- ตลาดโลกปรับตัวดีขึ้นได้ดี หลังจากผ่านพิธีสาบานตนของทรัมป์แล้ว และยังไม่มีการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าทันทีดังที่ตลาดคาด
- IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2025 เป็น 3.3% เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งเกินคาด และเงินเฟ้อทั่วโลกชะลอตัวลง เอื้อให้ธนาคารกลางต่างๆ สามารถลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า นโยบาย America First ของทรัมป์ หากทำทันทีจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงและเงินเฟ้อขึ้น ทำให้ทรัมป์น่าจะดำเนินนโยบายเหล่านี้โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- อย่างไรก็ตาม จากการที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดียังคงนำมาซึ่ง 4 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการลงทุน
สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดโลกปรับตัวดีขึ้น การรับตำแหน่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยังไม่มีการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าทันที ท่าทีต่อการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนน้อยกว่าที่ตลาดกังวล โดยช่วงต้นสัปดาห์ทรัมป์ระบุว่า การพูดคุยกับ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีทิศทางในเชิงบวก นอกจากนั้น ทรัมป์ยังประกาศโครงการร่วมทุน Stargate มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่าง SoftBank, OpenAI และ Oracle โดยมีเป้าหมายขยายเป็น 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เป็นปัจจัยหนุนกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9%
อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันปรับตัวลดลงจากแผนการเร่งอนุญาตขุดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น รวมถึงระบุว่า อยากให้ราคาน้ำมันลดลง โดยให้กลุ่ม OPEC ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดเงินเฟ้อ และจะนำไปสู่การลดดอกเบี้ยได้ทั่วโลก แต่ก็เป็นปัจจัยกดดันกลุ่มพลังงานลดลง 1.5%
ด้าน IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2025 เป็น 3.3% เพิ่มขึ้น 0.1% จากประมาณการครั้งก่อน จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาด และเงินเฟ้อทั่วโลกที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะเอื้อให้ธนาคารกลางต่างๆ สามารถลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้
ด้านตลาด EM ปรับตัวขึ้นได้ 1% โดยจีนประกาศมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้น ซึ่ง ก.ล.ต. จีนออกมาระบุว่า บริษัทประกันและกองทุนรวมควรเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้น
ส่วนตลาดหุ้นไทย แม้จะฟื้นตัวได้ในทิศทางเดียวกับภูมิภาคในช่วงต้นสัปดาห์ จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และผลประกอบการหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด แต่กลับอ่อนตัวลงแรงในช่วงท้ายสัปดาห์ เป็นผลจากภาวะตลาดที่ยังเปราะบาง นักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่น สะท้อนจากปริมาณซื้อขายต่อวันที่เบาบาง
ทรัมป์ใช้นโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า การประกาศแนวนโยบายของทรัมป์ครั้งนี้มีแบบแผนขึ้น โดยมีเป้าประสงค์หลักในการยึดนโยบายตามหลักการ America First ผ่านการกีดกันผู้อพยพ สงครามการค้า และสนับสนุนอุตสาหกรรมฟอสซิล
โดยหากดำเนินการนโยบายเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงและเงินเฟ้อขึ้น ทำให้ทรัมป์น่าจะดำเนินนโยบายเหล่านี้โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยสนับสนุนอุตสาหกรรมฟอสซิลก่อน ขณะที่จะใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือต่อรองให้ได้ประโยชน์อื่นที่ต้องการ เช่น การเข้าเมืองผิดกฎหมายและการลักลอบขนยาเสพติด รวมถึงประเด็นที่จะให้จีนขาย TikTok แก่สหรัฐฯ ด้วย
ทั้งนี้ ความผันผวนที่มากขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง รวมถึงดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น แต่การขาดดุลการคลังที่มากขึ้น พร้อมกับแนวนโยบายของทรัมป์ที่ไม่ต้องการให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเกินไป จะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรยังทรงตัวระดับสูงและดอลลาร์สหรัฐไม่แข็งค่ากว่าปัจจุบันมากนัก
เปิด 4 ความเสี่ยงจากทรัมป์
ในส่วนของ IMF ที่ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งนั้น เรามองว่าการเข้ามาของทรัมป์จะทำให้เกิดความเสี่ยง 4 ประการจาก
- ความคาดหวังเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น
- ตลาดการเงินมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น โดยเฉพาะประเด็นค่าเงินของตลาดเกิดใหม่
- ความไม่แน่นอนทางนโยบายเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น
- ความเสี่ยงด้านการค้าโลกที่ลดลง
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
- หุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์บวกจากการที่รัฐออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค โดยนำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy e-Receipt) และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำกลุ่มพาณิชย์ (CRC, HMPRO, CPALL, TNP), กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG, OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT, AOT)
- นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูง ซึ่งคาดว่ามีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2024 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP, KTB, BBL และ PTT
- หุ้น Earning Play ซึ่งมองว่าราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้น สะท้อนโมเมนตัมกำไรไตรมาส 4 ปี 2024 อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก ADVANC, TRUE, AMATA, AWC, AU และ ERW
- Trading Idea: หุ้น Mid-Small Cap ที่ราคาหุ้นปรับลง YTD มากกว่าตลาด แต่คาดว่าในไตรมาส 4 ปี 2024 และปี 2025 กำไรยังเติบโตดีและมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง เลือก AMATA, AU, BCH, BLA และ TIDLOR
“มอง SET ยังมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1,400 จุด ทั้งนี้ แม้ตลาดยังไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ ตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงจน Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งมองว่าสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังคงมองว่าภาพเศรษฐกิจและแนวโน้มดอกเบี้ยจะมีท่าทีดีขึ้น รวมถึงผลประกอบการในสหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่ง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ ECB คาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ส่วน Fed คาดว่าคงดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งปัจจัยภายในประเทศคาดว่าการเข้าสู่บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนและการแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้แก่ผู้สูงอายุ จะเข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุนได้บ้าง” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ
เหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
- การประชุมนโยบายการเงินของ Fed ในวันที่ 28-29 มกราคม ตลาดและเราคาดว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% และ ECB วันที่ 30 มกราคม ตลาดคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps มาอยู่ที่ระดับ 2.75%
- GDP ไตรมาส 4 ปี 2024 ที่รายงานครั้งแรกของสหรัฐฯ (คาดขยายตัว 2.7%QoQ SAAR vs. 3.1% 3Q24) และยูโรโซน (คาดขยายตัว 0.3%QoQ vs. 0.4% 3Q24)
- รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินของไทยในเดือนธันวาคม 2024
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: ERW - Valuation ต่ำ ไตรมาส 4 ปี 2024 คาดกำไรนิวไฮ
แนะนำ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป หรือ ERW เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจโรงแรมซึ่งพอร์ตโรงแรมมีความหลากหลายและกระจายตัวอยู่ในทุกระดับ ครอบคลุมตั้งแต่โรงแรมระดับลักชัวรี ระดับกลาง ระดับชั้นประหยัด และระดับบัดเจ็ต โดยตั้งอยู่ทั่วจุดหมายปลายทางที่สำคัญของไทย
- ไตรมาส 4 ปี 2024 คาดว่ากำไรปกติทำนิวไฮที่ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31%YoY และ 145%QoQ แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มลักชัวรีและระดับกลาง หนุนให้ปี 2024 คาดว่ามีกำไรปกติเพิ่มขึ้น 10%YoY และจะเติบโตต่ออีก 5%YoY ในปี 2025 โดยโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งจะมีต่อเนื่องใน 1H25 ก่อนที่จะชะลอลงใน 2H25 หลังมีแผนปรับปรุงโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ในไตรมาส 3 ปี 2025
- Valuation ต่ำ โดยราคาหุ้นปรับลง 27% ในปี 2024 และ 13%YTD สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และซื้อขาย PER 25F ที่ 18.4 เท่า ต่ำกว่าค่ากลางของกลุ่ม (23.7 เท่า) อยู่ 23% ซึ่งบ่งชี้ถึงความคาดหวังที่ต่ำของตลาดและทำให้ Risk/Reward น่าสนใจ
- เราประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 4.80 บาท อิงวิธี DCF (WACC 6.2%, การเติบโตระยะยาวที่ 2%) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2024 หุ้นละ 0.11 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 3.4%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาทรัมป์เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมเผยถึงแนวโน้มนโยบายหลายรายการ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ในประเทศ, การลด Corporate Tax Rate, การส่งเสริมคริปโตเคอร์เรนซี, การขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันและพลังงานในประเทศ โดยภาพรวมสะท้อนแนวทางการดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งนี้ เราเชื่อว่ากลุ่มเทคโนโลยี เซมิคอนดักเตอร์ และไฟฟ้า จะได้ประโยชน์จากภาพนี้
ภาพรวมนโยบายและแนวทางของทรัมป์ต่อการส่งเสริมเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- ทรัมป์เผยแผนการลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ ภายใต้โครงการ Stargate ร่วมกับ SoftBank, OpenAI และ Oracle โดยเรามองว่ากลุ่มที่ได้รับประโยชน์คือ 1. กลุ่มผู้พัฒนา AI และ Cloud โครงสร้างพื้นฐานอย่าง OpenAI, ORCL, AMZN, MSFT 2. กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในการประมวลผลอย่าง NVDA, ARM และ 3. กลุ่มไฟฟ้าและพลังงานที่ใช้ประมวลผล
- ยืนยันจุดยืนและแนวทางของสหรัฐฯ ที่จะเป็นผู้นำในคริปโตและ AI โดยจากภาพนี้เรามองว่ากลุ่มที่จะได้รับประโยชน์คือ Coinbase, กลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์อย่าง MSFT และ NVDA รวมถึงกลุ่มพลังงานไฟฟ้า ที่จะได้ประโยชน์จากพลังงานที่ใช้ประมวลผล
- เตรียมลด Corporate Tax Rate ลงสู่ระดับ 15% สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทำในสหรัฐฯ ซึ่งภาพรวมมองว่าเป็นการลดต้นทุนและดึงดูดให้บริษัทย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ได้ ทั้งนี้ ยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศ
- เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% ส่วนจีน 10% ซึ่งภาพรวมสะท้อนท่าทีต่อจีนที่ซอฟต์ลง หลังจากการปราศรัยของทรัมป์ในดาวอสเผยว่า การพูดคุยเป็นไปได้ดีในฝั่งเม็กซิโกและจีน ส่วนทางฝั่งแคนาดายังเป็นไปได้ยาก หลังธนาคารกลางแคนาดา Conservative
- ทรัมป์มองว่ายุโรปมีการเก็บภาษีและค่าปรับในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในปริมาณที่มากเกินไป รวมถึงมอง EU Tariff ทำให้นำสินค้าเข้า EU ได้ยาก ซึ่งเรามองว่าการลงทุนในกลุ่มเทคเทคโนโลยีมีความเสี่ยงจาก Antitrust อยู่แล้ว แต่ระยะถัดไปแนะนำให้ติดตามท่าทีทรัมป์ต่อยุโรปว่าจะมีทิศทางช่วยให้กลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีแรงกดดันที่ผ่อนคลายลงในทิศทางใด
- เพิ่มการผลิตพลังงานในประเทศ (ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ) และยกเลิกข้อจำกัดด้านพลังงานหมุนเวียน รวมถึงยกเลิกข้อบังคับพลังงานสะอาด เช่น ข้อตกลงปารีส นอกจากนี้ ลดการสนับสนุนพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเรามองว่าเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานน้ำมันและก๊าซ (XOM, CVX, COP) และลบต่อกลุ่มพลังงานสะอาด (NEE, ORSTED, FSLR, ENPH)
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
สินทรัพย์สภาพคล่องมีแนวโน้มให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังสูง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ เช่น ข้อพิพาทบนช่องแคบไต้หวัน, ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน, ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
โดยล่าสุดทรัมป์ระบุว่า สหรัฐฯ จะคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่ รวมทั้งจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากรัสเซีย หากรัสเซียไม่ยอมบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามกับยูเครน
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
โอกาสที่ UST Yield Curve จะเพิ่มความชันยังมีอยู่ โดย Yield ตัวสั้นมีแนวโน้มลดลงต่อตาม Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ ซึ่งล่าสุดทรัมป์ออกมาเรียกร้องให้มีการลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ Yield ตัวยาวมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ จากแนวโน้มการขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้น และเงินเฟ้อที่ยังหนืด (ตามนโยบายกีดกันการค้าและกีดกันผู้อพยพ) ทั้งนี้ Bond อายุ 2-4 ปี มีความเสี่ยง Duration ไม่มากนัก และมี Coupon มากพอ จึงทำให้น่าสนใจลงทุน และคุ้มที่จะถือเพื่อ Hedge หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาดไว้มาก
US Treasury & IG
UST Yield มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากความกังวลในตลาดว่า Fed อาจชะลอการลดดอกเบี้ย เห็นได้จากการที่ตลาดทยอยปรับคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2025 น้อยลง ประกอบกับความกังวลแนวโน้มการขาดดุลการคลังในสหรัฐฯ ที่มากขึ้นจากการผลักดันนโยบายต่างๆ ของทรัมป์
แนะนำลงทุนทั้ง UST และ US IG Bond โดยเน้นลงทุนใน Duration ประมาณ 2-4 ปี ที่ให้ Yield เฉลี่ยยังสูงกว่าประมาณการอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ Fed ที่ 3% เพื่อเป็นการ Lock Coupon
High Yield Bond
US HY มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเป็นบวกตาม
- Default Rate (12M Trailing) ของ US HY ล่าสุดอยู่ที่ 3.3% ซึ่งต่ำกว่าของ Leveraged Loan ที่ 7.1%
- สัดส่วนระหว่างผู้ออกหุ้นกู้ Rising Stars มีแนวโน้มมากกว่า Fallen Angels สอดคล้องกับโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดี
- ความผันผวนของ US HY ยังต่ำ
- ประเด็น Maturity Wall ของ US HY ที่ยังไม่ได้น่ากังวลนัก โดยที่ยอดครบกำหนดในปี 2025 อยู่ที่เพียง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ด้วย US HY Spread ที่แพงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี และ UST Yield ตัวยาวที่ยังเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อ จึงอาจทำให้ Upside ของ US HY ค่อนข้างจำกัด
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุน และ REITs
REITs ถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนในรูปกระแสเงินให้กับพอร์ตโฟลิโอได้ทั้งในระยะกลางถึงยาว และเป็นการเพิ่ม Diversification ให้กับพอร์ตโฟลิโอ จากความสัมพันธ์ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์อื่นต่ำ
สินทรัพย์ผสม (Ready Mixed - Asset Allocation) ช่วยกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน และช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอกที่มีต่อสินทรัพย์ที่ถือครอง
US REITs
US REITs มีปัจจัยหนุนจาก
- ปัจจัยพื้นฐานที่ดี ตามภาพรวมตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง รวมทั้ง Occupancy Rate ที่อยู่ในระดับสูงราว 94% และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NOI) ที่เติบโตต่อเนื่อง
- ผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มดีขึ้น จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง โดยเราคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในปีนี้ 50 bps
- งบดุลที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตในอนาคต
- Valuation ที่อยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต อย่างไรก็ตาม Bond Yield สหรัฐฯ ที่อาจปรับตัวขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ยังเป็นปัจจัยกดดัน US REITs ในระยะสั้น
Private Credit
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit Asset จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวแบบจัดการได้ (Soft Landing) อย่างไรก็ตาม ยังเน้นการลงทุนใน Private Credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหน้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก (First Lien Seniority)
หุ้นไทย
ดัชนีได้ปัจจัยหนุนระยะยาวจาก
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ เช่น โครงการ Entertainment Complex
- แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ กนง. ใน 1H25 อีก 25 bps
- กำไรของ บจ. ที่มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และทยอยปรับตัวดีขึ้น ท่ามกลาง Valuation ที่อยู่ในระดับไม่แพง
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นดัชนีเผชิญแรงกดดันจากแรงขายกองทุนรวม LTF ที่ครบกำหนดในปี 2025 ซึ่งมีแนวโน้มขายออกมามากในเดือนมกราคม โดยเรายังไม่แนะนำลงทุนหุ้นไทยขนาดกลางและเล็ก จากประเด็นด้านธรรมาภิบาล ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงรอติดตามผลประกอบการของ บจ. ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2024 ที่จะทยอยออกมา
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนระยะสั้น หลัง Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดดอกเบี้ย ส่งผลต่อ 10Y UST Yield ปรับเพิ่มขึ้นและเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า
อย่างไรก็ดี ดัชนียังได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เป็น Soft Landing และแนวโน้ม EPS ที่ขยายตัวได้ดี จากกระแส AI และนโยบายกระตุ้นของทรัมป์ ส่วนหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ย แต่ยังเผชิญแรงนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ และเสถียรภาพทางการเมืองในเยอรมนีลดลง
หุ้นญี่ปุ่นได้อานิสงส์จากเงินเยนอ่อนค่าและการปฏิรูปบรรษัทภิบาลของตลาด อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นอาจส่งผลลบต่อหุ้นส่งออกและดัชนี
หุ้นสหรัฐฯ
ความคาดหวังของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีอยู่ ขณะที่ Consensus คาดว่า S&P 500 EPS Growth ในปี 2024-2026 จะ +9%, +13% และ +14%YoY ตามลำดับ ส่วนการที่คณะทำงานของทรัมป์เข้ามาบริหารประเทศได้เพิ่มความหวังในตลาดเกี่ยวกับการผ่อนคลายกฎระเบียบ และการลดภาษีเงินได้ในสหรัฐฯ ที่ส่งผลบวกตลาดหุ้นสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ตลาดยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากกระแส AI ต่อ หลังทรัมป์ประกาศการลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งนี้ เรายังเน้นหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่ EPS มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ผสมผสานกับหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ช่วยลดผลกระทบทางลบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า
หุ้นยุโรป
การทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักในยุโรปสู่ Neutral Rate ที่ 2% มีแนวโน้มสนับสนุนดัชนีหุ้นยุโรปในระยะยาว ท่ามกลาง Valuation ของดัชนีที่ถูกกว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประมาณ 40% ขณะที่เศรษฐกิจจีนที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวมีแนวโน้มส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Consumer ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อยู่ในทิศทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับยูโร มีแนวโน้มส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาประเด็นการขยายเพดานหนี้สาธารณะของเยอรมนี เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจผ่านการลงทุนภาครัฐ ที่มีแนวโน้มชัดเจนในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ และประเด็นการปรับเพิ่มนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจเป็นปัจจัยกดดันดัชนีในระยะสั้น
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียยังเผชิญความท้าทายในปี 2025 จาก
- 10Y UST Yield ที่ปรับสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น
- ความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังการสาบานตนของทรัมป์
- ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ดัชนีมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ละประเทศ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในภูมิภาค แม้อาจปรับลดขนาดและความเร็วลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ทั้งนี้ เน้นลงทุนในตลาดที่มีความยืดหยุ่น และพึ่งพาอุปสงค์ในประเทศเป็นหลัก
หุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดียเผชิญแรงกดดันระยะสั้นจาก
- ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ปรับลดคาดการณ์ GDP ใน FY2025 ลงมาอยู่ที่ 6.4% จากเดิมคาดไว้ที่ 7.2%
- 10Y UST Yield ปรับเพิ่มขึ้น และเงินรูปีอ่อนค่า
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2024 จนถึงปีนี้
- Valuation ของดัชนีที่ค่อนข้างแพง
อย่างไรก็ดี เราคาดว่าดัชนียังได้รับแรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมที่ปรับลดลงอยู่ในกรอบ ส่งผลให้ RBI ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อกระตุ้นการบริโภค (คิดเป็น 60% ของ GDP) นอกจากนี้ เศรษฐกิจอินเดียยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีระยะยาว
หุ้นอินโดนีเซีย
ตลาดหุ้นอินโดนีเซียได้รับปัจจัยหนุนจาก
- เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และ FDI ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ ปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งจะช่วยหนุนภาคการบริโภคและก่อให้เกิดการจ้างงาน
- ภาคการบริโภคที่ได้ปัจจัยหนุนจากค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่ปรับตัวขึ้น 6.5% ในปี 2025 และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของ BI ในปี 2025 อีกราว 50 bps มาที่ 5.25% หลังเพิ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps เพื่อกระตุ้นการบริโภคที่อ่อนแอ
- Valuation ของดัชนีที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน และความกังวลต่อนโยบายของทรัมป์เป็นปัจจัยกดดันดัชนีในระยะสั้น
หุ้นจีน
ดัชนีมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการทยอยออกมาตรการทางการเงิน การคลัง ภาคอสังหาริมทรัพย์ และตลาดทุน ของทางการจีน โดยล่าสุดทางการจีนสั่งการให้กองทุนรวมและบริษัทประกันของจีนเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-Share ซึ่งถือเป็นมาตรการล่าสุดของทางการในการพยุงตลาดหุ้นที่กำลังอ่อนแอ ในขณะที่ความไม่แน่นอนบนข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่ แม้ล่าสุดทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าไม่อยากเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน และยังคงชื่นชมจีนกับสีจิ้นผิงก็ตาม
สินค้าโภคภัณฑ์
ปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังคงสนับสนุนการลงทุนในพอร์ตระยะยาว เนื่องจาก
- เป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะสงครามที่รุนแรงได้ ท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
- ความกังวลประเด็นหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่อยู่สูง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง สนับสนุนการถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ
- ช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากนโยบายการกีดกันทางการค้า
- Fund Flow ของ ETF ที่กลับมาซื้อสุทธิใน 2H25 ราว 113 ตัน อย่างไรก็ตาม US Bond Yield ที่อาจปรับขึ้นจากความกังวลต่อนโยบายของทรัมป์อาจกดดันราคาทองคำในระยะสั้น
ภาพ: Rokas Tenys / Shutterstock