THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

แม้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น แต่ ‘ไทย’ ยังต้องจับตาภาคการผลิตและส่งออก

... • 5 มิ.ย. 2024

HIGHLIGHTS

  • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกอ่อนตัวลงในช่วงกลางต่อเนื่องไปช่วงปลายสัปดาห์ ความกังวลดอกเบี้ยยังคงยืนสูงต่อเนื่อง หลังความเห็นของเจ้าหน้าที่ Fed ที่ออกมาในมุม Hawkish เป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลงหลังกระแส AI ชะลอตัวลง และสหรัฐฯ ชะลอการส่งออกชิปของบริษัท NVIDIA และ AMD ไปยังตะวันออกกลาง เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับจีน 
  • IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจจีนขึ้นจาก 4.6% เป็น 5.0% เป็นผลจากไตรมาสที่ 1 ที่ขยายตัวแข็งแกร่ง รวมถึงผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้ประกาศ 
  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงจีนดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ประกาศ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ IMF ในส่วนของไทยตัวเลขเศรษฐกิจเบื้องต้นในเดือนเมษายนก็บ่งชี้การฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน ทั้งภาคการส่งออกและภาคการผลิต ทั้งนี้ ต้องจับตาว่าจะยั่งยืนหรือไม่

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกอ่อนตัวลงในช่วงกลางต่อเนื่องไปช่วงปลายสัปดาห์ แม้ เศรษฐกิจโลก ดีขึ้น ความกังวลดอกเบี้ยยังคงยืนสูงต่อเนื่องหลังความเห็นของเจ้าหน้าที่ Fed ที่ออกมาในมุม Hawkish เป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลง หลังกระแส AI ชะลอตัวลง และสหรัฐฯ ชะลอการส่งออกชิปของบริษัท NVIDIA และ AMD ไปยังตะวันออกกลาง เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับจีน 

 

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยกดดันจากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ​ ที่เริ่มชะลอตัวลง สะท้อนผ่าน Fed Beige Book และประมาณการ GDP 1Q24 ที่ถูกปรับลดลง บ่งชี้การเติบโตที่เริ่มชะลอจากกำลังซื้อและการใช้จ่ายที่ชะลอตัวลง หักล้างตัวเลข PMI สหรัฐฯ และยุโรปที่ฟื้นตัวสะท้อนการเติบโตมากขึ้นในระยะถัดไป 

 

ด้าน IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจจีนขึ้นจาก 4.6% เป็น 5.0% เป็นผลจากไตรมาสที่ 1 ที่ขยายตัวแข็งแกร่ง รวมถึงผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้ประกาศ 

 

ด้านตลาดหุ้นฝั่ง EM ปรับตัวลดลงเช่นกัน จากตัวเลขภาคการผลิตและบริการของจีนออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่วนตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากแรงกดดันตลาดหุ้นโลก รวมถึงปัจจัยความกังวลด้านการเมืองในประเทศ 

 

ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากความคาดหวังการต่ออายุการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจของกลุ่ม OPEC+ ในการประชุมที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน

 

เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวชัด แต่ ‘ไทย’ ยังถูกจับตา

 

ตัวเลขเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียงกันมากขึ้น เห็นได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมเบื้องต้น (Flash Composite PMI) เดือนพฤษภาคม ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และยูโรโซน (โดยเฉพาะในเยอรมนี) ญี่ปุ่น และเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่นๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของ Global Synchronize Growth ได้อีกครั้ง 

 

ทั้งนี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงจีนดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ประกาศ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ IMF ที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจจีนขึ้นจาก 4.6% เป็น 5.0%

 

นอกจากนั้นในส่วนของไทย ตัวเลขเศรษฐกิจเบื้องต้นในเดือนเมษายนก็บ่งชี้การฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน ทั้งภาคการส่งออกและภาคการผลิต ทั้งนี้ ต้องจับตาว่าจะยั่งยืนหรือไม่

 

ภาพเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวในสหรัฐฯ ประกอบกับสัญญาณจาก Fed ที่ยังคงดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง (Higher for Longer) ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสูงต่อเนื่อง โดยพันธบัตรระยะยาวอยู่ใกล้เคียงกับระดับที่เราเคยมองไว้ที่ 4.5-4.6% 

 

โดยเรามองว่า ในระยะต่อไปผลตอบแทนจะอยู่ในระดับเช่นนี้อีกระยะหนึ่งจาก 

  • การขาดดุลการคลังในระดับสูง โดย IMF คาดว่าจะขาดดุลในระดับ 5% ต่อ GDP ในปีนี้ จาก 7.7% ในปีก่อน 
  • ดอกเบี้ย Fed ที่อยู่สูง ทำให้เป็นการดึงสภาพคล่องของพันธบัตรระยะสั้น และลามสู่ระยะยาว 
  • การที่ Fed ลดทอนการทำ QT

 

ทั้งนี้ การลดการขายพันธบัตรจาก 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เป็น 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จะเป็นการคุมผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวไม่ให้ขึ้นสูงขึ้นมากหรือลดลงมาก

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

  1. หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เลือก KCE, SCGP, PTTGC
  2. หุ้นที่คาดว่าใน 2Q24 กำไรจะยังสามารถเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก ICT (ADVANC), TOURISM (MINT) และ FOOD (TU, BTG, OSP)
  3. สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และสนใจหุ้น Small Cap. คาดกำไรจะเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ และ Valuation ไม่แพง อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก AMATA, AU, KLINIQ, TPAC, TNP
  4. หุ้นที่สามารถลดความผันผวนและเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลาง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP

 

“ช่วงสั้นมอง SET ยังเปราะบางและแกว่งตัวในกรอบ โดยในประเทศยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ และมีปัจจัยการเมืองกดดันบรรยากาศลงทุน ทำให้ดัชนี SET จะยังมีแนวโน้ม Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค อย่างไรก็ดีคาดหวังผลประกอบการของ บจ.ไทย ที่จะเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ 2Q24 และปัจจัยต่างประเทศสัปดาห์หน้าจะเป็นบวก อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคมของจีนและสหรัฐฯ​ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น หลังมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง และการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ในวันที่ 6 มิถุนายน จะเริ่มมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก” 

 

เหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้

 

  1. การประชุมนโยบายการเงินของ ECB ตลาด และ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 3.75% 
  2. เงินเฟ้อของไทยเดือนพฤษภาคม เราคาด 1.5% จากเดือนก่อนที่ 0.2% หลังหมดมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานของรัฐบาล 
  3. ตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตร ตลาดคาด 1.5 แสนตำแหน่ง จาก 1.75 แสนตำแหน่งอัตราว่างงาน ตลาดคาดทรงตัวที่ 3.9% และตำแหน่งงานเปิดใหม่ ตลาดคาด 8.4 ล้านตำแหน่งจาก 8.44 ล้านในเดือนก่อน

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: TU - กำไรเริ่มแข็งแกร่ง Downside จำกัด

 

แนะนำ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU เนื่องจากเหตุผลหลักดังนี้

 

  • ผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกภายใต้แบรนด์ระดับโลก เช่น Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ในไทย เช่น ซีเล็ค, ฟิชโช, คิวเฟรช, โมโนริ, เบลลอตต้า และมาร์โว่ โดยมียอดขายจากสหรัฐฯ 41%, ยุโรป 30%, ไทย 12% และอื่นๆ 17%
  • โมเมนตัมกำไร 2Q64 แข็งแกร่ง โดยคาดเพิ่มขึ้น QoQ จากผลฤดูกาล และ YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น นำโดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ต้นทุนปลาทูน่าที่แท้จริงลดลงท่ามกลางราคาผลิตภัณฑ์ OEM ที่ดีขึ้น) และส่วนหนึ่งเกิดจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง อีกทั้งไม่มีผลขาดทุนจาก Red Lobster
  • มองราคาหุ้นมี Downside จำกัด จากที่มีโครงการซื้อหุ้น (ตั้งแต่ 20 กุมภาพันธ์ - 30 มิถุนายน 2024) ช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ปรับลงแรง ขณะที่ Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบัน ซื้อขายที่ PER 2024F ที่ 13.1 เท่า ต่ำกว่า -1SD ของ PER เฉลี่ย 10 ปีที่ 16 เท่า
  • เราประเมินราคาเป้าหมายปี 2024 ที่หุ้นละ 18 บาท (อิงวิธี PE 16 เท่า) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2024 หุ้นละ 0.70 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 4.7%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

ผลประกอบการกลุ่ม PC อย่าง Dell, Lenovo และ HP ออกมาดีกว่าคาดและฟื้นตัวกลับมาเป็นบวก ทั้งนี้กลุ่มยังมองความต้องการ PC จะฟื้นตัวในปี 2024 เช่นเดียวกันกับที่บริษัทค้าปลีกอย่าง Best Buy เห็นความต้องการ PC ในร้านที่แกร่งขึ้น และเตรียมนำสินค้าเข้ามาใหม่ใน 2H24 ประกอบกับด้วยภาพการปรับประมาณการณ์งบขึ้น รวมถึงแนวโน้มความต้องการ AI PC ที่ดูดี ด้วยภาพนี้ทำให้เราแนะลงทุนกลุ่ม PC เพื่อคาดหวังการฟื้นตัวปี 24

 

  • Lenovo เผยงบ 3Q24 ดีกว่าคาดและเติบโต โดยรายได้โต 9.5%YoY และกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 1x หลังอุปสงค์ AI ที่โตดี ช่วยหนุนให้ 1. PC AI เติบโตดีและฟื้นตัว 2. กลุ่มโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานโตและมีรายได้สูงสุดเท่าที่เคยมีมา 3. โซลูชันบริการเติบโตหลังการลงทุน AI เพิ่ม
  • HP เผยงบ 2Q24 ฟื้นตัวดีกว่าคาด ซึ่งภาพรวมมีแรงหนุนจากรายได้ PC ที่ฟื้นตัวและพลิกกลับมาเติบโตเป็นบวก 3%YoY นอกจากนี้คาดยอดขาย PC จะฟื้นตัวในปี 24 หนุนจาก Windows 11 และ PC AI ซึ่งคาดว่ามีสัดส่วนรายได้ราว 10% ของรายได้รวม
  • Dell Technologies เผยว่างบดีกว่าคาด และปรับเพิ่มคาดการณ์ทั้งปีขึ้น นอกจากนี้คาดว่ายอดขายเซิร์ฟเวอร์ AI มากกว่า 2 เท่าของไตรมาสก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ดีตลาดคาดว่าจะเติบโตสูงกว่านี้จึงทำให้ราคาหุ้นลงแรง

 

หากตัดความคาดหวังตลาดออก เรามองว่าภาพงบกลุ่ม PC สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวที่ดีโดยมีรายได้ที่เติบโตกลับมาเป็นบวกแล้ว นอกจากนี้เราเชื่อว่าแนวโน้มการฟื้นตัวในปี 2024 ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องหลัง 

 

  1. ความต้องการ AI มีแนวโน้มโตดี ซึ่งภาพนี้จะช่วยให้ยอดขาย PC AI เพิ่มขึ้นและเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยเร่งการฟื้นตัวให้เร็วขึ้น 
  2. ภาพการออกสินค้าใหม่ที่จะช่วยหนุนการเติบโต ซึ่งบริษัทค้าปลีกอย่าง Best Buy ก็เห็นความต้องการ PC ในปีนี้ที่แกร่งและเตรียมนำสินค้าเข้ามาใหม่ใน 2H24 เพิ่ม 
  3. การปรับเพิ่มคาดการณ์ที่สะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี 

 

ด้วยภาพนี้ ทำให้เราแนะนำให้ลงทุนในกลุ่ม PC เพื่อคาดหวัง Upside จากการฟื้นตัวในปีนี้ โดยเราแนะนำว่าให้มอง Dell, Lenovo ที่มี Risk Reward ดี

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด/สภาพคล่อง 

 

สินทรัพย์สภาพคล่อง/เงินสด มีแนวโน้มให้อัตราผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่สูง โดยเฉพาะสหรัฐฯ หลัง GDP ใน 1Q24 สหรัฐฯ ประมาณการครั้งที่ 2 อยู่ที่ +1.3%QoQ ต่อปี ชะลอลงจากประกาศครั้งแรก 

 

นอกจากนี้ สภาพคล่อง/เงินสด มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆ (โดยเฉพาะสหรัฐฯ) กับจีน และข้อพิพาทบริเวณช่องแคบไต้หวัน

 

ตราสารหนี้/เงินฝากระยะยาว

 

2Y UST และ 10Y UST Yield แตะระดับ 4.9% และ 4.6% สูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจาก 1. Consumer Confidence Index กลับมายืนเหนือ 100 อีกครั้ง 2. จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกต่ำกว่าคาด นอกจากนี้ Flash Composite PMI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม มีความแข็งแกร่ง โดยดีดตัวเป็น 54.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 25 เดือน เมื่อรวมเข้ากับท่าที Hawkish จากรายงานการประชุม FOMC ทำให้ตลาดได้เลื่อนคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกเป็นเดือนธันวาคม

 

Real Yield ในปัจจุบันมีความน่าสนใจในการถือเพื่อรับ Income และมีความคุ้มค่าที่จะถือ เพื่อ Hedge ในกรณีที่เกิด ‘Growth Shock’ (เศรษฐกิจโตต่ำกว่าคาด)

 

US Treasury & IG

 

รายงานการประชุม FOMC สอดคล้องกับความเห็นของสมาชิก Fed ที่ออกมาให้ความเห็นก่อนหน้านี้ ว่าอาจใช้เวลามากกว่าที่คาดที่จะยืนยันว่าเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้เป้าหมายของ Fed ที่ 2% อย่างมีเสถียรภาพ และยังยึดกับวิธี ‘Data Dependent’ ในการตัดสินใจว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายเมื่อไร 

 

Yield ตัวยาวปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตัวสั้น ทำให้ Yield Curve พันธบัตรรัฐบาลปรับลดความชันลง ขณะที่ TGB Yield Curve ทรงตัวต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ที่ 6 ส่วน Spread ของ IG ยังทรงตัวตามคาด หลังซัพพลายใหม่ยังชะลอตัว 

 

ด้านอัตราผลตอบแทนยังน่าสนใจ โดยเราชอบในส่วนของ Duration อายุ 2-4 ปี จากการที่ Fed อาจลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด และ Inverted Yield Curve  

 

High Yield Bond

 

US HY Yield-to-Worst และ HY Spreads ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก และยังคงอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 เราคาดการณ์ว่า Spread ของ HY จะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น และซัพพลายของการรีไฟแนนซ์ที่จะเริ่มออกมาในช่วงปลายปี 2024

 

สินทรัพย์ผสม/กึ่งหนี้กึ่งทุน/REIT

 

ในสภาวะที่ Spread ของ Public Credit (อย่างเช่น IG และ HY) ค่อนข้างแคบ การเพิ่ม REIT จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนในรูปกระแสเงิน (Income Return) ให้กับพอร์ตโฟลิโอได้ในระยะกลางถึงยาว และเป็นการเพิ่ม Diversification ให้กับพอร์ตโฟลิโอจากความสัมพันธ์ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์อื่นต่ำ 

 

สินทรัพย์ผสมช่วยลดความผันผวน เนื่องจากการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน และช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอกที่มีต่อสินทรัพย์ที่ถือครอง

 

US REITs

 

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ US REITs จาก 1. Valuation ที่ไม่แพง โดยมี PBV ที่บริเวณ 2.0x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่บริเวณ 2.3x และ 2. กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NOI) ที่เติบโตขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง 2Q21 ทั้งนี้ในช่วง 1Q24 US REITs มี Same-Store NOI Growth ที่ราว 3.2% 

 

อย่างไรก็ตาม 10Y UST Yield ที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น และความกังวลว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด ส่งผลให้ US REITs มี Yield Spread ที่ติดลบ กดดันความน่าสนใจลงทุนในระยะสั้น 

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

Fed ได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการชะลอการทำ QT แต่มีท่าที Hawkish บนข้อมูลของตัวเลขเงินเฟ้อ ทำให้เกิดความผันผวนต่อตลาดในช่วงสั้น / ภาพรวมของการประกาศกำไรใน 1Q24 ของทั้งสหรัฐฯ และยุโรปออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ค่อนข้างมาก ขณะที่จำนวนบริษัทที่ให้ Positive Guidance ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และกำไรของตลาดหุ้นในยุโรปกลับมาเป็นบวก QoQ ครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส 

 

นโยบายการเงินของ BOJ ถึงแม้ตึงตัวขึ้น แต่ยังน้อยกว่าตลาดคาด การกลับมาของเงินเฟ้อในญี่ปุ่นสนับสนุนการเติบโตของกำไรในระยะกลางถึงยาว ถึงแม้ GDP ใน 1Q24 อาจหดตัวมากกว่าคาด 

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

กำไรในกลุ่ม Magnificent 7 โดยภาพรวมทำจุดสูงสุดใหม่ (ยกเว้น Tesla ที่กำไรลดลง) นำโดยหุ้น NVIDIA ที่เติบโตในระดับ Triple Digit ส่งผลให้ประกาศกำไรของบริษัทจดทะเบียนใน 1Q24 ออกมาดีกว่าคาดการณ์ไว้ก่อนการประกาศงบฯ และเริ่มเห็นการขยายตัวของกำไรกระจายตัวสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ จากที่เคยกระจุกตัวอยู่ใน IT Consumer Service และ Consumer Discretionary 

 

การเร่งตัวของกำไรรายไตรมาสจะเป็นตัวประคอง Valuation ของตลาดฯ

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดหุ้นยุโรปยังมี Valuation ที่ไม่แพง และได้แรงหนุนจากทยอยลดดอกเบี้ยของ ECB ขณะที่ EPS มีแนวโน้มถูกปรับดีขึ้น ตามโมเมนตัมเศรษฐกิจยุโรปที่ดีขึ้น โดยกลุ่มที่มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงและมีงบดุลที่ดี แม้ว่าข้อพิพาททางการค้ากับจีน โดยเฉพาะความเสี่ยงการขึ้นภาษีนำเข้ารถตอบโต้กัน อาจกดดัน Sentiment โดยรวมก็ตาม

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

เราคาดว่า กลุ่ม Value ญี่ปุ่นมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการปฏิรูปธรรมาภิบาลของ TSE ที่จะหนุนการซื้อหุ้นคืนและจ่ายปันผล นอกจากนี้กลุ่มฯ ยังมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากการลดการผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้นของ BOJ เช่น การทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อ และการส่งสัญญาณลดการเข้าซื้อพันธบัตรญี่ปุ่น ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

การเติบโตของ Global GDP ในปี 2024 ถูกปรับประมาณการณ์ขึ้นทั้งฝั่ง US ยุโรป จีน และ EM ex-China อย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี สนับสนุนการขยายตัวของการค้าโลก และส่งผลให้หุ้น Value และหุ้นที่เกี่ยวกับ Commodity-Link ที่มีอยู่มากในหุ้นกลุ่ม EM มีความน่าสนใจมากขึ้น โดย Valuation ของกลุ่ม EM ถูกกว่า DM ทั้งในแง่ของ FWD P/E และ PBV และกำไรเติบโตมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ PMI และ GDP ของฝั่งตลาด EM มีภาพของการขยายตัวที่สูงกว่าตลาด DM  

 

เราคาดว่า การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐได้สะท้อนความเสี่ยงด้านนโยบายธนาคารกลางที่อาจลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดไปพอสมควร โดยความเสี่ยงที่ยังต้องจับตาคือ นโยบายทางการเมืองของการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่มีการมุ่งเน้นเรื่องการตั้งกำแพงภาษี และมีแนวโน้มในการกำหนดข้อจำกัดทางการค้ากับตลาดทางฝั่ง EM Asia มากขึ้น

 

หุ้นอินเดีย

 

ปัจจัยผลักดันการเติบโตกำไรในระยะยาว ได้แก่ 1. รัฐบาลเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2. โครงสร้างประชากรที่มีชนชั้นกลาง ขยายตัวอย่างรวดเร็ว 3. การฟื้นตัวของการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงงบดุลของบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีช่องว่างให้สามารถระดมทุนได้อีกมาก หลายอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสนับสนุนกำลังเข้าสู่ช่วง ‘New S-Curve’ เช่น ภาคการผลิตที่ได้รับการสนับสนุนจาก PLI Scheme กลุ่ม Internet และ Technology Service ที่ได้ประโยชน์จากอัตราการเข้าถึงสมาร์ทโฟนที่สูง ต้นทุนการใช้งาน Data ที่ต่ำ อัตราการใช้ Digital Payment ที่สูง ระบบขนส่งและโครงสร้างทางดิจิทัลที่พัฒนาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว สนับสนุนการทำธุรกรรมออนไลน์และธุรกิจ Innovation 

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงพักฐานในระยะสั้น หลังปรับขึ้นมารวดเร็วบนความกังวลของสงคราม อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนการถือครองทองคำในพอร์ตระยะยาว เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และความเสี่ยงจากภาวะสงครามที่รุนแรงได้ ประกอบกับเริ่มมีความกังวลประเด็นหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูงเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งประเทศหลักๆ ที่มีความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ได้กระจายความเสี่ยงโดยลดการถือเงินดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศ และมีความต้องการสะสมทองคำมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะกลาง-ยาว

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 5 มิ.ย. 2024

READ MORE



Latest Stories