วันเลือกตั้ง

ประชาธิปัตย์เปิด 10 จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจสร้างชาติ ดันใช้ดัชนีเศรษฐกิจ ‘ปิติ’ แทน ‘จีดีพี’

โดย THE STANDARD TEAM
09.03.2019
  • LOADING...
PITI

วันนี้ (9 มี.ค.) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำทีมเศรษฐกิจของพรรค ประกอบด้วย นายกรณ์ จาติกวณิช, นายสามารถ ราชพลสิทธิ์, นางการดี เลียวไพโรจน์, นายเกียรติ สิทธีอมร, นายอลงกรณ์ พลบุตร, นายศุภชัย ศรีหล้า, นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี, นายธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ และนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ แถลงถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ ‘10 จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยสร้างชาติ’ โดยสาระสำคัญของ 10 นโยบายจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยของพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย

 

 

1. ปรับกระบวนทัศน์ด้านเศรษฐกิจผ่านการใช้ดัชนีชี้วัดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า ‘ปิติ’ (PITI) หรือ Prosperity Index Thailand Initiative ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม สะท้อนความเป็นอยู่ของประชาชนแทนการวัดตัวเลขผ่านดัชนีมวลรวมของประเทศ (จีดีพี) เท่านั้น เพื่อใช้ดัชนีชี้วัดปิติเป็นฐานที่ให้รัฐบาลวางนโยบายเพื่อพัฒนาประเทศ

 

 

2. เร่งรัดโครงการด้านคมนาคม ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทุกสีทุกสายในพื้นที่ กทม. รวมระยะทาง 225 กิโลเมตร รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงสายนครราชสีมาถึงหนองคาย เพื่อเชื่อมต่อรถไฟจากประเทศลาวและประเทศจีน และเชื่อมต่อจากปาดังเบซาร์ไปยังประเทศสิงคโปร์ โครงการรถไฟรางคู่ นอกจากนั้นระบบขนส่งที่จะพัฒนาเพิ่มเติมคือโมโนเรล อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม  

 

 

3. ปฏิรูปงานราชการและภาครัฐผ่านการใช้เทคโนโลยียกระดับงานบริการให้กับประชาชน นอกจากนั้นยังปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ รวมถึงเชื่อมโยงกลุ่มสตาร์ทอัพเข้ากับงานภาครัฐ

 

4. นโยบายปฏิวัติเขียวเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมของไทยให้มีบทบาทในเวทีโลก อาทิ ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางหรือส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ต่อยอดและพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์อุตสาหกรรมอาหาร เชื้อเพลิง ยา อาหารเสริม เวชสำอาง รวมถึงบรรจุภัณฑ์ ทั้งนี้การพัฒนาอุตสาหกรรมจะปรับกองทุนที่มีอยู่

 

5. ยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่คำนึงถึงประเพณี ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยวางเป้าเศรษฐกิจของประเทศเติบโตเกิน 5% นอกจากนั้นจะใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับแต่ละพื้นที่ผ่านการสร้างศูนย์อบรมและให้ความรู้กับประชาชน ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และการชมภาพยนตร์

 

 

6. สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่และส่งเสริมเกษตรกรแบบสมาร์ทฟาร์ม เพื่อให้เป็นศูนย์รวมหรือสหกรณ์ที่รวมปัจจัยด้านการผลิตยุคใหม่ที่ทันสมัย เช่น รถไถ โรงบ่ม ที่กระจายอยู่ในพื้นที่เพื่อยกระดับภาคเกษตรกรให้เป็นจุดเปลี่ยนของเศรฐกิจไทย ขณะเดียวกันศูนย์รวมด้านเกษตรกรจะช่วยส่งเสริมด้านการตลาดและต่อยอดธุรกิจด้านการเกษตร

 

7. ปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์ประกาศให้เป็นปีแห่งการแก้หนี้ 3 ประเภทคือ 1.หนี้เกษตรกร จะปรับแนวทางของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ไม่ยึดที่ดินทำกินของเกษตรกร ซึ่งเข้าโครงการแก้ปัญหาหนี้ระบบ โดยความร่วมมือจาก 4 ธนาคารของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ธกส. เพื่อนำหนี้นอกระบบกลับเข้าสู่ระบบ เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ร่วมโครงการ 8 แสนราย, จัดโครงการหมอหนี้ เพื่อให้คำปรึกษากับประชาชนทุกหมู่บ้าน, แก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิตผ่านกฎหมาย ซึ่งพรรคยกร่างพระราชบัญญัติบัตรเครดิตเสร็จแล้ว และเตรียมนำเสนอสู่สภาฯ ทันที

 

8. จัดโครงการสร้างเงินออมให้ประชาชน อาทิ ให้บริษัทเอกชนที่มีพนักงานเกิน 5 คนขึ้นไปมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและมีโครงการเงินออมเพื่อประชาชนผ่านการจ่ายเงินเดือนละ 100 บาท

 

9. ปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงเก็บภาษีจากกลุ่มธุรกิจข้ามชาติ นอกจากนี้ยังประกาศให้ปี 2562 เป็นปีแห่งการแก้หนี้

 

ขณะที่แนวทางที่ 10 ซึ่งเกี่ยวกับการเมืองสุจริตนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าจะเตรียมเปิดก่อนวันที่ 24 มีนาคมแน่นอน เพราะปัญหาคอร์รัปชันเชื่อมโยงในทุกระบบของประเทศ

 

 

ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การใช้งบประมาณตามนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่นำเสนอจะใช้เงินที่เพิ่มจากงบประมาณจำนวน 3.9 แสนล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2563 พรรคประเมินว่าจะมีวงเงินงบประมาณโดยรวม 2.7 ล้านล้านบาท โดยมีรายจ่ายโดยรวม 2.9 ล้านล้านบาท ดังนั้นตามนโยบายของพรรคเพื่อแก้จนและสร้างคนจะต้องใช้เงินรวม 5.9 แสนล้านบาท ซึ่งตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องสามารถทำได้โดยไม่ขัดกับกฎหมาย

 

นายกรณ์กล่าวด้วยว่าสำหรับรายได้ที่พรรคจะจัดหาคือ ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของรัฐบาล, ทบทวนรายจ่ายของรัฐบาล เช่น งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันตั้งงบไว้จำนวน 9 หมื่นล้านบาท จะปรับลด 5 หมื่นล้านบาท รวมถึงทบทวนความซ้ำซ้อนด้านนโยบาย ทั้งนี้สิ่งที่อยากจะเน้นย้ำคือการปฏิรูประบบภาษีให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยผู้มีรายได้สูงและมีที่ดินต้องเสียภาษีที่ดินหรือทรัพย์สินที่ดินตามการประเมินราคาตลาดที่แท้จริง รวมถึงจะเก็บภาษีจากธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลจะปรับให้เป็นธรรมคือลดลง โดยบุคคลที่มีเงินได้ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อปีจะเสีย 20% ขณะเดียวกันก็จะส่งเสริมด้านการออม ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง พรรคจะขยายฐานภาษีเพื่อให้ธุรกิจเติบโต และจะลดการเก็บภาษีให้เหลือเพียง 10% ขณะที่กลุ่มธุรกิจข้ามชาติที่ได้รับผลประโยชน์จากเทคโนโลยีในธุรกิจประเภทใหม่ต้องเสียภาษีการค้า และภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนประชาชนที่มีรายได้น้อย พรรคเตรียมทำนโยบายด้านสวัสดิการขั้นพื้นฐานถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน

 

ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์กล่าวสรุปตอนท้าย โดยเชื่อว่านโยบายที่นำเสนอจะเป็นจุดเปลี่ยนให้ประเทศได้ ยืนยันว่านโยบายของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น และพร้อมทำต่อเนื่องจากสิ่งที่เคยทำ โดยสาระสำคัญคือสร้างโอกาสเศรษฐกิจให้ประชาชนทุกภูมิภาค ยกระดับการบริหารงานภาครัฐ และปฏิรูประบบการทำงานผ่านเทคโนโลยี

 

 

ภาพ: พรรคประชาธิปัตย์

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising