน Intel เพื่อเสริมศักยภาพแข่งขัน AI ของสหรัฐฯ

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก EPS กลุ่มฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้ AI ที่กระจายไปสู่หลายภาคส่วน ด้านฝั่งจีนได้แรงหนุนจากความคืบหน้ากระแส AI ของจีน ทั้งการเปิดตัวโมเดลใหม่ การลงทุนใน Data Center และการพัฒนาชิปในประเทศ

 

ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้

 

เราแนะนำ ขายทำกำไรระยะสั้น บนดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ (MSCI Korea) เนื่องจาก Valuation ปรับเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างเร็ว โดย 12M Forward P/E อยู่สูงสุดในรอบกว่า 1 ปี ขณะที่แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอตัวหลังดัชนีปรับเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงบนความไม่แน่นอนการเจรจาภาษีนำเข้ารถยนต์กับสหรัฐฯ

 

ภาพ: John M Lund Photography Inc / Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 22 ก.ย. 2025




Latest Stories