สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกยังคงปรับขึ้นได้ต่อ หลายตลาดปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐ โดยS&P500 เพิ่มขึ้น 1.3% ยังเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังบ่งชี้โอกาสการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่ชัดเจนขึ้น ทั้งในส่วนของการจ้างงานที่อ่อนแอ พร้อมปรับลดตัวเลขย้อนหลังลดลงถึง 0.9 ล้านตำแหน่ง ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่เร่งตัวขึ้นกว่าคาด และสูงสุดในรอบ 4 ปี
ด้านเงินเฟ้อแม้ CPI สูงกว่าคาดเล็กน้อย แต่เงินเฟ้อผู้ผลิต PPI ต่ำกว่าคาดมาก สะท้อนภาวะที่ผู้ประกอบการเลือกแบกรับต้นทุนจากภาษีศุลกากรไว้เอง
ฝั่งยุโรป ECB คงดอกเบี้ยไว้ที่ 2% ตามคาด พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโต GDP ปี 2025 ขึ้นเป็น 1.2% จาก 0.9% สะท้อนการฟื้นตัวของอุปสงค์และความเสี่ยงด้านการค้าทั่วโลกที่ลดลง
ตลาดหุ้น EM ปรับเพิ่มขึ้นแรง แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง กระแสเงินไหลเข้าส่วนใหญ่กระจุกตัวในเกาหลีใต้และไต้หวัน
ด้านเศรษฐกิจจีนเงินเฟ้อผู้ผลิต (PPI) สะท้อนภาพการหดตัวที่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า คาดเป็นผลจากนโยบาย Anti-involution ด้านดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) แม้จะหดตัว YoY แต่ Core CPI ขยายตัว 0.9%YoY สูงสุดในรอบ 18 เดือน สะท้อนผลจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค มูลค่าส่งออกจีนเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง และต่ำกว่าคาด โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ หดตัวแรง
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าภูมิภาคเป็นผลจากนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น หลังการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่น และหน้าตาครม. ที่ทยอยประกาศออกมา โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุน นอกจากนั้น ยังเริ่มเห็นการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นช่วยหนุนตลาดเช่นกัน ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงจากความกังวลอุปทานส่วนเกิน แม้จะมีความไม่สงบในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น
เงินบาทแข็งรับสัญญาณ Fed ลดดอกเบี้ย - ดอลลาร์อ่อน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตอกย้ำความเชื่อของตลาดที่คาดว่าจะ Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. โดยตลาดคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นเกิน 100% หลัง BLS เปิดเผยการทบทวนตัวเลขการจ้างงานเบื้องต้นตลอด 12 เดือนสิ้นสุด มี.ค. 2025 ถูกปรับลดลงถึง -911,000 ตำแหน่ง และ ดัชนี PPI Final Demand ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด
ทั้งนี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่าการจ้างงานที่ชะลอลง (แม้อาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว) และการว่างงานที่เริ่มเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มเพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณ Mild stagflation แต่ Fed น่าจะ ตอบสนองต่อตัวเลขการจ้างงานโดยลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในเดือน ก.ย. และ ต.ค.
ด้านเศรษฐกิจจีน แม้จะเห็นสัญญาณเงินฝืดผ่อนคลายในบางอุตสาหกรรม แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังเผชิญแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศที่เปราะบาง ราคาบ้านที่ลดลง และการส่งออกที่ชะลอตัว โดยเรามองว่าจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อทำให้การฟื้นตัวด้านราคาเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นต่อในระยะข้างหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ 2 ครั้งในปีนี้หลังการแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ที่แสดงท่าที Dovish อย่างชัดเจนในงานสัมมนา Jackson Hole ซึ่งทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง โดยคาดว่าจะแข็งค่าสู่ช่วง 31 บาท/ดอลลาร์ ช่วงปลายปีนี้
ทั้งนี้ ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ที่ยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทำระดับสูงสุดในรอบหลายปี สะท้อนถึงความตึงตัวของนโยบายการเงินไทย สะท้อนจากการเติบโตของ M2 ของไทยที่อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศใกล้เคียง ซึ่งเป็นผลของนโยบายการเงินที่ตึงตัวของ ธปท. ที่เน้นดูแลเสถียรภาพเป็นหลัก รวมถึงการชะลอตัวของสินเชื่อเอกชน โดยเฉพาะสินเชื่อครัวเรือนและ SME
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
1. หุ้น Earnings Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2H68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ HoH ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCPG GULF SCC
2. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div.Yield เกิน 2% แนะนำ PTT TTB
3. Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง และ/หรือ ดอลลาร์อ่อนค่า (บาทแข็งค่า) แนะนำ กลุ่ม REITs (DIF) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มเช่าซื้อ (MTC) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC BCPG GULF)
2. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากสถานการณ์น้ำท่วมในไทย แนะนำ TASCO BJC HMPRO GLOBAL 3. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ/หรือ ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้น ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPALL GLOBAL TNP) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG OSP HTC ICHI) กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL) กลุ่มนิคม (AMATA WHA) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC) ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากเงินบาทแข็งค่าอย่าง กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE HANA DELTA) และกลุ่มอาหาร (TU CPF GFPT) ซึ่งมีรายได้บางส่วนอยู่ในรูปดอลลาร์
“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสไซด์เวย์ในกรอบ โดยประเมินตลาดจะให้น้ำหนักกับปัจจัยต่างประเทศอย่างการประชุมนโยบายการเงินของ FED (17 ก.ย.) ซึ่งคาด Fed จะมีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps รวมทั้งจับตา Dot Plot และถ้อยแถลงของประธาน Fed ที่จะชี้นำการลดดอกเบี้ยในปีหน้า ส่วนการประชุมนโยบายการเงินของ BoE และ BoJ ตลาดคาดยังมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่เดิม ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอยู่ระหว่างรอติดตามข่าวความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลและแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมจากโครงการคนละครึ่ง ซึ่งจะมีผลต่อการเรียกความเชื่อมั่นการลงทุนให้ฟื้นตัวและการทยอยไหลเข้าของ Fund Flow ได้ โดยประเมิน SET มีแนวต้านบริเวณ 1,280/1,300” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
1. การประชุมนโยบายการเงินของ Fed (17-18 ก.ย.), BoE (18 ก.ย.) และ BoJ (19 ก.ย.) รวมทั้ง Dot Plot และถ้อยแถลงของประธาน Fed
2. รายชื่อ ครม. ของรัฐบาลใหม่, การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นสำหรับช่วง 4 เดือน
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: PRM - พื้นฐานดี กำไรแกร่ง และมีปันผลสูง
แนะนำ บมจ. พริมา มารีน หรือ PRM เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีทางเรือแบบครบวงจร อีกทั้งยังให้บริการเรือขนส่งน้ำมันและการบริหารจัดการเรือเพื่อหนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล โดยลูกค้าหลัก คือ บริษัทน้ำมันและก๊าซชั้นนำ รวมถึงธุรกิจกลั่นน้ำมันและธุรกิจ E&P ในกลุ่ม PTT
- 2H25 คาดกำไรแข็งแกร่ง แรงหนุนจากรับรู้รายได้จากเรือลำใหม่เต็มไตรมาสและมีอัตราใช้เรือที่ดีขึ้น หนุนคาดปี 2025 กำไรเติบโต 5%YoY และโตต่ออีก 9%YoY ในปี 2026 แรงหนุนจากการให้บริการเรือลำใหม่เต็มปีและการขยายกองเรือในธุรกิจ PCT ที่จะมีเรือใหม่ 6 ลำทยอยเข้ามาตั้งแต่ ก.ค. 26
- มอง Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขาย PER 2026F ที่ 6.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 8.9 เท่า และมีจุดเด่นที่จ่ายเงินปันผลต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลท. อีกทั้งยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่มั่นคง
- เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 9 บาท อิงวิธี EV/EBITDA ที่ 5.3 เท่า และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 7.6%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
อุปสงค์ AI ยังคงเติบโตดีสะท้อนผ่าน 1. กลุ่มซอฟต์แวร์ ที่การเติบโตของ Google Cloud ,งบ ORCL ADBE ประกอบกับพัฒนาการเชิงบวกของธุรกิจ MSFT 2. กลุ่มเซมิฯ ที่ตัวเลขรายได้เดือนส.ค.ของ TSMC ออกมาเติบโตดีกว่าคาด และการเปิดตัวชิปใหม่ของ NVDA ด้วยภาพนี้ทำให้เราเชื่อได้ว่าแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มเทคฯ จะยังคงมีแรงหนุนหลักที่มาจาก AI โดยเราแนะหุ้นใหญ่ที่มีความสามารถทางการแข่งขันและฐานลูกค้าแกร่ง
กลุ่มซอฟต์แวร์
Microsoft มีแผนสร้างกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ (clusters) เพื่อฝึกโมเดล AI แข่งกับ OpenAI, Anthropic และอื่นๆ ได้ รวมถึงเพื่อลดการพึ่งพา OpenAI และบริษัทอื่นๆ ซึ่งดีกับธุรกิจในระยะยาวหลังมีส่วนช่วยประหยัดต้นทุนได้
ด้าน Google Cloud มีสัญญาผูกพันที่ยังไม่ได้รับรู้รายได้จากลูกค้าเดิมสูงถึง $106bn โดยคาดราว 55% จะกลายเป็นรายได้จริงภายใน FY27 สะท้อนการเติบโตที่แกร่งซึ่งมีแรงหนุนจากการพัฒนา AI เพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้น
ส่วน ORCL และ ADBE เผยงบเติบโตและปรับขึ้นคาดการณ์ โดยมีแรงหนุนสำคัญที่มาจากสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เติบโต เช่น คลาวด์ของ ORCL ที่ RPO 1Q26 โต 395% และ AI ARR ของ ADBE ที่รายได้ทะลุเป้า $5bn
กลุ่มเซมิฯ AI
TSMC รายงานรายได้เดือนส.ค. เพิ่มขึ้น +33.8% YoY ซึ่งดีกว่าคาดสะท้อนถึง Demand ที่แกร่งจาก AI Chip โดยเฉพาะ GPU ของ Nvidia รวมถึงการสั่งซื้อชิปขั้นสูงจาก Apple สำหรับ iPhone รุ่นใหม่
ด้าน NVDA เปิดตัวชิปใหม่ Rubin CPX ในปลายปี 26 เพื่อรองรับงาน AI ที่ต้องใช้การประมวลผลสูง เช่น การสร้างวิดีโอ นอกจากนี้เข้าลงทุนในสตาร์ทอัพควอนตัม ได้แก่ PsiQuantum, Quantinuum และ QuEra Computing
ด้วยภาพนี้ทำให้เราคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มเทคฯ จะยังคงมีแรงหนุนหลักที่มาจาก AI โดยเราแนะหุ้นใหญ่ที่มีความสามารถทางการแข่งขันและฐานลูกค้าแกร่ง อย่าง MSFT GOOGL META NVDA AMD TSM AVGO
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้อานิสงส์จากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังอยู่ โดยล่าสุดกองทัพโปแลนด์ได้ส่งเครื่องบินรบขึ้นปฏิบัติการยิงสกัดโดรนของรัสเซียที่ล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าจากฝั่งยูเครน
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความกังวลความเป็นอิสระของ Fed ตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยื่นอุทธรณ์ เพื่อผลักดันการปลด Cook พ้นผู้ว่า Fed ด้านตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง จากการที่ กนง.น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งใน 4Q2568 หลังอัตราเงินเฟ้อยังติดลบและต่ำกว่าคาด
U.S. Treasury & IG
แนะนำลงทุนบน UST และ US IG bonds ที่มี duration ระยะสั้นถึงกลาง รับความหวังของตลาดบนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed และช่วยลดความเสี่ยงพอร์ต โดยการแทรกแซงความเป็นอิสระของ Fed และความเสี่ยงการคลังสหรัฐฯ จะหนุนให้ US term premium เพิ่มขึ้น ขณะที่ US IG bond ยังมีปัจจัยพื้นฐานดี
High Yield Bond
ความเสี่ยงตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน เม.ย. 2567-มี.ค. 2568 ถูกปรับลง 911,000 ตำแหน่ง อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ HY default rate กับและ HY credit spread จะเพิ่มขึ้น จนกดดัน HY แม้ UST yield ตัวสั้น ยังลดลงต่อ ตามการลดดอกเบี้ยของ Fed ก็ตาม
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
Global Infrastructure
การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี Correlation กับสินทรัพย์หลักอื่นๆ ค่อนข้างต่ำในอดีต ทำให้สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจาก เป็นสัญญาระยะยาว และมีโครงสร้างรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น
Private Asset ช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และสร้างผลตอบแทนระยะยาว โดยเรามองบวกต่อ Private Equity ตามการลดลงของดอกเบี้ย รวมทั้ง การเพิ่มขึ้นของ M&A และ IPO ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทน ด้าน Private credit เน้นที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์หลักจากกระแส AI ในสหรัฐฯ ที่คืบหน้า และ EPS ที่แนวโน้มเติบโตดี / เศรษฐกิจยุโรปได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนด้านการเมืองฝรั่งเศสที่ผ่อนคลายลง และแรงหนุนจากนโยบายการคลังในปีหน้า/ หุ้นญี่ปุ่น ได้แรงหนุนจากการปฏิรูปธรรมาภิบาล และความหวังการผ่อนคลายการคลัง
หุ้นสหรัฐฯ
แม้ว่า Valuation ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังค่อนข้างตึงตัว แต่ตลาดฯ ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 1. กระแส AI ที่ยังดำเนินต่อ 2. Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย 3. ผลบวกมาตรการกระตุ้นการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4. EPS ตลาดฯ ในปี 2568 และ 2569 ที่เติบโตดี
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนการเมืองของฝรั่งเศสที่ลดลง หลังแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ เพื่อเสนอร่างงบประมาณในการแก้ปัญหาขาดดุลการคลัง เดือน ต.ค. เราคาดว่า ECB มีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งจนถึง 1Q2569 ทั้งนี้ เราคาดว่า มาตรการการคลังยังเป็นแรงหนุนระยะยาวของเศรษฐกิจยุโรป
หุ้นญี่ปุ่น
ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจาก 1. ความไม่แน่นอนการค้ากับสหรัฐฯ ที่ลดลง หลังสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงรถยนต์และชิ้นส่วน มีผล 16 ก.ย 2. การปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่น และ 3. BoJ ที่มีแนวโน้มไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แม้ประเด็นการเมืองในญี่ปุ่น อาจสร้างความผันผวน ก็ตาม
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
หุ้นตลาดเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากเงินดอลลาร์ สรอ. ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบสกุลเงินคู่ค้าในเอเชีย ทั้งนี้ เรามอง ตลาดฯ ยังได้แรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้า เนื่องจาก แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตดี และมีโอกาสในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง
หุ้นอินเดีย
แม้ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มพักฐานในระยะสั้น หลังสหรัฐฯ เตรียมกดดันชาติ G7 ให้ขึ้นภาษีอินเดีย เพื่อตอบโต้ที่ยังซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แต่เรายังมีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว จาก RBI ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย และทางการที่มีแนวโน้มลดภาษีสินค้าและบริการ (GST) เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้น จากความคาดหวังในเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจากรัฐบาลใหม่ ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดในระยะถัดไป ขึ้นอยู่กับ การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง และเสถียรภาพทางการเมืองหลังการยุบสภา
หุ้นจีน All-Share
ดัชนีหุ้นจีนได้แรงหนุนจากความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมจากทางการ ในการประชุม 4th plenum เดือน ต.ค. ด้านกระแส AI จีน มีความคืบหน้า หลัง Alibaba ออกหุ้นกู้แปลงสภาพ 3.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อหนุนงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI และ Cloud ที่ใหญ่ที่สุดของจีน
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากการที่ตลาดให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 100% ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) เดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นตามคาด โดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง และเพิ่มการถือครองทองคำในเดือน ส.ค. เป็นเดือนที่ 10
หุ้นจีน A-Share
ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้อานิสงส์จาก 1. แรงซื้อนักลงทุนในประเทศทั้งสถาบันและครัวเรือน 2. ความหวังมาตรการกระตุ้นและปฏิรูปจากทางการจีน โดยที่ล่าสุด ทางการเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อจัดการหนี้ค้างชำระจำนวนมากต่อภาคเอกชน และ 3. AH premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจากงบกลุ่ม Tech ที่ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง เห็นได้จากล่าสุด Oracle เผย guidance รายได้ในไตรมาสถัดไป และปีงบประมาณถัดไป ดีกว่าตลาดคาด ประกอบกับ แผนการใช้จ่าย AI capex ของ Hyperscalers ต่างๆ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามความต้องการการประมวลผล AI ที่แข็งแกร่ง
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ได้รับปัจจัยบวกจาก แนวโน้มยกเลิกการปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำในการเรียกเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนในหุ้น รวมถึง เงินดอลลาร์ สรอ.ที่อ่อนค่า หนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ นอกจากนี้ การพัฒนาชิปรุ่นใหม่ HBM4 ของ SK Hynix เป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการระยะกลางถึงยาว หนุนหุ้นกลุ่ม Semiconductor
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก EPS กลุ่มฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้ AI ที่กระจายไปสู่หลายภาคส่วน สอดรับกับการที่ Oracle จับมือกับ OpenAI, Meta, Nvidia, AMD, Google และ Microsoft เพื่อต่อยอดการให้บริการ AI บนโครงสร้างพื้นฐาน Cloud
ภาพ: ThamKC/Getty Images