THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
thai-defensive-stock-ideas
EXCLUSIVE CONTENT

คาด กนง. หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.5% สัปดาห์นี้ สกัดเศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อต่ำ

... • 24 มิ.ย. 2025

HIGHLIGHTS

  • ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลดลงจากความกังวลสงครามอิสราเอล-อิหร่านที่ยังคงต่อเนื่อง หลังเริ่มขึ้นปลายสัปดาห์ก่อน และยังไม่มีทีท่ายุติอย่างชัดเจน ล่าสุดสหรัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าร่วมสงครามด้วย
  • ผลการประชุม FOMC ในวันที่ 17-18 มิ.ย. คณะกรรมการมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยในกรอบ 4.25-4.50% ตามที่ตลาดคาด
  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า Fed จะคงดอกเบี้ยตลอดปี 2025 ขณะที่อาจต้องจับตาสถานการณ์ความเสี่ยงต่าง ๆ มากขึ้น
  • สำหรับการประชุม กนง. ในสัปดาห์นี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.5% เนื่องจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลดลงจากความกังวลสงครามอิสราเอล-อิหร่านที่ยังคงต่อเนื่อง หลังเริ่มขึ้นปลายสัปดาห์ก่อน และยังไม่มีทีท่ายุติอย่างชัดเจน ล่าสุดสหรัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าร่วมสงครามด้วย ด้านการประชุม FOMC ในวันที่ 17-18 มิ.ย. คณะกรรมการมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยในกรอบ 4.25-4.50% ตามที่ตลาดคาด

 

แต่ภาพ Stagflation เพิ่มขึ้น จากประมาณการเศรษฐกิจของ Fed ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวน้อยลง เงินเฟ้อสูงขึ้น และอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยรวม Fed ยังคงท่าที “Wait and see” แม้ Dot Plot จะยังคงมองลด 2 ครั้งในปีนี้ แต่จำนวนเสียงการไม่ลดดอกเบี้ยเลยเพิ่มขึ้น

 

ด้านตัวเลขยอดขายปลีกสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว โดยหดตัว -0.9% MoM ต่ำกว่าตลาดคาด ฝั่ง BoE และ BoJ คงดอกเบี้ยตามคาด โดย BoJ ยังคงแนวทางลดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) อย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

ตลาดหุ้น EM ปรับลงจากความกังวลสงครามเช่นกัน อีกทั้งรัฐบาลจีนยังมีท่าทีที่จะปรับลดมาตรการสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่กิจกรรมเศรษฐกิจจีนเดือน พ.ค. ในส่วนของการบริโภคได้รับแรงหนุนชั่วคราวจาก “เทศกาลช้อปปิ้ง 618” ที่เริ่มเร็วกว่าปกติ แต่ในภาคส่วนอื่นชะลอตัว

 

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงต่อเนื่อง จากความกังวลปัจจัยการเมืองในประเทศ หลังจากสมเด็จฮุนเซนเผยแพร่การบันทึกเสียงการสนทนาส่วนตัวกับนายกฯ การถอนตัวจากรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย และนำไปสู่การเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก/ยุบสภา ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกินกว่า 10% WoW เข้าใกล้ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจากเหตุสงครามในตะวันออกกลาง

 

คาด กนง. ลดดอกเบี้ยไทยเหลือ 1.5%

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า Fed จะคงดอกเบี้ยตลอดปี 2025 ขณะที่อาจต้องจับตาสถานการณ์ความเสี่ยงต่างๆ มากขึ้น ทั้ง 1. สถานการณ์ตะวันออกกลางที่ทาง Fed จับตาดูแต่ไม่กังวลมาก เนื่องจากสหรัฐฯ พึ่งพาน้ำมันจากภูมิภาคนี้น้อยกว่าในอดีต 2. สถานการณ์ตลาดแรงงานที่ low hiring, low firing แต่เศรษฐกิจและการจับจ่ายเริ่มมีแนวโน้มลดลง (วัดจากยอดค้าปลีกล่าสุดที่หดตัวแรงขึ้นที่ -0.9% MoM) และ 3. การ build up ของเงินเฟ้อในอนาคตจากผลของสงครามการค้า ทำให้ Fed ยังคงเปิดโอกาสปรับนโยบายได้หากเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านเงินเฟ้อ หรือเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนยังอยู่ในระดับสูง

 

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ในกรณีฐาน เรามองว่าอิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีเล็กน้อยและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันหรือฐานทัพสหรัฐฯ และไม่ได้ปิดช่องแคบเฮอร์มุซ อาจเป็นเพียงการยิงโดรนหรือขีปนาวุธที่ถูกสกัดกั้นได้ง่ายในลักษณะที่เคยทำ ด้านการเจรจาต่อรองประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง โดยการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านกลับมาเดินหน้าอย่างจริงจัง และอาจนำไปสู่ข้อตกลงใหม่ที่จำกัดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทั้งนี้ต้องติดตามการเข้ามาแทรกแซงของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด

 

สำหรับการประชุม กนง. ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.50% เนื่องจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากสงครามการค้าโลก ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย การปล่อยสินเชื่อที่หดตัว คุณภาพสินเชื่อที่แย่ลง และภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัว

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

  1. หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำ สามารถต้านทานความผันผวนจากภายนอกได้ แนะนำ DIF BDMS BCH
  2. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรในช่วง 1H68 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC BBL PTT
  3. หุ้น Earnings Play ซึ่ง 2Q68 คาดกำไรปกติเติบโต YoY และ QoQ แนะนำ ADVANC CPALL BTG
  4. Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น เลือก PTT PTTEP

 

“ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวน หลังเผชิญปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยปัจจัยภายนอกอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าเพิ่มเติม รวมถึงการแจ้งอัตราภาษีแบบฝ่ายเดียวของสหรัฐต่อประเทศอื่นๆ ขณะที่ปัจจัยภายในยังติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง และความคืบหน้าการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งเที่ยวไทยคนละครึ่ง และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดีเราประเมิน SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1100 จุด คิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

  1. การประชุม กนง. ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% INVX คาดลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.50% ในวันที่ 25 มิ.ย.
  2. Core PCE Price Index ของสหรัฐฯ เดือน พ.ค. ตลาดคาด 0.10% MoM, 2.60% YoY ในวันที่ 27 มิ.ย.
  3. ความคืบหน้าของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่สหรัฐฯพร้อมเข้าแทรกแซง
  4. ความเคลื่อนไหวของการเมืองภายในประเทศ

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: BCH - Defensive…ปีนี้คาดโตดีสุดในกลุ่ม

 

แนะนำ บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล หรือ BCH เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

 

  • ผู้นำธุรกิจ รพ. เอกชน ที่มีความแข็งแกร่งในตลาดผู้ป่วยเงินสดที่มีรายได้ระดับกลางและตลาดผู้ป่วยประกันสังคม ซึ่งมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ตามการขยายตัวต่อเนื่องของอุปสงค์การแพทย์ทั้งกลุ่มเงินและกลุ่มประกันสังคม
  • ปี 2025 คาดกำไรปกติเติบโต 15% YoY สูงสุดในกลุ่มการแพทย์ แรงหนุนจากการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้นและผลขาดทุนที่ลดลงของ รพ. ใหม่ ขณะที่ 2Q25 คาดกำไรปกติเติบโต YoY และ QoQ แม้จะเป็นโลว์ซีซัน เพราะมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่ารักษา จากกลยุทธ์อัปเกรด รพ. ในเครือและขยายสู่ตลาดใหม่มัลดีฟส์
  • มองเป็นหุ้น Defensive (Low Beta < 1) ซึ่งโมเมนตัมกำไรแข็งแกร่งใน 2Q25 และปี 2025 อีกทั้งมองได้ผลบวกจาก สปส. ยืนยันจ่ายค่ารักษาโรคค่าใช้จ่ายสูงในอัตราคงที่ 12,000 บาท/AdjRW ตลอดปีนี้ รวมทั้ง Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER 25F ระดับ 21 เท่า คิดเป็น -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต
  • เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 20 บาท อิงวิธี DCF และมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปีนี้หุ้นละ 0.51 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 3.7%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

วุฒิสภาสหรัฐฯ อยู่ในช่วงพิจารณา Tax Bill และปรับ Tax Budget โดยมีเป้าหมายลดขาดดุลงบประมาณ ซึ่งรวมถึงข้อเสนอลดภาษีบุคคลธรรมดาในบางกลุ่ม โดยการตัดงบในภาคส่วนอื่น เช่น Medicaid และกลุ่มพลังงานลม-โซลาร์ ขณะที่ผ่อนคลายกฎ Medicare Advantage ขณะที่ความไม่แน่นอนประเด็นนี้ยังสูงซึ่งมีส่วนกดดันการลงทุนกลุ่ม Clean Energy และ Healthcare

 

รายละเอียดการปรับเปลี่ยน Tax Bill และปรับ Tax Budget ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ล่าสุด

 

  1. เตรียมตัดงบ Medicaid และเพิ่มเงื่อนไขที่เข้มงวด ทำให้แผนนี้ Negative กับกลุ่มที่พึ่งพารายได้จาก Medicaid สูง เช่น โรงพยาบาล หรือบริษัทที่ให้บริการแก่ผู้ป่วย
  2. ผ่อนคลายกฎระเบียบ Medicare Advantage (ไม่ถูกตัดงบประมาณและปรับโครงการเจรจายา โดยจูงใจกลุ่มโรคหายากหลายชนิด), PBMs (ยกเลิกการเปลี่ยนแปลงนโยบาย) ซึ่งภาพนี้เป็นบวกต่อกลุ่ม Medicare Advantage (Humana, UNH), PBMs (Cigna, CVS)
  3. ลดเครดิตภาษีพลังงานลม-โซลาร์ลงเหลือ 0% ภายในปี 2028 (60% ปี 2026 / 20% ปี 2027) ขณะที่เครดิตภาษีเดิมจะหมดอายุในปี 2032 อย่างไรก็ดีเครดิตพลังงานไฮโดร นิวเคลียร์ และจีโอเทอร์มอล ขยายถึงปี 2036

 

เรามองว่าไม่ใช่ประเด็นใหม่ โดยอาจมีรายละเอียดบางอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ซึ่งในระยะถัดไปความไม่แน่นอนยังคงสูงหลังร่างกฎหมายนี้จะต้องผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง ทำให้เรามีมุมมองดังนี้

 

  • Clean Energy ทรัมป์ไม่มีท่าทีสนับสนุนตั้งแต่ต้น และมีแนวโน้มยกเลิกเครดิตภาษีต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่จำกัด upside โดยมองว่าอนาคตของกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับกำไรของแต่ละบริษัทมากกว่าการพึ่งนโยบายรัฐ
  • Healthcare ถึงแม้แรงกดดันจากประเด็นเรื่อง Tax bill จะผ่อนคลายลง แต่ท่าทีที่เข้มงวดจากภาครัฐยังเป็นความเสี่ยงหลัก เช่นกลุ่มวัคซีนที่มีกฎระเบียบเข้มงวดขึ้นจาก ACIP ชุดใหม่ เราจึงยังไม่แนะนำลงทุนในกลุ่มนี้

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

สินทรัพย์สภาพคล่อง มีแนวโน้มให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังสูง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยังมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ เช่น ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ-คู่ค้า สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งภายในตะวันออกกลาง แม้ล่าสุด โฆษกทำเนียบขาวสหรัฐฯ เผยว่า ประธานาธิบดี Trump เชื่อว่า ยังคงมีโอกาสสำหรับการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน และจะทำการตัดสินใจว่าจะเปิดฉากโจมตีอิหร่านหรือไม่ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ก็ตาม

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

ความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังหนืด หลัง Powell ประธาน Fed เผย แรงกดดันเงินเฟ้อในช่วงฤดูร้อนจะสูงขึ้น จากผลของมาตรการภาษีนำเข้า ซึ่งมีแนวโน้มหนุนให้ UST Yield โดยเฉพาะตัวยาว ยังเพิ่มขึ้นต่อ ด้านตราสารหนี้ไทย เรามองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น-กลาง น่าจะยังปรับตัวลดลงจากการปรับพอร์ตเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น บวกกับสภาพคล่องในตลาดที่ยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เราจึงยังแนะนำลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นถึงกลาง ทั้งไทยและสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยง duration ต่ำ

 

U.S. Treasury & IG

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัญหาหนี้ภาครัฐสหรัฐฯ หลังวุฒิสภาเผยร่างงบประมาณฉบับแก้ไข ที่อาจเพิ่มการขาดดุลการคลังในช่วง 10 ปี สูงกว่าร่าง OBBBA ของสภาผู้แทนฯ ขณะที่ ดัชนี US IG bond ยังมีความเสี่ยง credit ต่ำ และยังมีปัจจัยพื้นฐานดี เมื่อเทียบกับ US HY bond ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุน UST และ US IG bonds โดยเน้น duration ระยะสั้นถึงกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงพอร์ตลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลังและการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่

 

High Yield Bond

 

แม้ล่าสุด ที่ประชุม G7 เห็นชอบให้ยกระดับความร่วมมือทั้งภายในกลุ่มและกับประเทศพันธมิตร แต่ความไม่แน่นอนบนผลกระทบของสงครามการค้าที่ยังคงมีอยู่ มีแนวโน้มเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY default rate และ HY credit spread จะปรับเพิ่มขึ้น จากระดับปัจจุบันที่ยังต่ำ ประกอบกับ UST Yield ตัวยาว ที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ ท่ามกลางความกังวลการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ และ Fed ที่มีแนวโน้มระมัดระวังในการลดดอกเบี้ย อาจจำกัด upside ของ US HY แม้ว่า ตัวเลข leverage ยังไม่ได้น่ากังวลมากนัก ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

ในระยะสั้น REITs มีแนวโน้มถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี REITs ถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีจากกระแสเงินสดที่มั่นคงและมีอัตราการเติบโตของเงินปันผล จากความสัมพันธ์ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์อื่นต่ำ / สินทรัพย์ผสม (Ready Mixed - Asset Allocation) ช่วยกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน และช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอก

 

US REITs

 

เรามองว่า US REITs น่าจะได้รับปัจจัยกดดันระยะสั้นจากการที่ Fed มีแนวโน้มระมัดระวังในการปรับลดดอกเบี้ย จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ทำให้ Yield Spread ยังอยู่ในระดับติดลบที่ -0.3% โดยเรามองว่า US REITs ยังมีความน่าสนใจในระยะยาว จากการที่มีสัดส่วนของดอกเบี้ยที่เป็น Fixed rate สูงถึง 91% ทำให้ควบคุมต้นทุนทางการเงินได้ นอกจากนี้ จากการที่มีงบดุลที่แข็งแรง เพิ่มโอกาสที่จะซื้อสินทรัพย์เพื่อขยายพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต หากการเจรจาการค้าคลี่คลายมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

เรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit Asset จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อจำกัด ตามที่ Fed ยังมีท่าทีระมัดระวังบนความเสี่ยงเงินเฟ้อ เห็นได้จากการประชุมฯ ล่าสุด Fed ปรับเพิ่มคาดการณ์ Core PCE ในปี 2568 2569 และ 2570 สูงขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน ทั้งนี้ เรายังเน้นการลงทุนใน Private credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก (first lien seniority)

 

หุ้นไทย

 

ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยกดดันระยะสั้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลต่อความล่าช้าในการผ่านร่างงบประมาณปี 2569 และแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ยังกดดันต้นทุนพลังงานนำเข้า ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดในระยะกลาง-ยาว ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมืองที่จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจากการลดดอกเบี้ย และผลการเจรจาทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

การที่สหรัฐฯ มีความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับคู่ค้าต่างๆ โดยสหรัฐฯ-อังกฤษ เห็นพ้องผ่อนปรนภาษี และเดินหน้าข้อตกลงสินค้าเกษตร กับยานยนต์ อาจช่วยประคอง sentiment หุ้นสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจยุโรปยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ที่เพิ่มความเสี่ยงในราคาพลังงานด้านหุ้นญี่ปุ่น มีแนวโน้มได้อานิสงส์จาก BoJ ที่มีแนวโน้มระมัดระวังในการคุมเข้มทางการเงิน และกระทรวงการคลังญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพ JGBs ตัวยาว

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

ผลกระทบจากประเด็นการขาดดุลงบประมาณ และมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอน รวมทั้ง สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ที่เสี่ยงยกระดับขึ้น ทำให้นักลงทุนบางส่วนมีแนวโน้มที่จะยังคงระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ส่วนระยะกลาง เรามอง กำไรบจ.สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตดี และกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยได้อานิสงส์จากกระแส AI ในสหรัฐฯ และแนวโน้มการผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคธนาคาร ควบคู่กับ แผนกระตุ้นทางการคลัง ซึ่งพรรครีพับลิกันตั้งเป้าที่จะผ่านร่างงบประมาณ ในวันที่ 4 ก.ค.

 

หุ้นยุโรป

 

ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก 1) แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB และแผนเพิ่มการใช้จ่ายผ่านการขาดดุลการคลังเยอรมนี และ 2) ผลกระทบของประเด็น Section 899 ต่อยุโรป อาจลดลง หลังแผนใหม่ ตามร่างฉบับวุฒิสภาสหรัฐฯ เสนอให้เลื่อนการบังคับใช้ไปเป็นต้นปี 2570 และภาษีที่เก็บรวมสูงสุด ลดลง อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ อาจเผชิญแรงกดดันระยะสั้น จากความกังวลความคืบหน้าการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-ยุโรป ที่มีกำหนดเส้นตาย 9 ก.ค. และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่เพิ่มความเสี่ยง stagflation ในยุโรป

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

แม้ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่มีอยู่ และ JGB yield ตัวยาว ที่ยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น อาจเพิ่มความผันผวนต่อดัชนีหุ้นญี่ปุ่นระยะสั้น แต่เราคาด ดัชนีฯ ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 1) การปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่นที่ยังคืบหน้า 2) เงินเฟ้อ และค่าจ้างที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเงินเฟ้อพื้นฐานล่าสุด สูงกว่าเดือนก่อน และตลาดคาด และ 3) ความคาดหวังผลการเจรจาการค้าระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ โดยนายกฯ ญี่ปุ่น เห็นพ้องกับประธานาธิบดี Trump ในการจัดให้มีการหารือการค้าระดับรัฐมนตรีต่อเนื่อง

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

แม้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ดี เราคาดว่า จะเห็นประเทศในเอเชียรีบเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 ก.ค. รวมถึง พยายามหาพันธมิตรคู่ค้าอื่นๆ เพิ่มเติมจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังคาด ทางการประเทศต่างๆ ในเอเชีย ยังมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นทางการเงินการคลังเพิ่มเติม เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า โดยล่าสุด เกาหลีใต้ประกาศงบประมาณส่วนเพิ่มเติม 30.5 ล้านล้านวอน เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ

 

หุ้นอินเดีย

 

จากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะสั้น เนื่องจาก อินเดียพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันถึง 80% ของปริมาณการใช้ในประเทศทั้งหมด โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่า NIFTY จะลดลงประมาณ 3% เมื่อเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ถึงแม้ว่า RBI จะส่งสัญญาณการชะลอการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมหลังจากลดดอกเบี้ยลง 50 bps. ล่าสุด แต่เรายังมองว่าตลาดหุ้นอินเดียยังได้รับปัจจัยหนุนจาก สภาพคล่องที่สูงในระบบธนาคาร และนโยบายการคลังที่หนุนการลงทุนภาคเอกชน

 

หุ้นจีน A-Share

 

เราคาดว่า ทางการจีนมีแนวโน้มออกมาตรการผ่อนคลายการเงินการคลังเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ หลังราคาบ้านใหม่ใน 70 เมือง เดือน พ.ค. ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 7 เดือน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีน A-share มีแนวโน้มได้แรงหนุนเพิ่มเติม จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่บรรเทาลง โดยล่าสุด ประธานาธิบดี Trump ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารให้ TikTok ยังคงดำเนินกิจการในสหรัฐฯ ต่อไปอีก 90 วัน ทำให้เส้นตายได้ถูกเลื่อนออกไปอีกจนถึงวันที่ 17 ก.ย. นี้

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้น จาก 1) ความไม่แน่นอนที่สหรัฐฯ อาจจะตัดสินใจโจมตีอิหร่าน ส่วนอิสราเอลยังเดินหน้าโจมตีเป้าหมายนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างต่อเนื่อง และ 2) Fed ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2568 จาก 1.7% เป็น 1.4% และปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อ (Core PCE) จาก 2.8% เป็น 3.1% สะท้อนความเสี่ยงเรื่อง Stagflation เพิ่มขึ้น โดยเรายังมีมุมมองบวกต่อราคาทองคำในระยะกลาง-ยาว จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของธนาคารกลางทั่วโลก ความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาพ: kampee patisena / Getty Images, MirageC / Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 24 มิ.ย. 2025

READ MORE



Latest Stories