นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำเอกสารราชการลงวันที่ 13 มีนาคม 2562 ลงนามโดย นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เรื่อง ขอเชิญร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ เดินทางมาตรวจราชการและเยี่ยมเยียนประชาชนที่ประสบภัยจากพายุโซนร้อนปาบึก ที่ทำถึงหัวหน้าส่วนราชการส่วนภูมิภาค หัวหน้าส่วนราชการส่วนกลาง หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกส่วนราชการ มีเนื้อหาเชิญเข้าร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรี และคณะที่จะเดินทางไปจังหวัดนครศรีธรรมราชในวันนี้ (18 มีนาคม 2562) พร้อมแนบร่างกำหนดการ รวมถึงยังมีบัญชีมอบหมายภารกิจเชิญกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรม ‘งานมหกรรม มอบความสุข สร้างอาชีพ เสริมรายได้ หลังภัยปาบึก’
มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเกณฑ์คนไปต้อนรับนายกรัฐมนตรีและคณะที่จะเดินทางไปตรวจราชการ ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด) จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีการตั้งเป้าหมายระดมคนให้ได้ 20,000 คน จากทั้งหมด 13 อำเภอ ซึ่งมีรายละเอียดบัญชีมอบหมายภารกิจในแต่ละอำเภออย่างชัดเจนว่า จะให้จัดคนจำนวนเท่าไร เช่น อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช 3,500 คน ปากพนัง 1,500 คน และทุ่งสง 1,200 คน เป็นต้น มาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่า ไม่ได้มีแค่การระดมคนให้ไปต้อนรับนายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ ที่จังหวัดแพร่ ตามเอกสารที่ปรากฏก่อนหน้านี้เท่านั้น
แต่ทราบมาว่า ช่วง 7 วันก่อนเลือกตั้ง จะมีการเกณฑ์คนไปต้อนรับนายกรัฐมนตรีทุกพื้นที่ที่อ้างว่าไปตรวจราชการ เช่น ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชตามเอกสารที่ได้นำมาเผยแพร่ มีการระบุกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเกณฑ์มากถึง 20,000 คน ผิดวิสัยของการไปตรวจราชการตามปกติ อีกทั้งยังมีการจัดเวทีในลักษณะให้นายกรัฐมนตรีปราศรัยกับประชาชนไม่แตกต่างจากเวทีปราศรัยของพรรคการเมือง เพียงแต่หลีกเลี่ยงไม่ มีชื่อพรรคการเมืองอยู่บนเวทีเท่านั้น
พฤติกรรมเช่นนี้ กกต. ต้องตรวจสอบ เพราะ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองด้วย การกระทำเช่นนี้เข้าข่ายใช้เวลาราชการ ทรัพยากรของรัฐ และงบประมาณของรัฐ เพื่อการหาเสียงแอบแฝงช่วยพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือไม่ เนื่องจากในขณะนี้พรรคพลังประชารัฐหาเสียงว่าให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้ พล.อ. ประยุทธ์ ทำงานต่อ จึงแยกไม่ออกระหว่างภารกิจของรัฐบาลกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้ อีกทั้งคะแนนนิยมในตัว พล.อ. ประยุทธ์ ผ่านการใช้กลไกราชการครั้งนี้ จะมีผลในเชิงบวกโดยตรงกับพรรคพลังประชารัฐ การกระทำของ พล.อ. ประยุทธ์ จึงอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 78 ที่ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
แม้จะมีข้อยกเว้นมิให้หมายความรวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่พึงต้องปฏิบัติในตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม แต่การใช้ราชการเกณฑ์คนเพื่อไปต้อนรับนายกรัฐมนตรีและคณะตามรายละเอียดข้างต้น เป็นการกระทำที่เกินกว่าวิสัยการปฏิบัติหน้าที่ปกติ อีกทั้งเป็นช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีส่วนได้ส่วนเสียกับพรรคพลังประชารัฐด้วย จึงเป็นเรื่องที่ กกต. ต้องเร่งตรวจสอบ และชี้ขาดว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ และหยุดยั้งพฤติกรรมนี้ก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง มิเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อหลักการจัดเลือกตั้งที่ต้องเสรีและเป็นธรรม ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต ให้มีผู้นำมาเป็นเหตุโต้แย้งไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตามมา ซึ่ง กกต. สามารถพิจารณาเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีผู้ร้อง เพราะเมื่อเรื่องนี้เผยแพร่สู่สาธารณะก็ถือว่าความปรากฏต่อ กกต. แล้วเหมือนกับที่ กกต. มีมติให้สำนักงาน กกต. ตั้งคณะกรรมการไต่สวนกรณีแกนนำอดีตพรรคไทยรักษาชาติรณรงค์โหวตโนและเทคะแนนให้ผู้สมัครพรรคการเมืองอื่น หาก กกต. ไม่ดำเนินการก็จะถูกกล่าวหาว่าสองมาตรฐาน และจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของประชาชน
“ผมอยากเรียน กกต. ทั้ง 7 ท่าน อย่าเอาเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ท่านมีมาเสี่ยง โดยขอให้ดูบทเรียน กกต. ยุคสามหนาห้าห่วงที่ต้องติดคุก 2 ปี จากการประวิงเวลาคดีที่พรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งมาเป็นอุทาหรณ์ การปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. ต้องเป็นไปโดยอิสระและเที่ยงธรรม ตรวจสอบทุกพรรคอย่างเท่าเทียม ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาถูกดำเนินคดีอาญา แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ จะทำให้บ้านเมืองเสียหายเกินกว่าจะเยียวยาได้” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายเชาว์ยังฝากถึงนายกรัฐมนตรีด้วยว่า หากไม่มีส่วนรู้เห็น ต้องรีบระงับยับยั้ง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ถ้าปล่อยปละละเลยก็แสดงว่ารู้เห็นเป็นใจ ซึ่งกำหนดการที่จะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดตากในวันที่ 19 และฉะเชิงเทราในวันที่ 20 มีนาคม เชื่อได้ว่าจะมีผู้ไปต้อนรับเป็นจำนวนมาก ไม่ต่างจากที่เชียงราย แพร่ และนครศรีธรรมราช เพราะมาจากการใช้กลไกราชการเกณฑ์ประชาชนเหมือนกัน จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีพึงระลึกไว้ด้วยว่า คนที่เดินทางมาจำนวนมาก ไม่ได้สะท้อนถึงคะแนนนิยมในตัวท่านโดยธรรมชาติ แต่เป็นการจัดตั้ง เพราะไม่เช่นนั้นอาจหลงระเริงกับการปั้นแต่ง จนมองไม่เห็นความจริง ซึ่งจะเป็นภัยต่อตัวท่านในที่สุด
นายเชาว์กล่าวด้วยว่า นอกจากจะพบปัญหาการใช้ข้าราชการเป็นเครื่องมือในการเกณฑ์ประชาชนแล้ว ยังพบปัญหาการเก็บบัตรประชาชนในหลายพื้นที่ ไม่เว้นแม้กระทั่งในกรุงเทพฯ โดยมีข้าราชการทหาร ตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะที่ กกต. ในแต่ละพื้นที่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ การทำการเมืองเช่นนี้ ไม่แตกต่างอะไรกับพรรคไทยรักไทยในระบอบทักษิณที่เคยทำในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลไกราชการเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ ไปจนถึงการดูดอดีต ส.ส. จากหลายพรรคการเมืองไปไว้ในสังกัด ไม่เว้นแม้กระทั่งอดีตนักการเมืองที่มีปัญหาเรื่องทุจริต ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถปฏิรูปการเมืองได้แล้ว ยังทำให้การเมืองถอยหลังเข้าคลองกลับสู่ยุคทำทุกอย่างเพื่ออำนาจโดยไม่สนความถูกต้องและกฎหมาย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล