THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
แค่พักรบชั่วคราว บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ- จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

แค่พักรบชั่วคราว! บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ-จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ

... • 4 พ.ย. 2025

HIGHLIGHTS

  • ตลาดหุ้นโลกยังปรับขึ้นได้ต่อ จากแรงเก็งกำไรประเด็นสงครามการค้าที่มีสัญญาณที่เป็นบวกมากขึ้น หลังปธน. ทรัมป์ และ ปธน. สี จิ้นผิง เห็นพ้องในกรอบข้อตกลงทางการค้า
  • ประเด็นหลักคือ จีนจะชะลอมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare earths) อย่างน้อย 1 ปี ขณะที่ สหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าจีนบางรายการ รวมถึงภาษี Fentanyl จาก 20% เหลือ 10%
  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า การพบกันระหว่างทรัมป์และสีจิ้นผิงครั้งนี้เป็นเพียง ‘การพักรบ’ มากกว่าสันติภาพที่ยั่งยืน เพราะข้อตกลงส่วนใหญ่มีระยะเวลาเพียง 1 ปี และไม่ได้แก้ไขประเด็นพื้นฐานอย่างการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ชิปเซมิคอนดักเตอร์ และความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลก
  • จึงเชื่อว่า ความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจยังคงดำเนินต่อไปในรูปแบบ ‘Cold War’ ทางเศรษฐกิจ

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกยังปรับขึ้นได้ต่อ จากแรงเก็งกำไรประเด็นสงครามการค้าที่มีสัญญาณที่เป็นบวกมากขึ้น หลังปธน. ทรัมป์ และ ปธน. สี จิ้นผิง เห็นพ้องในกรอบข้อตกลงทางการค้า (Framework Agreement)

 

โดยประเด็นหลักคือ จีนจะชะลอมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare earths) อย่างน้อย 1 ปี ขณะที่ สหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าจีนบางรายการ รวมถึงภาษี Fentanyl จาก 20% เหลือ 10% ถือเป็นสัญญาณบวกในระยะสั้น

 

ด้านการประชุม FOMC มีการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่กรอบ 3.75 - 4.00% ตามที่ตลาดคาด นอกจากนี้ยังประกาศว่าจะยุติการลดขนาดงบดุล (balance sheet runoff) ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2025 โดยประธาน Fed ระบุหลังการประชุมว่ายังมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากต่อทิศทางในเดือน ธ.ค. ทำให้การลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ‘ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน’

 

นอกจากนั้น ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด และแผนการลงทุนใน AI ต่อเนื่อง ด้าน BOJ และ ECB มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามตลาดคาด โดย BOJ ระบุ หากเศรษฐกิจและราคาเป็นไปตามแนวโน้มที่คาดไว้ ธนาคารจะดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องและลดการผ่อนคลายเชิงนโยบายลงตามความเหมาะสม

 

ด้านตลาดหุ้น EM ได้ปัจจัยบวกทำให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ที่ได้ผลบวกทั้งทิศทางสงครามการค้าที่บรรเทาลงในระยะสั้น และผลบวกจากแผนการลงทุนใน AI

 

ด้านตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวเล็กน้อย ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค โดยกระทรวงการคลังปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP เป็น 2.4% จาก 2.2% จากแรงหนุนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตัวเลขภาคการส่งออกเดือน ก.ย. 2025 ขยายตัวที่ 19.0% YoY จาก 5.8% เดือนก่อน สูงกว่าตลาดคาด ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงแม้ตัวเลขสต๊อกน้ำมันสหรัฐจะลดลงกว่าคาด แต่ตลาดกำลังจับการประชุม OPEC+ ที่คาดจะมีการเพิ่มการผลิตต่อในเดือน ธ.ค.

 

ดีล ‘สหรัฐฯ - จีน’ 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ

 

การพบกันระหว่างทรัมป์และสีจิ้นผิงครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณบวกในระยะสั้น เพราะช่วยลดความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลกที่อาจเกิดจากสงครามการค้าที่บานปลาย แต่เป็นเพียง ‘การพักรบ’ มากกว่าสันติภาพที่ยั่งยืน เพราะข้อตกลงส่วนใหญ่มีระยะเวลาเพียง 1 ปี และไม่ได้แก้ไขประเด็นพื้นฐานอย่างการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ชิปเซมิคอนดักเตอร์ และความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลก

 

ดังนั้น ความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจยังคงดำเนินต่อไปในรูปแบบ ‘Cold War’ ทางเศรษฐกิจ โดยในระยะหลัง จีนดูมีอำนาจต่อรองมากขึ้นหลังใช้แร่ธาตุหายากเป็นเครื่องมือต่อรอง ในขณะที่ในระยะสั้น รัฐบาลทรัมป์อาจใช้แต้มต่อจากการเจรจาการค้ากับจีนและประเทศในเอเชียที่สำเร็จนี้ในการผลักดันวาระในประเทศ เช่น การยุติ Government Shutdown และการผลักดันให้ Fed ลดดอกเบี้ยต่อ

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ยังคงมุมมอง Fed ว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในธันวาคมนี้ จาก

 

1. ตลาดแรงงานอ่อนแอ โดยทั้ง JOLT และ ADP ยังต่ำต่อเนื่อง

 

2. การปิดรัฐบาลอาจกระทบข้าราชการ 650,000-750,000 คนต้องพักงาน และอาจทำให้อัตราว่างงานพุ่ง 0.4%

 

3. เงินเฟ้อที่อยู่อาศัยผ่อนคลายเหลือ 1.71% ลง แม้เงินเฟ้อในสินค้าและบริการบางส่วนอาจได้รับแรงกดดันจากภาษีการค้าของทรัมป์ แต่เราประเมินว่าเงินเฟ้อจะไม่เร่งตัวมากในช่วงปลายปี จนเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2025-ต้นปี 2026

 

4. คะแนนนิยมทรัมป์ปรับลดลงต่อเนื่อง สร้างแรงกดดันให้ทรัมป์บีบ Fed ให้ลดดอกเบี้ยเพื่อหนุนเศรษฐกิจ โดยเราคาดลดดอกเบี้ยได้อีกครั้งสู่ 3.38% ในครึ่งแรก 2026

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

1. หุ้น Earnings Play ซึ่งคาดผลการดำเนินงาน 3Q68 จะยังเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY ได้แก่ ADVANC BCP KTB LHSC OR PTT TRUE

 

2. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC TIDLOR รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL

 

3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่มีแนวโน้มจะประกาศผลประกอบการ 3Q68 ออกมาดีกว่าคาด แนะนำ BCPG TU GFPT CPALL BGRIM 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์ข้อตกลงทางการค้าเบื้องต้นได้ แนะนำ IVL PTTGC SCC SCGP 3) หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะนำ กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW) จากมาตรการเที่ยวดีมีคืน, กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC TIDLOR) จากมาตรการพักหนี้และให้สินเชื่อรายย่อย และ 4) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากดอลลาร์อ่อนค่า (บาทแข็งค่า) แนะนำ กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM GPSC)

 

“ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,280-1,345 จุด โดยปัจจัยในประเทศติดตามการเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบ 3Q68 หลังงบหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าตลาดคาด รวมทั้งการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล อาทิ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย โดยจะรับซื้อหนี้ที่ไม่มีหลักประกันและค้างชำระไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย ขณะที่เงินเฟ้อไทย ต.ค. คาดยังคงติดลบต่ออย่างน้อย 0.5%YoY (จาก ก.ย. -0.7%YoY) ส่วนปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ อาทิ การจ้างงาน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ รวมทั้งดุลการค้า ต.ค. ซึ่งหากออกมาแย่กว่าคาด มองตลาดจะให้น้ำหนัก Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลงต่อในเดือน ธ.ค. 2. การประชุมของ BoE คาดมีมติคงดอกเบี้ยนโยบาย และ 3. งบ 3Q68 ของบจ. ขนาดใหญ่ของสหรัฐที่คาดจะออกมาดีกว่าตลาดคาด” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

 

1. ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ อาทิ ตำแหน่งงานว่าง JOLTS ก.ย., การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) และ การจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ต.ค.

 

2. ตัวเลขเงินเฟ้อไทย ต.ค. และการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มของรัฐบาลไทย อาทิ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย

 

3. การประชุมของกลุ่ม OPEC+ เพื่อพิจารณาเรื่องกำลังการผลิตในเดือน ธ.ค. และการประชุมนโยบายการเงินของ BoE

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: TRUE - 3Q25 คาดกำไรพลิกโต QoQ, YoY

 

แนะนำ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

 

  • เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดในแง่ของจำนวนผู้ใช้บริการและรายได้ของประเทศไทย โดยมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 52 ล้านราย และรายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1.26 แสนลบ. (อ้างอิงกับข้อมูลปี 2023)
  • 3Q25 คาดกำไรปกติอยู่ที่ 4.9 พันลบ. พลิกเติบโต 16%QoQ และ 65%YoY แรงหนุนหลักจากต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากสัญญาเช่าคลื่นความถี่กับ NT สิ้นสุดลง โดยคาดโครงสร้างต้นทุนใหม่จะทำให้ต้นทุนลดลง 5.3 พันลบ.ต่อปี
  • เป็นหุ้นเด่นกลุ่มสื่อสารและมองราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว เนื่องจากปี 2025-2026 คาดกำไรปกติจะเติบโตแข็งแกร่งกว่า ADVANC อีกทั้งคาด TRUE จะประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 9M25 หุ้นละ 0.09 บาทหลังแจ้งงบ 3Q25
  • เราประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 16 บาท อิงวิธี DCF และคาดจะเริ่มกลับมาจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 0.24 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 2.1%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

กลุ่มเทคฯใหญ่เผยงบดีกว่าคาด โดยหุ้นตอบสนองเชิงบวกต่อ 1) GOOGL และ AMZN ที่งบโดดเด่นหลังมีแรงหนุนจากกลุ่มคลาวด์ที่เติบโตดีและทุกธุรกิจที่เติบโตได้แกร่ง 2) AAPL มีความคาดหวังเชิงบวกต่อ iPhone ที่มีแนวโน้มฟื้นตัว ในทางตรงกันข้ามหุ้นตอบสนองเชิงลบต่อ META หลังกำไรต่ำกว่าคาดและ MSFT หลังคลาวด์โตคงที่ ขณะที่เรายังแนะลงทุน GOOGL AMZN MSFT META

 

  • AMZN งบดีกว่าคาดและโตทั้งรายได้และกำไร หนุนจากทุกธุรกิจที่เติบโต โดยเฉพาะกลุ่มคลาวด์ AWS ที่โตเร่งตัวขึ้น ด้านแนวโน้มแกร่งสะท้อนผ่านคาดการณ์, Backlog โต, และ CAPEX +61%
  • GOOGL เผยงบดีกว่าคาดทุกมิติ หนุนจาก Cloud โตแรง +34% และ Ads +15% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานพุ่ง 85% พร้อมเพิ่ม CAPEX เป็น $91-93bn เพื่อรองรับดีมานด์ AI
  • AAPL งบดีกว่าคาดเล็กน้อยหนุนจากรายได้บริการที่โต แต่ยอดขาย iPhone และจีนต่ำกว่าคาด หลังได้รับผลกระทบจากปัญหา Supply Chain และการแข่งขันจากคู่แข่ง
  • META เผยรายได้โต 26% ดีกว่าคาด หนุนจาก Ads แข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงหลังรับผลกระทบภาษีครั้งเดียว $15.9bn และต้นทุน CAPEX สูงขึ้นกดดันมาร์จิน
  • MSFT เผยงบดีกว่าคาดโดยรายได้โต 18% หนุนจาก Azure +39% และ Cloud +26% แม้มาร์จินขยายแต่ราคาหุ้นปรับตัวลงจากคลาวด์โตคงที่ และ CAPEX สูงกว่าคาด

 

ในระยะถัดไป เรามองว่า 1) AMZN และ GOOGL ราคาหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อได้หลังงบและคาดการณ์ออกมาดี ทำให้เรายังคงแนะลงทุนต่อเนื่อง 2) META และ MSFT เราเชื่อว่าหากตัดความคาดหวังออก ภาพพื้นฐานยังแข็งแรงและแนวโน้ม AI ยังคงโตต่อจึงมองหุ้นย่อตัวเป็นโอกาสลงทุนที่ดี 3) AAPL เราแนะขายทำกำไรหลังราคาหุ้นรับรู้และปรับตัวขึ้นตามความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของงบไปแล้ว ระยะถัดไปเราแนะติดตามการพัฒนา AI ที่ยังคงช้ากว่า Peers

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ยังให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้แรงหนุนจากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ หลังกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กลับมาเริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ทันที เพื่อตอบโต้โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียและจีน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง อาจทำให้อัตราผลตอบแทนให้ลดลงไปด้วย

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลัง Fed ยังไม่มีข้อสรุปทิศทางดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ด้านตราสารหนี้ไทย Bond Yield ยังมีแนวโน้มผันผวนระยะสั้น โดยเรามองว่า Bond Yield มีแนวโน้มลดลงในช่วงที่เหลือของปี ตามทิศทางการปรับลดลงของดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปีหน้า

 

U.S. Treasury & IG

 

แนะนำพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ IG ระยะสั้นของสหรัฐฯ ตามที่ Fed จะยุติการทำ QT ในวันที่ 1 ธ.ค. และความเสี่ยงเงินเฟ้อด้านสูงที่ลดลง หลังสหรัฐฯ มีพัฒนาการกับคู่ค้าที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ตัวยาว จาก US term premium ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามความกังวลภาคการคลังสหรัฐฯ ที่มีอยู่

 

High Yield Bond

 

ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น ยังมีอยู่ ตามความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตามที่ Powell เผยหลักฐานที่มีอยู่บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯกำลังอ่อนแอลง แม้ว่า UST yield โดยเฉพาะตัวสั้นถึงกลาง มีแนวโน้มเป็นขาลง ตามการทยอยผ่อนคลายทางการเงินของ Fed ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Asia REITs

 

การลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่งผลทำให้ประเทศในกลุ่มเอเชียสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เพิ่มเติม ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุนใน Singapore REITs ที่มีอัตราปันผลอยู่ที่ 6% และ REITs ไทยที่มีอัตราปันผลสูงถึง 8% นอกจากนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย น่าจะส่งผลบวกต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy rate)

 

Global Infrastructure

 

การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวที่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว และรายได้สามารถปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ รวมถึง มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาลง

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

Private Asset เป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด Public เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่ต่ำกว่า โดยเรามองบวกต่อ Private Equity จากแนวโน้มการลดลงของดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของ M&A นอกจากนี้ Valuation ของ Private Equity ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า Public Equity

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้รับอานิสงส์จาก EPS growth รายไตรมาส และทั้งปี ที่มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้น / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ทยอยฟื้นตัวและการเร่งใช้จ่ายการคลังของยุโรปในปีหน้า/ หุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากนโยบายผ่อนคลายการคลัง และการบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1) วัฏจักรลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI 2) Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย และยุติ QT 3) การกระตุ้นทางการคลัง ภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ 4) EPS ใน 3Q2568 และ Guidance ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด และ 5) ความเสี่ยงสงครามการค้าที่ลดลง

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มผันผวนระยะสั้น หลังสะท้อนผลบวกการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน โดย GDP 3Q2568 ขยายตัวมากกว่าคาดที่ 0.2%QoQ ขณะที่ ECB ส่งสัญญาณสิ้นสุดวัฏจักรการลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะยาว จากการเร่งใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นการเติบโตในปีหน้า

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 1) แนวโน้มการใช้มาตรการทางการคลังแบบขยายตัวมากขึ้น หลังจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาล ที่ช่วยหนุน ROE และ P/BV 3) ความหวังกระแส AI ในญี่ปุ่น และ 4) การอ่อนค่าของค่าเงินเยนช่วยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียได้รับผลบวกจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ทำให้หนี้สกุลดอลลาร์ลดลง หนุนความสามารถทำกำไรของบริษัท รวมถึงทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Valuation อยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เป็นปัจจัยหนุน Fund Flows ไหลเข้าเพิ่มเติม

 

หุ้นอินเดีย

 

เรายังมีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว จากการปฏิรูป GST และแนวโน้มการผ่อนคลายการคลังและการเงินเพิ่มเติม เพื่อช่วยหนุนอุปสงค์ในประเทศ และลดผลกระทบจากข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯ หลัง PMI รวมภาคการผลิตและบริการล่าสุด แผ่วลงอยู่ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน และต่ำกว่าที่คาด

 

หุ้นไทย

 

ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัว ตามผลประกอบการโดยรวมในช่วง 2H2568 ที่มีแนวโน้มเติบโต จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ อาทิ คนละครึ่งพลัส และ เที่ยวดีมีคืน จะช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น ด้าน กนง.ยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอีก 25 bps.ในเดือน ธ.ค.นี้

 

หุ้นจีน All-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความคืบหน้าของผลเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีน ประกอบกับ พัฒนาการกระแส AI มีแนวโน้มช่วยหนุน EPS ขณะที่ ทางการมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศเพิ่มเติม หลัง PMI ภาคการผลิตล่าสุด แผ่วลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน และต่ำกว่าที่คาด

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

แม้ทองคำอาจเผชิญการปรับฐานระยะสั้นจากแรงขายทำกำไร แต่ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมยังสนับสนุนทองคำ ได้แก่ ค่าเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สร้างความกังวลกับตลาดเป็นระยะ และ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า นอกจากนี้ ยังมีแรงซื้อต่อเนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลก

 

หุ้นจีน A-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share รับอานิสงส์จาก 1) แรงซื้อจากครัวเรือน ตามผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ยังต่ำ 2) ความหวังการออกแผนกระตุ้นจากทางการ ในการประชุม politburo และ CEWC ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และ 3) EPS ที่มีแนวโน้มฟื้นตัว สอดรับกับกำไรภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว ตามนโยบาย anti-involution

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก EPS กลุ่ม Big Tech ทั้ง Microsoft, Amazon.com, Apple Alphabet และ Meta ใน 3Q2568 ที่ดีกว่าคาด ส่วน AI capex ของกลุ่ม Hyperscalers สหรัฐฯ ยังบ่งชี้แนวโน้มเติบโตที่ดี นอกจากนี้ กลุ่ม Big Tech ยังมีปัจจัยพื้นฐานรองรับอย่างมั่นคงกว่าในช่วงฟองสบู่ Dot Com

 

ดัชนีหุ้น S&P 500

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1) วัฏจักรลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI 2) Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย และยุติ QT 3) การกระตุ้นการคลัง ภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ 4) EPS ใน 3Q2568 และ Guidance ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด และ 5) ความเสี่ยงสงครามการค้าที่ลดลง

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก ยังอยู่ในแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์กำไรของกลุ่มฯ หลังผลประกอบการใน 3Q2568 ส่วนใหญ่ดีกว่าคาด นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากงบลงทุนของบริษัทด้าน Tech ขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้ AI ที่เพิ่มมากขึ้นตาม

 

หุ้นกลุ่ม Health Care

 

หุ้นกลุ่ม Health Care ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ระยะสั้นได้แรงหนุนจากผลประกอบการกลุ่ม Healthcare ในสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในวัฏจักรขาลง หนุนการเพิ่มขึ้นของ M&A ของอุตสาหกรรม โดยบริษัทส่วนใหญ่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

 

ภาพ: Maxx-Studio / Shutterstock

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 4 พ.ย. 2025




Latest Stories