- สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดอยู่ในช่วงปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมเดือน ธ.ค. ที่ล่าสุดมองโอกาสคงดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 50%
- ขณะที่บันทึกการประชุม FOMC ที่สะท้อนความไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกรรมการ ‘หลายคน’ ต้องการคงดอกเบี้ยทั้งปี 2025 ส่วน Powell ส่งสัญญาณว่าการลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ‘ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน’
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า ข้อมูลตลาดแรงงานและเงินเฟ้อที่จะถูกเปิดเผยในช่วงก่อนถึงก่อนการประชุมวันที่ 10 ธ.ค. จะเป็นตัวชี้ขาดที่ทำให้ Fed ตัดสินใจลดดอกเบี้ย
- โดยประเมินว่า สภาพตลาดแรงงานที่ชะลอต่อเนื่อง และเงินเฟ้อที่ยังไม่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ จะทำให้ Fed ยังน่าจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ แต่ความเห็นของคณะกรรมการที่แตกต่างจะมีมากขึ้น
- https://drive.google.com/file/d/1RYERfJVlJf8Hpv1-sMppUrKC4xK4z7pa/view?usp=drive_link
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลง นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐที่แรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงต่อเนื่อง แม้ตัวแทนหุ้น AI อย่าง Nvidia จะประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด และให้มุมมองไปข้างหน้าที่ดีกว่าคาดเช่นกัน แต่แรงขายทำกำไรหุ้นเทคฯ AI ที่ปรับขึ้นมาโดดเด่น YTD ทำให้ valuation อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนกลุ่มออกจากหุ้นเติบโต ไปยังหุ้นปลอดภัยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น ตลาดอยู่ในช่วงปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมเดือน ธ.ค. ที่ล่าสุดมองโอกาสคงดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 50% หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ย.ที่ออกล่าช้าจากการปิดหน่วยงานราชการของสหรัฐในช่วงก่อน
ขณะที่บันทึกการประชุม FOMC ที่สะท้อนความไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกรรมการ ‘หลายคน’ ต้องการคงดอกเบี้ยทั้งปี 2025 ด้านคุณ Powell ส่งสัญญาณว่าการลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ‘ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน’ เป็นอีกปัจจัยกดดันตลาดหุ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Growth ที่มี valuation ตึงตัว ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับลดลง 4.7% จากแรงขายทำกำไรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์
ด้านตลาดหุ้น EM ปรับลดลงเช่นกันโดยเฉพาะในกลุ่มเอเชียเหนือ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่มีสัดส่วนหุ้นเทคฯ สูง นอกจากนั้น ยังมีแรงกดดันจากความขัดแย้งระหว่างจีน และญี่ปุ่น จากประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน โดยจีนกล่าวหาญี่ปุ่นว่าละเมิดข้อตกลงปี 1972 ที่ว่าด้วยเรื่องไต้หวันและออกคำเตือนการเดินทางไปยังญี่ปุ่นและระงับการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น
ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงในทิศทางเดียวกับภูมิภาค และไม่มีปัจจัยบวกใหม่ในประเทศ หลังจบช่วงประกาศผลประกอบการ 3Q25 นายกฯ อนุทินระบุอาจยุบสภาเร็วกว่าแผนหากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ราคาน้ำมันปรับขึ้นเล็กน้อย จากการคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรัสเซียในช่วงต้น ก่อนจะอ่อนตัวช่วงท้ายสัปดาห์ หลังข่าวการเจรจายุติสงครามกลับมาอีกครั้ง
คาดตลาดแรงงาน-เงินเฟ้อ กดดัน Fed ลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.
แม้ถ้อยแถลงใน Fed Minutes จะสะท้อนความไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกรรมการ ‘หลายคน’ ต้องการคงดอกเบี้ยทั้งปี 2025 และประธาน Powell ย้ำชัดว่าการลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ‘ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน’ แต่ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า ข้อมูลตลาดแรงงานและเงินเฟ้อที่จะถูกเปิดเผยในช่วงก่อนถึงก่อนการประชุมวันที่ 10 ธ.ค. จะเป็นตัวชี้ขาดที่ทำให้ Fed ตัดสินใจลดดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ใน Dot Plot เดือน ก.ย.
โดยล่าสุดรายงานการจ้างงานสหรัฐเดือน ก.ย. ส่งสัญญาณผสมที่ทำให้ Fed เผชิญความท้าทายในการตัดสินใจดอกเบี้ย โดยการจ้างงานเพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง (เหนือคาดและสูงสุดนับตั้งแต่ เม.ย.) โดยเพิ่มในภาคบริการแต่หดตัวในภาคการผลิต ส่วนอัตราว่างงานที่พุ่งเป็น 4.4% (สูงสุดในรอบ 4 ปี) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องที่เพิ่มเป็น 1.97 ล้านราย (สูงสุดนับตั้งแต่ 2021) เหล่านี้สะท้อนสภาพแวดล้อมการจ้างงานที่ยากลำบาก
ทั้งนี้ เราเชื่อว่าสภาพตลาดแรงงานที่ชะลอต่อเนื่องจากการปลดคนงานในบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Amazon และ Target มากขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อยังไม่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญจะทำให้ Fed ยังน่าจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ แต่ความเห็นของคณะกรรมการที่แตกต่างจะมีมากขึ้น
ทั้งนี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2025 และ 2026 ไว้ที่ 1.8% และ 1.4% ตามลำดับ ต่ำกว่าสภาพัฒน์ที่ 2.0% และ 1.7% โดยมีความกังวลต่อ 4 ปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่
1. การส่งออกที่จะชะลอลงมากขึ้น โดยเฉพาะ Electronics cycle และความเสี่ยงจาก Transshipment ที่อาจถูกเก็บภาษีถึง 40%
2. ความผันผวนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ทั้งจาก ความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐ (เช่น เงินเฟ้อ การจ้างงาน และฟองสบู่ AI)
3. การบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ชะลอต่อเนื่อง จากรายได้เกษตรกรที่ลดลง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และหนี้สาธารณะที่สูง
4. ความเสี่ยงจากสินค้าคงคลังที่หดตัวต่อเนื่องกว่า 3 ไตรมาส ซึ่งอาจทำให้ภาคการผลิตต้องหดตัวมากขึ้นเพื่อระบายสต๊อก
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
1. หุ้น Defensive ซึ่งผลการดำเนินงานสามารถต้านทานความผันผวนภายนอก โดยเราคาด 4Q68 กำไรยังเติบโตดี YoY และแนะนำ Outperform จากแนวโน้มธุรกิจดี แนะนำ ADVANC BDMS GULF BEM BGRIM PTT
2. หุ้นปันผลคุณภาพดี โดยคาดจะมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2568 หลังหักเงินปันผลจ่ายระหว่างกาลแล้ว ซึ่งให้ Div. Yield เกิน 5% และเราแนะนำ Outperform ได้แก่ BAM WHA KTB AP SIRI TOP BLA
3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และมีต้นทุนการดำเนินการลดลง แนะนำ AP MTC รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากคลังเตรียมเสนอ ครม. เศรษฐกิจพิจารณามาตรการส่งเสริมการลงทุนเร่งด่วน (BOI Fast Pass) ซึ่งจะช่วยปลดล็อกเม็ดเงินลงทุน 3 แสนลบ. แนะนำ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA AMATA) 2) หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐ แนะนำ กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW) จากมาตรการเที่ยวดีมีคืน, กลุ่มไฟแนนซ์ (BAM MTC) จากมาตรการพักหนี้และให้สินเชื่อรายย่อย และ 3) หุ้นที่คาดนำเข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบ 1H69 ซึ่งจะมีการประกาศในช่วงกลางเดือน ธ.ค. นี้ แนะนำ SAWAD ITC
“ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1240-1300 จุด หลังตลาดยังขาดปัจจัยชี้นำใหม่ โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความคืบหน้าการเจรจาภาษีไทย-สหรัฐ, ดุลการค้า ต.ค., ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ต.ค. และ ครม. เศรษฐกิจพิจารณามาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องผู้ประกอบการ SMEs และมาตรการส่งเสริมการลงทุนเร่งด่วน (BOI Fast Pass) ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ อาทิ ดัชนี PCE และ PPI ก.ย., GDP 3Q68 (รายงานครั้งที่ 2)” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
1. ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ อาทิ GDP 3Q25, ดัชนี PCE และ PPI ก.ย.
2. ท่าทีของจีนที่จะมีต่อญี่ปุ่นเนื่องมาจากประเด็นไต้หวัน และสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศที่เร่งตัวขึ้น
3. สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง และ ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: BH - ผลการดำเนินงานมีสัญญาณเติบโตดีขึ้น
แนะนำ บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หรือ BH เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจ รพ. เอกชนของไทย โดยปัจจุบันมี รพ. แห่งเดียวตั้งอยู่ใน กทม. คือ รพ. บํารุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งให้บริการดูแลสุขภาพที่ได้มาตรฐานระดับโลกและให้บริการดูแลสุขภาพแก่ชาวต่างชาติ โดยให้บริการผู้ป่วยกว่า 1.1 ล้านคนจากกว่า 190 ประเทศต่อปี คิดเป็น 66% ของรายได้ในปี 2024
- 4Q25 คาดกำไรปกติจะเพิ่มขึ้น YoY แรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่เมื่อมองต่อไปในปี 2026 คาดกำไรปกติจะเติบโต 4%YoY โดยการเติบโตของกำไรจะเกิดขึ้นใน 1H26 ก่อนที่จะอ่อนตัวลงใน 2H26 จากเริ่มรับรู้ต้นทุนเปิด รพ. แห่งใหม่ในภูเก็ตที่มีกำหนดเปิดในปี 2027
- มองมีโอกาสเก็งกำไรในระยะสั้น จากสัญญาณเชิงบวกของรายได้และกำไรที่กลับมาเติบโต YoY ขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยซื้อขายที่ PER 2026F ที่ 18 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ -2SD ของ PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี
- เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 214 บาท ด้วยวิธี DCF และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 4.84 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 2.7%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
งบ NVDA โตแกร่งและดีกว่าคาด อีกทั้งแนวโน้มดี ซึ่งสะท้อนได้ว่าการลงทุน AI เห็นผลและเป็นกำไรที่โตแกร่ง สวนทางช่วงฟองสบู่ Dot-com ทั้งนี้หากเทียบกัน มูลค่าการเทรดปัจจุบันต่ำกว่าและสัญญาณเศรษฐกิจยังไม่รุนแรงเท่าในอดีต ทำให้เชื่อได้ว่าปัจจุบันตลาดไม่ได้เลวร้ายแบบในอดีต เพียงแต่ตอบสนองต่อความไม่ชัดเจนของหลายปัจจัยและมีการทำกำไรในกลุ่มเทคฯหลังปรับเพิ่มดีในช่วงที่ผ่านมา ระยะสั้นแนะหุ้นปลอดภัยและมองเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อหุ้นคุณภาพราคาถูก
Nvidia เผยงบ 3Q26 โตดีกว่าคาดราว 60% ทั้งรายได้และกำไรหนุนจาก Data Center และชิป AI ที่โตแกร่ง ขณะที่ให้แนวโน้มดีสะท้อนผ่านคาดการณ์รายได้กว่า $500bn ในช่วงไตรมาสถัดไปจนถึงปี 2027และสัญญาณบวกจาก CEO
ขณะที่ภาพงบ NVDA สะท้อนให้เห็นได้ว่าการลงทุน AI ให้ผลตอบแทนที่เห็นผลและเป็นกำไรที่เติบโตจริง ซึ่งเป็นภาพที่สวนทางกับช่วง ฟองสบู่ Dot-com โดยสิ่งที่เราเห็นสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างกับช่วงก่อนเพิ่มเติมคือ
- มูลค่าต่ำกว่าโดย Fwd P/E (30.6) และ EV/Sales (7.5) ของ Mag 7 ต่ำกว่า ยุค Dot-com (P/E 43, EV/Sales 11)
- Mag 7 มีคาดการณ์การเติบโตของรายได้ที่สูงกว่ามาก (48%-66% เทียบกับ 16% ช่วง Dot-com) ทำให้มูลค่าที่จ่ายสมเหตุสมผลกว่า
- Mag 7 ลงทุนหนักมาก (Capex/CFO 60%) ในขณะที่ยุค Dot-com มีอัตราส่วน Capex/CFO อยู่ที่ 26%
- ไม่มีสัญญาณมหภาคที่เตือนรุนแรง โดยตัวชี้วัดสำคัญของภาวะฟองสบู่ในอดีต เช่น หนี้ภาคเอกชนที่สูงขึ้น (Leverage) หรืออัตรากำไรที่ลดลง (Profitability Peak) ยังไม่ปรากฏชัดเจน ในปัจจุบัน
ด้วยภาพนี้ทำให้เราเชื่อว่าตลาดไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบในอดีต โดยตลาดในปัจจุบันมีแรงกดดันจากความไม่ชัดเจนของหลายปัจจัย เช่น ทิศทางดอกเบี้ยของ Fed, Geopolitical Risk เช่น ความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ปุ่น รวมถึงการขายทำกำไรหรือ Sector rotation หลังจากกลุ่มเทคฯปรับตัวขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งภาพนี้อาจทำให้ตลาดผันผวนและปรับฐานได้ในระยะสั้น แต่เราเชื่อว่าจะไม่รุนแรงแบบในอดีต
ในระยะสั้น เราจึงแนะ 1) แนะมองหุ้นกลุ่มปลอดภัยที่มีความผันผวนกับตลาดน้อย เช่น PFE WMT 2) ในขณะเดียวกัน มองหุ้นย่อตัวลงเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นกลุ่มปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง, สถานะทางการเงินดี และแนวโน้มเติบโต เช่น NVDA GOOGL AMZN MSFT
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ยังให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้แรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ แม้ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐฯ ผลักดันให้ยูเครนยอมรับข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย ก็ตาม ในขณะที่ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง อาจทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงไปด้วย
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลัง Fed minutes ชี้กรรมการหลายคน ค้านลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค. ด้าน Bond Yield ไทย ยังทรงตัวอยู่ระดับสูง จากการที่ตลาดมองว่ามีโอกาสที่ กนง. จะเลื่อนการลดดอกเบี้ยในปีนี้ ทั้งนี้ เรายังมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ.ค. จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อยังติดลบ
U.S. Treasury & IG
แนะนำ UST และหุ้นกู้ US IG ระยะสั้น จากแนวโน้มการผ่อนคลายการเงินของ Fed แม้ล่าสุด นักลงทุนให้น้ำหนักไม่ถึง 40% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงตราสารตัวยาว จาก term premium ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามความกังวลหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่สูง
High Yield Bond
ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น ยังมีอยู่ จากตลาดแรงงาน เดือน ต.ค.-พ.ย. และ GDP ใน 4Q2568 ที่มีแนวโน้มแย่ลง รับผลจากการปิดหน่วยงานรัฐที่ผ่านมา แม้ UST yield โดยเฉพาะตัวสั้นถึงกลาง มีแนวโน้มเป็นขาลง ตามการผ่อนคลายการเงินของ Fed ก็ตาม
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
Asia REITs
ระยะสั้น Bond Yield ในเอเชีย อาจปรับเพิ่มขึ้นตาม UST Yield แต่เราคาดว่า ทิศทางดอกเบี้ยกลุ่มเอเชียยังมีแนวโน้มเป็นขาลง ส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการและการเติบโตของอัตราเงินปันผลต่อหน่วย ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุนใน Singapore REITs ที่มีอัตราปันผลอยู่ที่ 6% และ REITs ไทยที่มีอัตราปันผลสูงถึง 8%
Global Infrastructure
การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกในการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต เนื่องจาก มีกระแสรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาระยะยาว รวมถึงมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นโลกอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนหาก Bond Yield ลดลง ตามการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค.
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น
Private Asset เป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด Public เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่ต่ำกว่า โดยเรามีมุมมองบวกต่อ Private Equity จากทิศทางการฟื้นตัวของ M&A และ IPO ต่อเนื่องไปปีหน้า รวมถึงได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของงบดุลภาคเอกชน นโยบายลดภาษีและดอกเบี้ยขาลงในสหรัฐฯ
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จากความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่น ท่ามกลางกระแส AI ที่ดำเนินต่อ / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจาก Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสหรัฐฯ และการเร่งใช้จ่ายการคลังของยุโรปในปีหน้า/ หุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และการอ่อนค่าของค่าเงินเยนต่อเนื่อง
หุ้นสหรัฐฯ
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจาก 1) Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายการเงิน 2) แรงกระตุ้นการคลังภายใต้ OBBBA 3) EPS ที่เติบโตยังโดดเด่น โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI และ 4) ข้อพิพาทการค้าที่ลดลง โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุเป็นการภายในว่า ภาษีชิปอาจยังไม่ถูกบังคับใช้ในเร็วๆ นี้
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญความผันผวนระยะสั้น จากความไม่แน่นอนด้านทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทั้งนี้ หากสหรัฐฯ สามารถผลักดันการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน จะเป็นปัจจัยบวกจากการลดลงของต้นทุนพลังงานและกำไรของ บจ. ยุโรปในระยะยาว ทั้งนี้ เราคงมุมมองบวกต่อตลาดยุโรป จากกำไรที่เร่งตัวขึ้นในปีหน้า หนุนโดยการใช้จ่ายภาครัฐ
หุ้นญี่ปุ่น
ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นอาจผันผวนระยะสั้น จากความตึงเครียดกับจีน และ JGB Yield ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ระยะยาวยังได้แรงหนุนจาก 1) รัฐบาลใช้มาตรการทางการคลังแบบขยายตัว 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาลที่ช่วยหนุน ROE และ P/BV 3) ความหวังกระแส AI ในญี่ปุ่น 4) การอ่อนค่าของค่าเงินเยน และ 5) การปรับประมาณการการเติบโตกำไรของบจ.
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชีย มีแนวโน้มปรับลดลงระยะสั้น กดดันจากค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่แข็งค่า ทั้งนี้ GDP มีแนวโน้มเติบโตสูงกว่ากลุ่มประเทศ DM โดยแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ช่วยสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางประเทศ EM เพิ่มเติม นอกจากนี้ Valuation ที่ต่ำกว่าหุ้นในกลุ่ม DM หนุน Fund flow ไหลเข้า
หุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดีย มีแรงหนุนจากการปฏิรูป GST และการผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง หลังล่าสุดอินเดียใกล้สรุปข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกกับสหรัฐฯ ซึ่งจะครอบคลุมประเด็นภาษีนำเข้า หลังจากที่มีการเจรจายาวนานหลายเดือน
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัว อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามผลประกอบการโดยรวมในช่วง 2H2568 ที่มีแนวโน้มเติบโต จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ อาทิ คนละครึ่งพลัส และ เที่ยวดีมีคืน จะช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น ด้าน กนง.ยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอีก 25 bps.ในเดือน ธ.ค.นี้
หุ้นจีน All-Share
ดัชนีหุ้นจีน มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากนโยบาย anti-involution ที่มีแนวโน้มหนุนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ พัฒนาการเทคโนโลยี AI จีนยังดำเนินต่อ หลัง Alibaba ประกาศเปิดตัวแชตบอต Qwen เวอร์ชันอัปเกรด โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งการใช้งานในผู้บริโภคหมู่มาก
หุ้นเกาหลีใต้
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้มีแนวโน้มผันผวนระยะสั้น ตามทิศทางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก อย่างไรก็ดี ระยะยาวดัชนีฯ ยังได้แรงหนุนจากความต้องการชิป HBM สำหรับ AI Server สะท้อนจากการปรับขึ้นราคาขายของ Samsung ในเดือน พ.ย. ถึง 60% เทียบกับเดือน ก.ย. ทั้งนี้ Valuation ดัชนี MSCI Korea ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า MSCI EM ถึง 10%
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำถูกกดดันระยะสั้นจาก ตลาดฯ คาด Fed อาจคงดอกเบี้ย ในเดือน ธ.ค. และเงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่า อย่างไรก็ดี ความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และโลกที่เพิ่มขึ้น จะยังหนุนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ ในระยะกลาง-ยาว ธนาคารกลางหลักของโลกยังเพิ่มอุปสงค์ทองคำในฐานะเงินทุนสำรอง
หุ้นจีน A-Share
ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้แรงหนุนจาก 1) ข้อตกลงพักรบของสหรัฐฯ-จีน ที่ช่วยลดความไม่แน่นอนการค้า 2) ความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่ม ในการประชุม CEWC และ 3) EPS ที่เติบโตดี จากธีม AI และ นโยบาย anti-involution แม้ความตึงเครียดระหว่างจีน-ญี่ปุ่น อาจสร้างความผันผวน ก็ตาม
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
แม้ว่า ความกังวลฟองสบู่ในธีม AI จาก valuation หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่สูง ได้เพิ่มความผันผวน แต่หุ้นกลุ่มเทคฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากโมเมนตัม EPS ทั้งปี ที่มีแนวโน้มดีขึ้น หลัง Nvidia รายงานผลประกอบการใน 3Q2568 ที่แข็งแกร่งเกินคาด และยังเผยคาดการณ์รายได้ใน 4Q2568 ที่สูงกว่าตลาดคาด
ดัชนีหุ้น S&P 500
แม้ความกังวลต่อความเสี่ยงภาวะฟองสบู่ AI และความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค.นี้ ได้กระทบต่อ sentiment บนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ แต่ดัชนีฯ ยังได้แรงหนุนจาก EPS ทั้งปี ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และช่วยประคอง Fwd P/E ท่ามกลางข้อพิพาทการค้าและเทคโนโลยี ที่ลดลง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
แม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ พักฐาน จากความกังวลบนมูลค่าที่ตึงตัว และความไม่แน่นอนการลดดอกเบี้ยของ Fed แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังมีแนวโน้มแรงหนุนจากกระแส AI ทั่วโลก ที่ยังดำเนินต่อจากงบ Nvidia ล่าสุดที่ออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ สะท้อนการเติบโตและการลงทุนด้าน AI ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
หุ้นกลุ่ม Health Care
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในระยะสั้นได้แรงหนุนจากผลประกอบการ 3Q2568 ของกลุ่มที่ดีกว่าคาด และความคืบหน้าเชิงบวกของงานวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในวัฏจักรขาลง หนุนการเพิ่มขึ้นของ M&A ภาคอุตสาหกรรม โดยบริษัทส่วนใหญ่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง
หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน
หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน มีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ยังคงเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของ Data Center และ การลงทุนด้าน AI รวมทั้ง ยังได้รับแรงหนุนระยะสั้น จากการอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้า ในช่วง 4Q2568 แม้ความกังวลประเด็น Fed อาจไม่ลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้ อาจกดดันสินทรัพย์เสี่ยงโลก
ภาพ: da-kuk/Getty Images

Facebook
Google
