ร้อง เล่น เต้นระบำ คือ กิจกรรมที่ ดรีม-อภิชญา พานิชตระก […]
The post Passion Calling: ‘นักแสดง’ แพสชันหนึ่งเดียวที่ทำให้ ‘ดรีม-อภิชญา พานิชตระกูล’ อยากตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตทุกวัน appeared first on THE STANDARD.
]]>
ร้อง เล่น เต้นระบำ คือ กิจกรรมที่ ดรีม-อภิชญา พานิชตระกูล ชอบทำตั้งแต่จำความได้ ภายใต้รอยยิ้มหวานสดใสของนักแสดงและยูทูบเบอร์สาวจากช่อง GoyNattyDream มีเพียงอาชีพเดียวที่เธอฝันอยากเป็นมาตลอดนั่นคือ ‘นักแสดง’
“การแสดงทำให้เราเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง เรามีชื่อใหม่ มีคาแรกเตอร์ใหม่ และได้เอนจอยกับการค้นหาชีวิตในบทบาทอื่น”
สำหรับดรีมการแสดงเป็นแพสชันที่ขับเคลื่อนชีวิต เป็นความสุขที่ไม่ต้องพยายามมากมาย และเป็นเหมือนจุดหมายให้อยากตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตต่อในทุก ๆ วัน แม้ตอนนี้การเดินตามความฝันอาจยังไม่ถึงจุดหมาย แต่วันนี้เธอมีความสุขที่ได้เป็นคนเลือกทุกอย่างด้วยตัวเอง และยังคงเชื่อมั่นว่าการเลือกของเธอจะพาไปสู่วันที่ได้รับการยอมรับในฐานะ ‘นักแสดง’ อย่างแท้จริง
อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญของเส้นทางนี้ และพื้นที่แบบไหนที่เติมไฟแห่งแพสชันของเธอให้แน่วแน่ พบคำตอบพร้อมเรื่องราวความฝันของ ดรีม-อภิชญา พานิชตระกูล ใน Passion Calling x GoyNattyDream
“ดรีมเป็นเด็กที่ชอบร้อง เล่น เต้นระบำ ตั้งแต่จำความได้ เราเลือกเรียนเองด้วยนะ พ่อแม่ไม่ได้บังคับ เวลามีงานโรงเรียนก็มักจะได้ขึ้นโชว์ตลอด จนพอเข้ามัธยมมีโอกาสได้เล่นละครเวทีมิวสิคัล ที่ได้ร้องเพลงและแสดงด้วย ตอนนั้นรู้สึกว่ามีความสุขมากจริง ๆ”
การเพอร์ฟอร์มบนเวทีไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ล้วนทำให้เด็กหญิงอภิชญาใจเต้นแรง โดยเฉพาะการแสดง เพราะสำหรับเธอมันคือการได้หลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง โลกที่มอบ magic moment ที่หาไม่ได้จากที่ไหน

จากความชอบในวัยเด็กถูกต่อยอดด้วยการตัดสินใจเรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งเต็มไปด้วยพื้นที่ให้ได้ลองทำอาชีพที่ชอบ
“พอเข้านิเทศจุฬา มีรุ่นพี่ชวนไปแคสต์ สิ่งแรกที่ได้ทำน่าจะเป็นโฆษณา ตอนนั้นไปแคสต์เกือบทุกวัน จากนั้นก็เริ่มมีงานเล็ก ๆ อย่างการเป็น extra ในซีรีส์ แม้จะไม่มีชิ้นไหนที่จริงจังมาก แต่ทั้งหมดเราเห็นชัดว่า เราอยากอยู่ในวงการบันเทิง อยากเป็นนักแสดงที่ได้เล่นบทที่ตัวเองใฝ่ฝัน บทที่ท้าทาย และ intense จริง ๆ”
จากการฝึกฝีมือผ่านโฆษณาและการแสดงในช่วงมหาวิทยาลัย ดรีมยังคงเดินหน้าหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ จนกระทั่งช่วงโควิด-19 กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้เธอได้เข้าใกล้ความฝันอย่างที่สุด ด้วยการสร้างช่อง GoyNattyDream และปล่อยคลิปแรกออกมา
“ช่วงโควิดเราว่างกันหมด เลยหาอะไรสนุก ๆ ทำ ลองอัดรายการ ถ้าหนูรับพี่จะรักปะ แขกรับเชิญคนแรกคือ เก้า-จิรายุ พอลองตัดต่อออกมา เราชอบมาก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าคนอื่นจะชอบหรือเปล่า สุดท้ายเรามานั่งคุยกันสามคน แล้วตัดสินใจว่าอยากออนจริง ๆ เลยปล่อยคลิปออกไป”
คลิปแรกนั้นไม่เพียงสร้างความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ แต่ยังเปิดประตูบานใหม่ให้กับชีวิต ชื่อของดรีมเริ่มถูกจับตามองมากขึ้น ได้รับการจดจำมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือได้มีโอกาสเพอร์ฟอร์มอีกครั้งในเวทีที่ใหญ่ขึ้น

“การทำช่อง GoyNattyDream เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด เพราะมันทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น และพาเราไปสู่โอกาสต่าง ๆ หนึ่งในนั้นก็คืองานแสดงสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด”
สำหรับดรีม พื้นที่ที่หล่อเลี้ยงความฝันที่แรกคือ ‘ผู้คน’ ในที่นี้คือก้อยและแนตตี้
“ก้อยและแนตตี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลย เป็นพื้นที่โยนไอเดีย ทำให้เราได้ลองใช้ชีวิต ฝึกฝีมือในการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นทั้งพื้นที่สบายใจ สนุกสนาน และคอยเติมไฟให้กับแพสชันอยู่เสมอ”
อีกพื้นที่หนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ‘ที่อยู่อาศัย’ ซึ่งสำหรับดรีมแล้ว สเปซที่ดีคือพลังงานที่จะกำหนดทั้งจังหวะชีวิตและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อไขว่คว้าความฝันให้สำเร็จ

“ดรีมเชื่อเรื่องเอเนอร์จี้มาก หมอดูเคยบอกว่าดรีมต้องอยู่กับอะไรที่สว่าง ๆ ซึ่งดรีมเห็นด้วยมาก ๆ เราชอบการได้เปิดหน้าต่างแล้วเจอท้องฟ้า มีพื้นที่สีเขียว มีมุมสงบที่เราสามารถแสดงตัวตนออกมาได้ เพราะถ้าเรามีพลังงานดี ๆ รอบตัว มันจะขับเคลื่อนให้ชีวิตแอคทีฟ อยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง และเติมกำลังใจให้มีแพสชันทำสิ่งที่เราอยากทำต่อไปได้”
“ดรีมเป็นคนหนึ่งที่เลือกชีวิตดี ๆ ให้ตัวเอง แต่ละก้าวคือการตัดสินใจของเราเอง ตั้งแต่การเลือกเรียนดนตรี เรียนการแสดง การไปแคสต์ การทำช่อง หรือแม้แต่การโพสต์ ทุกช้อยส์คือการตัดสินใจของดรีมที่จะให้ไปถึงฝันทั้งหมด”
เส้นทางตามหาความฝันของเธออาจไม่ได้ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว แต่คือการเดินอย่างมั่นคงและแน่วแน่ เพราะนี่คือเส้นทางที่เธอ ‘เลือกเอง’ ตั้งแต่แรก และจะยังเลือกเดินต่อไป

ดรีมทิ้งท้ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแพสชันว่า
“ถึงตอนนี้อาจยังไม่ไปถึงฝั่งฝันที่ตั้งใจไว้ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปก็รู้ว่าเราเดินมาไกลกว่าที่คิดไว้มากแล้ว และทุกการตัดสินใจที่ผ่านมา คือการเลือกที่ถูกต้องเสมอ คิดว่าการตัดสินใจของดรีมจะทำให้ไปถึงฝันได้สักวัน”
The post Passion Calling: ‘นักแสดง’ แพสชันหนึ่งเดียวที่ทำให้ ‘ดรีม-อภิชญา พานิชตระกูล’ อยากตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตทุกวัน appeared first on THE STANDARD.
]]>
“แพสชันของเราเปลี่ยนไปได้เสมอ อย่าลืมดูแลสุขภาพกายและใจ […]
The post Passion Calling: ‘หมอเจี๊ยบ ลลนา’ จากวันที่วิ่งตามความฝัน สู่วันที่กลับบ้านมาดูแลใจตัวเอง [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.
]]>
“แพสชันของเราเปลี่ยนไปได้เสมอ อย่าลืมดูแลสุขภาพกายและใจให้ดี เพื่อทำตามแพสชันต่อไป”
นี่คงเป็นประโยคสรุปเรื่องราวความทุ่มเทเพื่อแพสชันของ หมอเจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์ ได้ดีที่สุด เพราะถ้ารู้จักหมอเจี๊ยบ ในฐานะอดีตนางสาวไทย นักแสดง แพทย์หรือผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Let’s be heroes คงเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและชัดเจนในความฝันมาตลอด แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังของเส้นทางนี้เต็มไปด้วยการค้นหา และการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งวันหนึ่งร่างกายประท้วง และบอกกับหมอเจี๊ยบว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องกลับมาดูแลตัวเอง
“ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยอยากเป็นหมอเลย เห็นอาชีพไหนเจ๋งก็ชอบอันนั้น แพสชันที่รุนแรงตอนเด็กก็คือ อยากทำอาชีพอะไรก็ได้ที่มีเงิน จะได้นอนอยู่บ้านเล่นเกม จนกระทั่งเราดัดฟัน แล้วไปถอดรีเทนเนอร์ ค่าพบหมอฟัน 600 บาท ใช้เวลารวดเร็วมากไม่ถึงสองนาที เลยเจอแรงบันดาลใจว่า อยากเป็นหมอฟัน อาชีพนี้แหละที่จะทำให้ฉันได้นอนเล่นเกมอยู่บ้าน”

ไม่รู้ว่าโชคชะตาหรือเปล่า ตอนนั้นคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดให้สอบตรง หมอเจี๊ยบจึงอยากลองเข้าไปทำข้อสอบดู แต่การจะเข้าสอบได้ต้องมีชั่วโมงฝึกงานในโรงพยาบาล นั่นเป็นครั้งแรกที่หมอเจี๊ยบได้สัมผัสบรรยากาศในโรงพยาบาลจริง ๆ
“จากที่ไปฝึกงานในโรงพยาบาล เราเห็นคนไข้มารอเป็นร้อยคน แต่มีหมออยู่คนเดียว ตอนนั้นรู้สึกว่า ถ้าเราเป็นหมอตรงนั้นก็คงดี อาจช่วยอะไรได้บ้าง จากเหตุการณ์นั้นเหตุการณ์เดียว เกิดเป็นแรงบันดาลใจเลยว่าอยากเป็นหมอ และอยากเปิดฟรีคลินิกช่วยเหลือผู้ขาดแคลน”
“ช่วงนั้นมีประกวดนางงาม แล้วแม่ชอบนางงามมาก แม่บอกว่าลองดูตัวอย่างจากดาราสิ เขามีชื่อเสียง เวลาขอสมทบทุนจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้น”
แน่นอนว่าหมอเจี๊ยบไม่เคยคิดจะก้าวขาสู่วงการบันเทิง แต่มองว่าการประกวดนางสาวไทยเป็นโอกาสที่จะทำให้ความฝันเรื่องฟรีคลินิกเกิดได้เร็วขึ้น หลังจากลังเลอยู่นาน เธอก็ตัดสินใจก้าวขึ้นเวที และคว้าตำแหน่งนางสาวไทย ปี 2549 ได้สำเร็จ
เมื่อประตูสู่ความฝันถูกเปิดออกด้วยการเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง หมอเจี๊ยบใช้โอกาสนี้บอกกับสังคมถึงสิ่งที่อยากทำในอนาคต ไม่ว่าจะไปออกรายการไหน เธอพูดถึงความมุ่งมั่นในการเปิดฟรีคลินิกในอนาคตอยู่เสมอ
ผ่านมาสิบกว่าปี หมอเจี๊ยบวางแผนจริงจังเพื่อสร้างฟรีคลินิกให้เกิดขึ้นได้ จึงก่อตั้ง ‘มูลนิธิ Let’s be heroes’ ที่จัดตั้งคลินิกแพทย์เฉพาะทางเคลื่อนที่ โครงการช่วยเหลือสัตว์ และโครงการให้ความรู้ เพื่อส่งต่อโอกาสด้านสุขภาพให้กับทุกคน
“มูลนิธิเคยไปที่อุ้มผาง เจอคนไข้ต้องการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ แต่ไม่มีเงินทุน โชคดีที่เพื่อนหมอหัวใจช่วยประสานงานโรงพยาบาลราชวิถีจนพาคนไข้ผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจได้สำเร็จ วันที่ไปเยี่ยมเขาหลังผ่าตัด เขาบอกว่า ขอบคุณที่ให้ชีวิตใหม่กับเขา เขาสัญญาว่าจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี แล้วถ้ามีโอกาส อยากจะให้ลูกส่งต่อสิ่งดี ๆ แบบนี้กับคนอื่น”

“เรารู้สึกตื้นตันใจมากเวลาได้ช่วยคน เพราะเราไม่ได้ช่วยแค่เขา แต่ช่วยครอบครัวเขาด้วย เราสามารถทำให้เขาเห็นมุมมองของการให้แบบไม่มีที่สิ้นสุด มันชื่นใจ เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าให้ฟัง”
ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่การใส่สุดพลังเพื่อไล่ล่าความฝัน ที่เติมเต็มความหมายในหัวใจ กลับทำให้ร่างกายเริ่มไม่ไหว
“ยอมรับว่าที่ผ่านมาเราใช้ร่างกายเยอะมาก ทั้งในวงการบันเทิงและวงการหมอ มีวันหนึ่งตื่นมาแล้วร้องไห้ หายใจไม่ออก รู้ว่าทำงานไม่ได้ สุดท้ายไปหาหมอ เพื่อรับยา พอหาสาเหตุก็พบว่า ทุกครั้งที่อดนอนจะเป็นแพนิก”
สัญญาณความเจ็บป่วยจากร่างกายทำให้แพสชันใหม่ของหมอเจี๊ยบชัดเจนยิ่งขึ้น
“เราเห็นว่าความเจ็บป่วยมันใกล้ตัวมากขึ้น แพสชันก็เปลี่ยนไป เงินทองและชื่อเสียงบางครั้งไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่สิ่งที่ช่วยเยียวยาหัวใจของเราได้คือความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว ตอนนี้แพสชันอันดับหนึ่งก็เลยเปลี่ยนเป็นการใช้เวลากับตัวเอง ครอบครัวและคนที่รักให้ดีที่สุด”
สำหรับหมอเจี๊ยบ สถานที่แรกที่ช่วยชุบชูหัวใจเมื่อเจอกับอุปสรรคอันหนักหน่วงในชีวิต ก็คือ ‘บ้าน’ เพราะเป็นเหมือนเซฟโซน ยิ่งเป็นบ้านที่มี space ที่ตอบโจทย์ ก็ยิ่งทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น

โครงการ Grande Pleno ทวีวัฒนา
“เวลากลับมาบ้านจะเหมือนได้ชาร์จพลัง ยิ่งเมื่อโตขึ้น มีบ้านเป็นของตัวเอง เราสามารถสร้างพื้นที่ที่เติมเต็มชีวิตของเราได้เอง เจี๊ยบชอบห้องนอนมาก ทำทุกกิจกรรมในห้องนอน ทั้งพักผ่อน เล่นเกม แทบจะกินข้าวในห้องนอนเลยด้วยซ้ำ”
ไม่ใช่แค่เซฟโซน แต่บ้านยังทำให้หมอเจี๊ยบได้ทำตามแพสชันบางอย่างในวัยเด็กเช่นเดียวกัน
“ตอนเด็กเราชอบเล่น Harvest moon มาก เกมปลูกผัก ทำฟาร์ม จีบสาว โตขึ้นมาก็ยังมีความคิดอยากทำฟาร์มอยู่ เลยทำมุมสวนไว้ที่บ้าน และยังมีมุมสัตว์เลี้ยงด้วยนะ ก็มาจากแพสชันตอนเด็กนั่นแหละ”

จากวันที่ทำทุกวิถีทางเพื่อไล่ล่าแพสชัน หมอเจี๊ยบทิ้งท้ายบทเรียนในชีวิตไว้ว่า
“นกน้อยควรทำรังแต่พอตัว เวลาเรามีแพสชันจะใช้ชีวิตหนักหน่วงมาก แต่อย่าลืมกลับมาดูแลร่างกายตัวเอง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อพังแล้วเอาคืนไม่ได้ แต่ถ้าเรายังมีกำลังกาย กำลังใจอยู่ เราสามารถทำตามแพชชันของตัวเองได้เสมอและมีชีวิตดีๆที่เลือกเองได้”
สามารถดูรายละเอียดทาวน์โฮมและบ้านแฝดจาก AP ได้ที่ https://www.apthai.com/th/townhome
The post Passion Calling: ‘หมอเจี๊ยบ ลลนา’ จากวันที่วิ่งตามความฝัน สู่วันที่กลับบ้านมาดูแลใจตัวเอง [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.
]]>
ความสุขจากการดูแลรักษาความเจ็บป่วยและฟื้นฟูสุขภาพของเพื […]
The post หมอแพร-พญ.ธิรดา จิตตการ (ว.30170) แพทย์ความงามผู้เข้าถึงใจคนไข้ดั่งนักจิตเวช appeared first on THE STANDARD.
]]>
ความสุขจากการดูแลรักษาความเจ็บป่วยและฟื้นฟูสุขภาพของเพื่อนมนุษย์คือความทรงจำอันงดงามที่ประทับอยู่ในใจ หมอแพร-พญ.ธิรดา จิตตการ (ว.30170) ตั้งแต่วันแรกที่เธอสวมชุดกาวน์ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางใหม่ในฐานะแพทย์ด้านความงามอย่างเต็มตัว เธอได้พบโลกอีกใบที่เปี่ยมด้วยความหมายและความสวยงามไปอีกแบบ

หมอแพรค้นพบว่า การดูแลด้านความงามนั้นเป็นการเดินทางที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนยิ่งกว่า เป็นการตอบสนองความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความต้องการที่จะดูดีขึ้น และการทำความเข้าใจความรู้สึก ความคาดหวังของคนไข้แต่ละรายนั้น ก็ไม่ต่างจากการทำงานของแพทย์จิตเวชที่ต้องเข้าถึงเบื้องลึกของจิตใจ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่คนไข้มองหา และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การได้ช่วยให้ทุกคนที่เข้ามานั้นสวยและดูดีที่สุดในแบบฉบับของตนเอง เช่นเดียวกับแนวคิดอันเป็นหัวใจของ Romrawin อย่าง ‘For the Better You’
เบื้องหลังรอยยิ้มแห่งความสุขและความมั่นใจบนใบหน้าของคนไข้นั้น หมอแพรต้องเผชิญกับความท้าทายรูปแบบใดบ้าง ค้นพบเรื่องราวและแรงบันดาลใจของเธอได้ใน Passion Calling x Romrawin with Dr.Prae Thirada

หมอแพร: ถ้าการรักษาโรคส่วนใหญ่ เวลาเจอคนไข้ที่ป่วยมาแล้วเราก็ดูแลเขา ทำให้เขาดีขึ้น อาจจะมีข้อคำแนะนำต่างๆ ที่ทำอย่างไรให้โรคมันไม่หนักขึ้น หรือไม่เป็นมากขึ้น แต่สำหรับความงามบางคนไม่ได้มาด้วยการที่มีโรคมาแล้ว เขาจะมาด้วยความที่เขาจะดีกว่าเดิมได้อย่างไร จะสวยกว่าเดิมได้อย่างไร มันก็เป็นสิ่งที่เราก็ต้องค้นหา แล้วก็ต้องคุยกัน เป็นเรื่องของการ Consult ค่อนข้างเยอะมากๆ ว่าเรามีความต้องการตรงกันไหม คนไข้อาจจะอยากสวยแบบหนึ่ง แต่หมอก็มองว่าแบบนี้อาจจะเหมาะกว่า ซึ่งมันก็ต้องเป็นการจูนกันมากกว่า เพราะฉะนั้นการทำงานก็เลยแตกต่างกันค่ะ
หมอแพร: ใช่ เราต้องเข้าใจจิตใจเขาว่าสิ่งที่เขากังวลมันคืออะไร ไม่เหมือนการรักษาโรคเนอะ โรคก็คือป่วยมาแล้ว เรื่องของ Aesthetic เป็นเรื่องที่ได้เรียนรู้อีกในหลายๆ มิติ การทำงานกับคนไข้เนี่ย มันไม่ใช่แค่ว่าเดินมา แล้วเราก็จิ้มๆ กลับบ้าน หรือว่าจ่ายยากลับบ้าน มันเป็นการดูแลระยะยาว
หมอแพร: ใช่ค่ะ มีคนไข้เคยพูดว่า หมอเป็นคนที่ทำให้เขามีความสุขกับการที่เขาดูดีขึ้น เพื่อนรอบข้างชม ทำอะไรมา สวยขึ้นเนอะ หมอเป็นเหมือนหมอจิตเวชคนหนึ่งของพี่เลยอะไรอย่างนี้ เราก็รู้สึกว่า เออ เราไม่ได้เรียนจิตเวชนะ แต่เราก็สามารถทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นในอีกมิติหนึ่งได้

หมอแพร: รู้สึกดีใจนะ รู้สึกว่าต่อให้เราไม่ได้เป็นหมอผ่าตัดหรือปั๊มหัวใจคนไข้ขึ้นมา แต่ว่าเราก็เป็นการดูแลคนไข้ในอีกแบบหนึ่ง ก็มีความภูมิใจในสิ่งที่เราทำอยู่ เราทำให้เขามีความสุข มันคือสิ่งที่สวยงามของโลกใบนี้ เพราะคนที่อยู่ร่วมกัน แล้วช่วยกันให้แต่ละคนมีความสุขได้ มันก็เป็นสิ่งที่ดี
หมอแพร: จริงๆ ก็เป็นเคสนี้แหละ ที่เขาพูดถึงเรื่องจิตเวช เพราะเราก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยคิดนะ ว่าเราเป็นหมอที่จะดูแลทางด้านดูแลจิตใจขนาดนั้น คือเราแค่มาแล้วก็ตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการ แต่ว่าสุดท้ายมันกลายเป็นว่า มันอาจจะเติมเต็มอะไรบางอย่างในชีวิตเขาก็ได้ บางคนอาจจะมีปมในใจบางอย่าง ที่รู้สึกว่าอันนี้มันเป็นปัญหาเขามากเลย แต่พอเราแก้ได้มันกลายเป็นว่า เขารู้สึกขอบคุณที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้
หมอแพร: มันก็จะมียาก 2 อย่าง ยากอย่างแรกก็คือ ยากจากการเปลี่ยน เปลี่ยนความต้องการจากเดิมที่เขามาด้วยโจทย์ที่ยากมาก เช่น การอยากสวยแบบโมเดลคนหนึ่งในเกาหลีอะไรอย่างนี้ ซึ่งอันนั้นน่ะ ยาก ยากตั้งแต่การ Consult แล้ว ต้องคุยให้รู้เรื่องก่อนว่าหมอไม่สามารถทำได้ อะไรที่หมอทำได้หมอก็จะ Commit ว่าเราทำได้ แต่อะไรที่ทำไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่าเราอาจจะทำได้แค่นี้ ซึ่งเขาโอเคไหม
ความต้องการในเรื่องของความสวยเนี่ยมันไม่มีขีดจำกัด สวยของคนไข้กับสวยของหมอก็ไม่เหมือนกัน คนไข้จะชอบถามว่า จะดีขึ้นได้กี่เปอร์เซ็นต์ คำว่าเปอร์เซ็นต์เป็นสิ่งที่ตอบไม่ได้เลย เพราะว่าเปอร์เซ็นต์คนไม่เท่ากัน
อันที่ 2 ก็คือถ้าเป็นคนไข้ที่มีความผิดปกติในการคาดหวังอยู่แล้ว ที่เป็นกลุ่ม Body Dysmorphic มันก็เป็นโรคทางจิตเวชอย่างหนึ่ง ซึ่งอันนี้เราก็ต้องพยายามดูให้ออกว่าเขาเป็นคนกลุ่มนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นคนกลุ่มนี้ แปลว่าเขาจะไม่มีความพอใจในความสวย เราทำให้สวยแหละ คนอื่นมองว่าสวยแหละ แต่ว่าคนไข้อาจจะบอกไม่ ไม่พอใจ ไม่สวย กลุ่มนี้หมอก็จะหลีกเลี่ยง ก็จะแนะนำว่า อาจจะไปหาหมอท่านอื่น หรือว่าลอง Consult หลายๆ ที่ดูก่อน ก็จะปลอดภัยกับทุกๆ ฝ่ายมากกว่า

หมอแพร: ถ้าความสวยในมุมเรา ที่คิดว่าสวยแล้วคือ ภายในเราต้องสวยด้วยทัศนคติในการใช้ชีวิตแต่ละวัน เพราะว่ามิติความสุขในชีวิตมันไม่ใช่แค่ความสวยจากหน้าตา มันรวมทั้งครอบครัว การออกกำลังกาย การที่ได้มีเวลาไปใช้ชีวิต ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เราก็จะรู้สึกว่าเรามีความเติมเต็มในชีวิตที่เราเกิดมาหนึ่งชีวิตละ
ส่วนความสวยในรูปแบบภายนอกเนี่ย เราก็เติมเต็มในจุดที่มันพร่องไป ดูแลให้มันไม่ไปเกินอายุเรา แล้วที่สำคัญก็ต้องมีความสุขในทุกๆ วันด้วย
หมอแพร: ใช่ ฉันอยากจะมีปากแบบคนนั้นหรือว่าตาต้องเป็นแบบนั้น แต่บางทีรวมกันมันก็ไม่สวยนะ หรือแม้แต่หน้าแบบสวยมาก แบบอาจจะเหมือนถอดแบบมาจากนางแบบเลย แต่ว่าในใจเรามันไม่มีความสุข บางคนมองก็จะรู้ว่า เรามีความทุกข์อะไรบางอย่าง ต่อให้หน้าสวย แต่ว่าเราไม่อยากคุยด้วยเพราะรู้สึกว่าไม่สดใส
หมอแพร: ก็คงต้องคุยก่อนว่าจุดที่ทำให้เขาเดินมาในคลินิกเนี่ยคืออะไร สมมติร่องนี้มีเป็น 10 ปีแล้ว อะไรที่มันทำให้เขาต้องเดินมาทำ คือเหมือนอาจจะหาแรงจูงใจของเขาก่อน แล้วหาว่าเครื่องมืออะไรที่จะตอบเขาได้
ก็จะมี 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งที่ทำทุกอย่างได้เลย เปิดใจกันหมด จะทำ จะฉีด จะเครื่องอะไรได้หมด กับอีกกลุ่มหนึ่งก็คือยังไม่เคยทำอะไรมาเลย ขอแบบเริ่มต้นเล็กๆ ก่อน หมอก็เข้าใจค่ะ เพราะว่าทุกคนมันไม่ได้เดินมา แล้วก็แบบอยากจะโดนเข็มอะไรอย่างนี้
จริงๆ หมอก็จะคุยกับคนไข้อยู่แล้วว่า สิ่งสำคัญของการที่ดูแลหน้าให้ดีในระยะยาว มันไม่ใช่การฉีดอย่างเดียว เพราะว่ามันคือเหมือนแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยซ้ำ แต่ต้นเหตุคือ คุณนอนดีไหม ออกกำลังกายสม่ำเสมอไหม เรื่องของความเครียดพวกนี้ก็มีผล เรื่องของ Aging เกิดจากสิ่งเหล่านั้นส่วนหนึ่งอยู่แล้ว ก็เป็นเรื่อง 6 เสาหลักของ Lifestyle Medicine ในยุคนี้

เพราะฉะนั้นถ้าเขาอยากให้หน้าดูดีขึ้นแล้วระยะยาวไม่เสื่อมโทรมลงเร็ว มิติอื่นเขาก็ดูด้วย แต่ว่าวันนี้หมอจะช่วยมิติที่เราทำได้เลย ผลบางอย่างมันอาจจะเห็นเลย บางอย่างก็อาจจะต้องรอหน่อย และการบำรุงเนี่ย สำคัญมากๆ นะคะในทุกๆ วัน หมอจะมีตัวช่วยในแง่ที่ว่าเรามาทำเป็นครั้งคราว เพราะบางอย่างบำรุงทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องเยอะแยะมากมาย ที่ช่วยยกชั้นลึกด้วย ชั้นตื้นด้วย การเติมเต็มบางอย่าง หรือการกระตุ้นพวกคอลลาเจน อิลาสตินต่างๆ
บางคนก็มาแบบพี่ไม่อยากทำอะไรเยอะ ไม่อยากให้คนเห็นเปลี่ยนอะไรเยอะ แต่อยากแค่ดูดีขึ้น ก็เริ่มจากการทำเครื่องก่อนค่ะ แต่สุดท้ายก็คือครบทุกอย่างที่คลินิกมีแล้วเขาก็แฮปปี้มาก แล้วก็บอกว่า ไม่รู้มาไกลกันได้ขนาดนี้ จากจุดเริ่มต้นคือไม่ได้อยากทำอะไรมาก
ก็สนุกดี รู้สึกมีความสุขกับการที่เราได้เห็นเขาสวยขึ้นในทุกๆ ครั้งที่เจอกัน มันก็เหมือนฮีลใจเราด้วย เพราะเราก็อยากให้เขาดูดี เขาก็มาบอกเราว่า ขอบคุณนะที่เราทำให้เขาดูดีขึ้น ก็มีความสุขไปด้วยกันค่ะ
หมอแพร: หมอเป็นคนชอบบำรุงอยู่แล้ว แต่สิ่งที่บำรุงทำไม่ได้ก็คือหัตถการบางอย่าง เช่น กลุ่มยกกระชับ เราก็ใช้เครื่องอย่างน้อยก็ประมาณ 6-8 เดือนครั้ง หรือหนึ่งปีครั้ง ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของการเติมเต็มบางอย่าง เช่น Hyaluronic Acid หรือว่าเป็นกลุ่ม Biostimulator ที่ช่วยในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว พออายุเยอะขึ้น มันก็ทำให้คอลลาเจนกับอีลาสตินมันเสื่อมตามกาลเวลาอยู่แล้ว เราก็อาจจะใส่กลุ่มพวกนี้เพื่อไปเสริมทำให้ผิวมันแน่นด้วยตัวเองได้บ้าง

หมอแพร: ใช่แล้ว ส่วนใหญ่คนไข้มา Consult ก็คืออยากได้หน้าแบบหมอ เราก็มั่นใจในการตอบเขาได้ว่า เราเป็นอย่างนี้ได้เพราะอะไร เราดูแลอย่างไรมาบ้าง

หมอแพร: แพทย์ด้านความงามเนี่ย มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามีอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเรื่องความรู้ การอัปเดตเทคโนโลยี ยาหรือเครื่องมือต่างๆ มันก็ทำให้เราได้พัฒนาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา งานประชุมคือเยอะมากจริงๆ เพราะเราจะต้องรู้ว่าแต่ละอย่างมันเหมาะกับใคร แล้วมันมีข้อห้ามอะไรไหม อะไรที่มันปลอดภัย หรือไม่ปลอดภัยกับคนไข้ประเภทไหน แล้วก็ต้องวินิจฉัยคนไข้ให้ถูกต้องในแง่ที่ว่าเราจะใช้อะไรในการรักษาเขา คนนี้ใช้อันนี้ได้ไหม แล้วไปใช้อันนั้นได้ไหม หรือใช้ร่วมกันแล้วมันจะเป็นอย่างไร แล้วมันมีข้อควรระวังในคนไข้แต่ละกลุ่มโรคไหม ซึ่งอันนี้ก็ต้องเป็นสิ่งที่เราก็ต้องเรียนรู้นะคะ

ได้ความรู้จากการพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้ในเรื่องการสื่อสาร ทำให้เราได้พัฒนาเรื่องคนมากขึ้น และที่สำคัญก็คือได้ในเรื่องของความสุข เราเห็นผลลัพธ์แล้วคนไข้แฮปปี้
หมอแพร: เราเป็นเราแบบนี้แหละ แต่ว่าเราดูดีขึ้นในทุกๆ วัน ในทุกๆ เดือน ในทุกๆ ปี คนเห็นหน้าเราก็อาจจะทักว่าเจอกันทีไรก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ ไม่แก่ลงเลย หรือว่าดูดีขึ้นในทุกๆ ครั้ง แล้วก็ที่สำคัญคือ จากภายในด้วยค่ะ
หมอแพร: ถ้าคนไม่เคยมั่นใจในความสวย อย่างแรกก็คงต้องเดินมาคุยกันก่อนว่า ความไม่มั่นใจของเขามันคือจุดไหน หมออาจจะช่วยปรับแก้แค่บางจุดที่จะทำให้เขาดูดีขึ้น แน่นอนว่าความมั่นใจของแต่ละคนมันไม่พอดี หมอว่าทำตรงนี้แล้วสวย แต่เขาอาจจะรู้สึกว่ามันยังไม่พอ ก็อาจจะต้องค่อยๆ ลองทำดู และแก้กันไปแต่ว่าไม่มีอะไรที่แก้ไม่ได้ ทุกอย่างมันแก้ได้หมด
คนไข้จะถามอย่างนี้เยอะมากว่า หมอเห็นหน้าพี่แล้วหมอคิดว่าพี่ต้องทำอะไร ก็เป็นโจทย์ที่แบบเราจะดีไซน์อย่างไรดีเนอะ ให้มันดูดีขึ้น มันเป็นอาร์ตเหมือนกันนะคะ น่าสนุก แต่ท้าทายเพราะว่าไม่รู้ว่าถูกใจหรือเปล่า

หมอแพร: ปัจจุบันคลินิกความงามก็มีเยอะนะคะ หรือว่าสถาบันต่างๆ มากมาย ที่ดูแลเรื่องความสวยงาม ก็ต้องเลือกสถานที่ที่มีมาตรฐาน ยามีมาตรฐาน คุณหมอเป็นคุณหมอจริงๆ ที่ทำการรักษาให้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ มันคือความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง แล้วก็มีมาตรฐานในการดูแลรักษาหลังจากนั้นให้เหมาะสม

การเข้าวงการไม่ได้แปลว่าคุณต้องเข้ามาฉีดอย่างเดียว แต่มันจะเป็นการชะลออายุผิวของเขา อาจจะเป็นเครื่องมือก่อนก็ได้นะคะ ทำไม่บ่อยก็ได้ ถ้าอายุยังไม่เยอะ เราไม่ต้องทำเยอะ แต่ทำเรื่อยๆ เป็นการ Maintain ก็ต้องบอกว่าเด็กยุคนี้ก็โชคดีที่มีเครื่องมือเยอะ ที่จะตอบสนองทั้งเจ็บมาก เจ็บน้อย หรือเอาไม่เจ็บ ก็แนะนำว่าถ้าอยากจะเข้า ก็ลองเริ่มเข้าดูค่ะ มันไม่มีอะไรน่ากลัว แล้วก็ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราเป็นคนเลือก หมอมีหน้าที่แค่แนะนำ เหมือนวินิจฉัยให้ แนะทางเลือกในการรักษา แต่คนไข้จะเป็นคนเลือกเองค่ะ

Romrawin Clinic
Open: ตรวจเวลาทำการได้ทางเว็บไซต์ Romrawin Clinic
Address: ตรวจสอบสาขาได้ทางเว็บไซต์ Romrawin Clinic
Tel: 08 0153 9000, 08 0154 9000
Website: https://www.romrawin.com
Instagram: https://www.instagram.com/romrawinclinic
Facebook: https://www.facebook.com/RomrawinClinic
The post หมอแพร-พญ.ธิรดา จิตตการ (ว.30170) แพทย์ความงามผู้เข้าถึงใจคนไข้ดั่งนักจิตเวช appeared first on THE STANDARD.
]]>
‘ชอบศิลปะ’ ความหลงใหลในความสวยงามของงานศิลป์ตั้งแต่เด็ก […]
The post พญ.อรุณี กับความสุขจากการเติมพลังของตัวเอง ด้วยการเติมความสวยแก่คนไข้ appeared first on THE STANDARD.
]]>
‘ชอบศิลปะ’ ความหลงใหลในความสวยงามของงานศิลป์ตั้งแต่เด็กเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทำให้ หมอออย-พญ.อรุณี ทองอัครนิโรจน์ (ว.40692) ได้เป็นแพทย์ประจำ รมย์รวินท์คลินิก และยังเป็นเหมือนเพื่อนของคนไข้ที่คอยให้คำแนะนำและเกร็ดความรู้ด้านความงามจนถึงทุกวันนี้

จากศิลปะบนวัตถุ…สู่ศิลปะบนใบหน้า ความเป็นศิลปินในสายเลือดและประสบการณ์ด้านผิวหนังกว่าทศวรรษ ทำให้หมอออยค้นพบแพสชันด้านการปรับรูปหน้ามากเป็นพิเศษ เพราะมากกว่าความสุขจากการได้ทำในสิ่งที่รักมาตั้งแต่เด็ก คือความสุขจากการได้ดูแลคนไข้ดุจเพื่อน ได้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ได้ทำให้คนไข้ทุกคนสวยและดูดีในแบบของตัวเองที่สุด เฉกเช่นแนวคิด ‘For the Better You’ โดย Romrawin
มุมมองความงามในแบบฉบับของหมอออยในหัตถการความงามจะช่วยให้คุณสวยในแบบที่เป็นคุณมากแค่ไหน ค้นพบคำตอบได้ใน Passion Calling x Romrawin with Dr.Oil Arunee

หมอออย: ไม่เชิงเลยค่ะ ปกติแล้วคุณแม่สอนให้ดูแลตัวเองตั้งแต่เล็กๆ คุณแม่สอนให้ใช้ครีมกันแดดตั้งแต่ยังเล็กมาก ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าทำไมเราจะต้องเลี่ยงแดด แล้วจริงๆ ตอนเด็กเป็นเด็กที่รักศิลปะมากเป็นพิเศษ เรียกว่าไม่ต้องเรียน เหมือนชอบเอง ทำเอง ด้วยการเป็นคนที่ชอบลองอะไรใหม่ๆ ตอนนั้นก็รู้สึกว่าการเรียนหนังสือ ถ้าเราลองตั้งใจดูสักนิด เกรดดีขึ้น คนก็จะชื่นชม เลยทำให้เราเป็นเด็กที่ชอบเรียน ชอบแข่งขันมาช่วงหนึ่ง
ตั้งแต่เรารู้ตัวว่าเราชอบศิลปะ ชอบด้านการเรียน เราก็เลยเอาสองอย่างมาแมตช์ด้วยกัน การเรียนอะไรที่สามารถเอามาใช้ในแง่ของศิลปะตอนนั้นก็คือชีววิทยา ต้องวาดรูป มองเห็นภาพเซลล์ มองเห็นภาพสิ่งแวดล้อม มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเราจะทำอะไรที่มันได้ทั้งความรู้ในสิ่งที่เราจะก้าวไปข้างหน้า แล้วก็เอาศิลปะเข้ามารวบไปด้วยกัน ตอนนั้นก็ไม่เคยคิดเลยค่ะว่าอยากจะเป็นหมอ แต่สุดท้ายสังคมมันพาไป แล้วอันนี้ก็เวิร์กกว่าการไปเรียนวิศวะ เพราะเราไม่ชอบตัวเลขขนาดนั้น

หมอออย: ต้องบอกก่อนว่าปกติแล้วการเรียนหมอมันไม่ใช่ว่าเรียนไปแล้วเราจะรู้ว่าเราจะจบมาเป็นอะไรนะคะ ในระหว่างที่เราเรียนไปทุกๆ ชั้นปี เราก็จะเริ่มค่อยๆ เห็นการเปลี่ยนแปลง คือช่วงประมาณปี 4, ปี 5, ปี 6 ที่จะเริ่มเห็นแล้วว่าหมอแต่ละวอร์ดหรือหมอแต่ละวิชาชีพ เขาทำอะไรบ้าง
ตอนนั้นมีโอกาสได้ไปเรียนแผนกผิวหนัง จะบอกว่าแผนกผิวหนังความรู้สึกเหมือนเราเล่นจับผู้ร้าย มันจะต้องหาทริก หาคำใบ้โดยการไม่ต้องซักถาม มองปุ๊บ เอ๊ะ หน้าตาผื่นแบบนี้ มีลักษณะแบบนี้ มีองค์ประกอบแบบนี้ เรานึกถึงอะไร ตอนนั้นก็เลยรู้สึกว่า โอ้โห คนไหนที่ช่างสังเกต ช่างทาย ช่างเดา แล้วก็มีประสบการณ์มาก่อน มันก็อาจจะเดาถูก แล้วพอเดาถูกก็เฮ้ย เจ๋งอะ
หมอออย: ใช่ เวลาเรามองเห็นโรคผิวหนัง เราจะมองว่ามันไม่น่าดูเลย มันดูน่ารังเกียจ มันดูเป็นแดงๆ ขุยๆ บางทีก็เป็นโรคติดเชื้ออะไรอย่างนี้ แต่ ณ ตอนนั้นที่เราได้เรียนไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มรู้สึกว่ามันมีศาสตร์อื่นอีกนะ ในด้านของผิวหนัง คือนอกจากการทำให้คนหายจากโรคบางอย่างที่มันดูไม่สวยงาม มันสามารถทำให้คนดูสวย ดูดีขึ้นได้ด้วย

หมอออย: มีค่ะ เราก็จะต้องมีเรื่องของสิวนะคะ รอยสิว ก็เคยเข้าไปปรึกษาคุณหมอว่าจะรักษาอย่างไรอะไรแบบนี้
หมอออย: เมื่อก่อนเวลาคนเขาจะมาคลินิกต้องแอบๆ กันมา เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าบางทีเราไปทำอะไรมา มันยังดูเป็นสิ่งที่ต้องปกปิด แบบว่าอยากสวย อยากดูดี เป็นธรรมชาติ แต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันต้องผ่านการทำเครื่อง ไปจิ้ม ไปทำอะไรมา
แต่ปัจจุบันคนยอมรับมากขึ้นนะ ถ้าสังเกตโฆษณาเต็มไปหมด บางคนเขาภูมิใจในการที่จะเข้าไปทำคอนเทนต์ในสถานเสริมความงาม รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่อยากให้คนได้รับรู้ อยากให้คนได้รู้ว่าฉันได้ทำนะ ลองแล้วไปรีวิวซิว่าเป็นอย่างไร คือตอนนี้โลกมันมองกลับกันหมด เราก็เลยรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เปิดมากขึ้น แล้วคนก็พร้อมที่จะอยากดูดี ดูสวยมากขึ้นค่ะ
แล้วสมัยนี้คือเทคโนโลยีมันไปไกลมาก เมื่อก่อนคนอาจจะกลัวว่ามันจะต้องเจ็บ ต้องยอมทน ยอมทรมาน เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีต่างๆ มันมีทั้งง่ายและเร็ว รวมทั้งเห็นผลชัด ไม่ต้องพักหน้าเยอะ Lunch Time Beauty ก็มีนะ เหมือนกับพอเบรกกลางวันเราก็แวบไปแป๊บหนึ่ง ทำสวยเสร็จกลับมาทำงานต่อได้แล้ว ใช้ชีวิตง่ายค่ะ

หมอออย: จะบอกว่าไม่เคยคิดว่าจะเป็นหมอผิวหนังตั้งแต่แรก ต้องยอมรับก่อนว่าในประเทศไทยจริงๆ หมอผิวหนังเป็นตำแหน่งที่มันน้อยนะคะ คือทุกคนก็อยากจะมาเป็น
ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาทำงานในคลินิกเสริมความงาม ปกติเราก็ไม่เคยได้คุยกับคนไข้ในรายละเอียดถึงความทุกข์กับสิ่งที่เขาเห็นบนผิว คือเราก็เข้าใจทั่วไปแหละว่า โอเค มีสิว อยากรักษาสิว มีผื่น อยากรักษาผื่น แต่ในบางครั้งคนไข้ที่เข้ามาเขามีปัญหาลึกไปกว่าสิ่งที่เราเห็น อันนั้นเป็นอันหนึ่งที่รู้สึกว่าเคยใช้เวลาคุยกับคนไข้เคสแรกๆ เป็นชั่วโมง แค่คุยกับประเด็นของเขาที่แบบว่า เออ อันนี้มันไม่ใช่แค่สิวกับสิ่งที่มันเกิด มันเกิดจากความเครียด การไม่ได้นอน เพราะมีปัญหากับที่บ้าน ทะเลาะกันมา แล้วก็มีเรื่องค่าใช้จ่ายโน่นนี่นั่น

หนึ่งปัญหาที่เราเห็นมันเป็นที่มาของปัญหานานัปการ บางทีเวลาเราแงะๆ แคะๆ เข้าไป ไม่ต้องรักษาอะไรเลยก็ได้ แค่คุยกับเขา เขาหาย เชื่อไหมเขาสามารถกลับมาใช้รูทีนของเขาที่ดีขึ้นแล้วก็หายได้ คือหลายๆ ครั้งหมอเจอ น้องหลายๆ คนแรกๆ ที่เข้ามาทำก็ไม่มี Budget ในการทำหน้ามากมาย ทุกคนก็มาด้วยความที่เป็นเด็กนักเรียน บางทีมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ พอปรึกษา ถามไปถามมา สิ่งที่เกิดขึ้น อ๋อ มันเกิดจากการใช้รูทีนผิดๆ เช่น การใช้น้ำยาล้างหน้าที่ไม่เหมาะกับผิวเรา หรือว่าการไปทดลองครีมใหม่ แค่บอกให้เขาหยุดแล้วก็กลับมาดูแลเบสิกสกินแค่นั้นเลย
วันนั้นก็คือแทบไม่ได้ทำอะไร นั่งคุยก็ทำให้คนคนหนึ่งกลับมาใช้ชีวิตได้ดีขึ้น นั่นก็คือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของการเป็นหมอเหมือนกันค่ะ
หมอออย: ใช่ จริงๆ แล้วคนเรามันมีที่มาของการที่จะเกิดปัญหาหลายอย่าง บางอย่างไม่ต้องไปใช้อุปกรณ์อะไรเลย มันแค่กลับไปจัดการที่ตัวเราเอง อาจต้องการใครสักคนที่คุยแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่จะบอกว่าอาชีพนี้มันให้ได้ มันสามารถที่จะทำให้คนอื่นดีขึ้นได้
หมอออย: แน่นอนค่ะ หมอเชื่อว่าหมอทุกแผนกที่ต้องสัมผัสกับคนจะต้องรู้ว่าอีกคนเขาคิดอย่างไร แล้วเราก็จะหาวิธีการคุย มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เลยค่ะ
หมอออย: จริงๆ แล้วในอาชีพหมอมันได้ลองทุกแบบเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคผิวหนังทั่วไป ดูแลผิวเบื้องต้น จนถึงการแก้ไขโครงสร้างของผิวหน้า ซึ่งจะบอกว่าอันที่ยากที่สุดก็คืออันนี้ คือการปรับโครงหน้า นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้น บางคนมีปัญหาบางอย่างที่เป็นมาตั้งแต่แรกเกิด การที่ปรับเขานิดๆ หน่อยๆ ทำให้เขาดูดี มั่นใจในแบบที่เป็นตัวเขาเอง อันนี้มันส่งเสริมให้เขาดีขึ้น แล้วก็ส่งเสริมให้เรามีความสุขกับฟีดแบ็กที่เขาบอกกลับมาด้วยค่ะ
หมอออย: ใช่ ความมั่นใจมันส่งพลังออกมาเหมือนกัน เคยสังเกตไหม บางคนหน้าตาอาจจะไม่ได้สวยมาก แต่ว่าถ้าเขาได้พูดหรือสื่อสารอะไรออกมา เขาสวยขึ้น บุคลิกเขาหรือหลายๆ อย่างทำให้เขาสวยขึ้น กับบางคนที่เครียด ดูไม่อยากจะพูดอะไร แต่หน้าตาคือสวยมากเลยนะ แต่พอพูดปั๊บหมองเลย มันมีหลายแบบ
เพราะฉะนั้นการที่เราจะ Inside-Out, Outside-In มันเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ นอกจากภายนอกกับภายในตรงกัน มันยังทำให้เรารู้สึกว่าคนนี้เป็นคนจริงใจ เราอยากคุยด้วย

หมอออย: จะบอกว่าจริงๆ แล้วความงามสำหรับหมอมันไม่มีนิยามแหละ มันเป็นการมองโลกของแต่ละคนมากกว่า อย่างของหมออาจจะมองว่าแบบนี้คือสวย ของคนอีกคนหนึ่งก็อาจจะมองว่าอีกแบบหนึ่งคือสวย เพราะฉะนั้นความสวยมันคือความพึงพอใจของตัวเราเองหรือว่าของคนอื่นที่มองเรา
ถ้าบางคนไม่ได้แคร์ตัวเอง แคร์ภาพที่คนอื่นมองเรา เราก็จะไปแคร์ว่าความสวยแบบที่เขามองนี่แหละคือความสวยแบบที่ฉันอยากได้ เพราะฉะนั้นความสวยมันก็เลยไม่มีขีดจำกัดหรือว่า Definition ขึ้นอยู่กับความพอใจของตัวเราเอง

หมอออย: เวลาเราหน้าตาดีเขาบอกว่าโลกจะใจดีกับเรา เวลาเราหน้าตาดีเรามีโอกาสหรือมีสิทธิ์ที่จะได้รับเข้าทำงานมากกว่าอีกคน ในคนที่มีความสามารถเหมือนกัน จริงไหมคะ เราสามารถจะทำให้อีกคนเซย์เยสกับเราได้ง่ายมากขึ้น อันนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องจริงนะ
หมอออย: จะว่าไปมันก็เหมือนไม่แฟร์ แต่อย่าลืมว่าเราสามารถสร้างได้ มันก็แฟร์ได้เหมือนกัน
หมอออย: ส่วนใหญ่มันจะเป็นเคสที่พอเราทำแล้วมันอิมแพ็กต์กับชีวิตเขาเยอะๆ หลายๆ ครั้งก็จะเคยเจอเคสที่แบบว่ามีความพิการบางอย่างแต่กำเนิดที่มันแสดงออกมาให้เห็นบนใบหน้า ทำให้กระดูกหน้าไม่เท่ากัน มีความหน้าเบี้ยวมาก หรือว่าอาจจะมีโรคบางอย่าง อย่างเช่น โรคปากแหว่งเพดานโหว่ ที่อาจซ่อมแล้วแต่มีแผลเป็น ทำให้เวลาพูดหรือยิ้มมันมีปากที่ไม่เท่ากัน
เวลาที่เราได้ทำหรือว่าช่วยเขาให้หน้ามีความ Symmetry มากขึ้น ความ Symmetry มันเป็นส่วนหนึ่งของความสวยแหละ เราแค่ปรับให้มันมาได้ในเรื่องของสัดส่วน ได้โครงหน้าที่เป็นแบบธรรมชาติ แล้วก็ทำให้หน้ามีความ Positive ในแง่ของโทน แล้วก็ทุกๆ อย่าง มันทำให้เราดูเด็กแล้วก็ดูดีขึ้นนะคะ ดูสวยขึ้นแบบนั้นเลย

ตอนที่ทำเสร็จ พอเขาเห็นตัวเอง เชื่อไหมว่าเขายกกระจกขึ้นมาแล้วเขาน้ำตาไหล เราอยากร้องไห้ตามเลย คือเขารู้สึกจริงๆ เขารู้สึกขอบคุณแบบไม่ต้องพูดเลยค่ะ พอเขากลับไปใช้ชีวิต เขาบอกเลยว่ามันทำให้เขาสามารถที่จะกล้าไปคุย ได้โอกาสในเรื่องของงานมากขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าเปลี่ยนบุคลิกของตัวเองไปได้เพราะแค่หมอทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นเอง เราบอกว่าจริงเหรอ มันดีจังเลยเนอะ
หลังจากนั้นมันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเราสามารถต่อยอดความคิดนี้ไปได้เรื่อยๆ เรายิ่งทำ ยิ่งให้ เราส่งทั้งพลัง ส่งทั้งความรู้สึกในการทำทุกๆ เคส รู้สึกว่าคนไข้มีความเข้าใจ แล้วเขาก็รู้สึกเห็นด้วย
ทุกครั้งเราก็เลยดูแลคนไข้เหมือนเป็น Journey เราดูแลกันไปเรื่อยๆ เขาเข้ามาบางที นอกจากเรื่องของการดูแลผลลัพธ์บนใบหน้าแล้ว เขาก็ได้มีเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคน เพื่อนที่จริงใจ เพื่อนที่พร้อมจะดูแลในเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากแค่การทำหน้า

หมอออย: นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ ยิ่งเราอยู่ในจุดที่เราทำแล้วคนไข้บอกต่อนี่บอกเลยว่าเป็นอะไรที่มีความสุขมากๆ เพราะรู้สึกได้เลยว่ามันต้องทัชเขาระดับหนึ่ง เพราะเราไม่เคยบอกเขาว่าต้องบอกต่อหน่อยนะ เอามาถ่ายรีวิวหน่อยนะ ส่วนใหญ่จะไม่ใช่สไตล์นั้น เพราะว่าเราจะเป็นคนค่อนข้างให้ความมั่นใจกับคนไข้สูงมากเหมือนกัน
คนที่ถูกแนะนำมาส่วนหนึ่งเป็นคนไข้ที่ใหม่มาก แล้วบางทีใหม่ต่อวงการความงามด้วย จะจิ้มอย่างหนึ่ง จะเครื่องอย่างหนึ่ง กลัวไปหมด ไม่กล้าไปหมด ยากที่สุดก็คือการเปิดใจคนไข้ค่ะ เปิดใจเสร็จแล้ว พอเขาเชื่อใจ เริ่มมั่นใจกับเรา แค่ Session แรกๆ ทำเสร็จเห็นผล หลังจากนั้นก็คือเป็นเพื่อนกันไปเลย หมออยากทำอะไรทำ
ส่วนใหญ่เวลาหมอทำงานหนึ่งงานก็จะมองก่อนว่าอะไรคือปัญหาของเขาที่เขากังวลมากที่สุด แล้วเราค่อยมองหาว่าระหว่างทางเราใช้อุปกรณ์หรือใช้อะไรที่จะแก้ไขให้เขาได้บ้าง เพราะฉะนั้นเราก็จะเลือกในสิ่งที่เรียกว่าเหมาะสมที่สุด Budget ต้องได้ด้วย อย่าหนักเกินไป เลือกแค่อย่างถึงสองอย่าง พอเขาเริ่มได้ผลลัพธ์ที่ดีแล้วเริ่มเปิดใจ อันนั้นแหละมันจะทำให้เขาเริ่มก้าวไปสู่จุดถัดไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นหมอว่าการแชร์หรือการพูดกับเขาตรงๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าปัญหาเขามีอะไรบ้าง แล้วเริ่มแก้จาก First Priority ที่คนไข้กังวลที่สุด เขาก็จะเริ่มเห็นตัวเองแล้วว่าเราดีขึ้นได้

หมอออย: จริงๆ แล้วมันจะเป็นอารมณ์ที่แวบขึ้นมาตลอดทุกครั้งที่เหนื่อย แต่ความยากก็คือ เมื่อไรก็ตามที่เราต้องเข้าไปนั่งต่อหน้าคนไข้หนึ่งคนที่เข้ามาแล้วเขาคาดหวังสิ่งที่เขาจะได้จากเรา ความเหนื่อยอันนั้นเราต้องยกหายไปเลย แต่มันก็จะถูก Overwhelm มากขึ้นจากสิ่งที่คนไข้เขาตอบกลับเวลาที่เขาได้ผลลัพธ์ที่ดี
ปัจจุบันการทำเรื่องของความสวย นอกจากทำให้เขาดูสวยแล้ว เรายังรู้สึกว่ามันเป็นการเติมพลังตัวเอง เติมใจ เติมเชื้อเพลิง คือเติมกันไปเติมกันมา เหมือนเพื่อนกัน เป็น Journey ของการดูแลคนไข้ที่ดี เป็น Journey ของการเจอเพื่อนใหม่ เป็น Journey ของการมีคอนเน็กชันใหม่ๆ บางทีเราก็ได้เจอคนไข้ที่มีลูก ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน นี่คือสิ่งที่เราได้นอกเหนือจากการทำงานค่ะ

หมอออย: จริงๆ แล้วเรื่องของการดูแลคนไข้มันก็เป็นหน้าที่เนอะ มันเป็นการงานใช่ไหมคะ แต่เราไม่เคยมองงานว่าเป็นงาน
พอเรามองงานเป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข เราจะเห็นคนไข้ที่จริงๆ แล้วอาจจะเป็นแค่คนที่มารู้จักกันแค่หนึ่งวันแล้วผ่านไป กลายเป็นคนที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันไปในระยะยาว เราเห็นพัฒนาการชีวิตเขา เขาเห็นการเติบโตของเรา เห็นตั้งแต่ลูกเรายังไม่เกิด จนตอนนี้ 2 คนแล้ว คนไข้นี่คือยิ่งกว่าเพื่อนนะคะ เราดูแลกันไปทั้งในแง่ของการดูแลผิว แล้วก็ดูแลความรู้สึกของกันและกัน
เพราะฉะนั้นการทำงานในทุกวันมันเป็นการเติมความสุข เรียกว่าการทำหน้าเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ดีกว่า ชีวิตจริงคือการมาหาความสุขในที่ทำงาน

หมอออย: จริงๆ แล้วมันก็ต้องเกิดมาจากทั้งภายในและภายนอก ต้องบอกก่อนว่าการเป็นหมอหน้าเนี่ย คนไข้เขามองหน้าเราก่อนเป็นสิ่งแรก เขาก็ต้องดูก่อนว่าที่หมอแนะนำไปหมอได้ทำไหม หมอทำได้ไหม แล้วมันเห็นผลลัพธ์จริงบนหน้าหมอด้วยหรือเปล่า
หลายครั้งคนไข้เคยแชร์กับเราว่า บางทีถ้าเกิดเป็นหมอที่เขาไม่โอเค ไม่ใช่ไทป์ของเขา เขาก็โอเค ไม่ไปต่อ แต่ถ้าครั้งที่เขาเจอหมอแล้วขอสักครึ่งหนึ่งของหมอแล้วกัน อันนี้แหละมันเลยสะท้อนว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันต้องเกิดกับตัวเราด้วย แล้วมันก็ส่งต่อไปถึงคนไข้เราเหมือนกัน มันต้องเป็นความมั่นใจที่เกิดจากภายในส่งต่อไปถึงเขา

หมอออย: ทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเอง ทุกคนมีค่ะ รับรองว่ามี เชื่อสิ แล้วลองมาทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้วมันสวยงามมากยิ่งขึ้น ปรับนิดๆ หน่อยๆ หรือว่าอย่างน้อยสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่มันไม่ดี สิ่งที่เราต้องแก้ สิ่งที่เป็นจุดด้อย แค่แก้ให้มันดีขึ้น ให้มันดู Harmonize ให้มันดูสมูทไปทั้งหมด มันจะทำให้ภายนอกของเราดูมั่นใจมากยิ่งขึ้น แล้วมันก็จะส่งต่อเข้าไปถึงภายในให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง
หมอออย: For the Better You คือการเป็นคุณในรูปแบบที่ดีกว่าเดิม หมอว่ามันไม่ใช่แค่จากภายในที่เรามั่นใจขึ้นอย่างเดียว ภายนอกที่ส่งเสริมก็ทำให้เรามั่นใจขึ้นไปอีก มันก็เลยเป็นเสี้ยวที่สำคัญ เหมือนที่บอกว่า Beauty Privilege เราอยากให้โลกใจดีกับเรา แค่ปรับตัวให้สวยมากยิ่งขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง ก็ทำให้เรามั่นใจจากภายในสู่ภายนอกได้เลย

หมอออย: ใช่เลยค่ะ การใจดีกับตัวเองคือการเริ่มต้นหันกลับมารักตัวเองก่อน หันกลับมาเห็นว่าตัวเราก็มีมุม มีความสวย ที่เราอยากจะเสริมให้มันเด่นขึ้นหรือว่าโดดเด่นมากยิ่งขึ้น แล้วเราก็ให้เวลาในการปรับแก้ไข อย่าเพิ่งยอมแพ้นะคะว่าเราไม่สวย เราสวยสิคะ เพราะว่าเราก็มีจุดดีของตัวเราเองเหมือนกัน ขอแค่เสริมให้ถูกต้องแค่นั้นเองค่ะ
หมอออย: ถูกต้องค่ะ เราต้องรักตัวเองให้มาก เรียกว่าให้โอกาส ให้กำลังใจตัวเองก่อน หลังจากนั้นเราก็ลองได้ทำมัน พอทำมันเสร็จ ผลลัพธ์มันเกิดปุ๊บ เราก็จะได้ไม่เสียดายว่าไม่ได้ทำ

Romrawin Clinic
Open: ตรวจเวลาทำการได้ทางเว็บไซต์ Romrawin Clinic
Address: ตรวจสอบสาขาได้ทางเว็บไซต์ Romrawin Clinic
Tel: 08 0153 9000, 08 0154 9000
Website: https://www.romrawin.com
Instagram: https://www.instagram.com/romrawinclinic
Facebook: https://www.facebook.com/RomrawinClinic
The post พญ.อรุณี กับความสุขจากการเติมพลังของตัวเอง ด้วยการเติมความสวยแก่คนไข้ appeared first on THE STANDARD.
]]>
‘RAVIPA’ เพียงแว่บแรกที่ได้ยินชื่อคุณอาจจะคิดว่านี่คือแ […]
The post RAVIPA บทพิสูจน์แห่งการเสียสละความสนุกวัยเรียนของ สา-ธนิสา วีระศักดิ์ศรี appeared first on THE STANDARD.
]]>
‘RAVIPA’ เพียงแว่บแรกที่ได้ยินชื่อคุณอาจจะคิดว่านี่คือแบรนด์จิวเวลรีสายมู แต่ที่จริงแล้ว RAVIPA คือผลงานศิลปะในรูปแบบเครื่องประดับที่ถูกออกแบบบนแพสชันของผู้หญิงที่ชื่อ สา-ธนิสา วีระศักดิ์ศรี

จากแหวนคู่ Infinity วงแรกอันเป็นสัญลักษณ์ของความรักชั่วนิรันดร์ สู่การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่รู้จักและได้การยอมรับในระดับสากล
ทุกโมเมนต์การเดินทางของเธอกับ RAVIPA ยังคงขับเคลื่อนด้วยความใจฟูในทุกสิ่งที่ทำเสมอ
ทว่าโมเมนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ใจฟูเกินบรรยายคือนาทีที่ Disney บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไม่ใช่เพียงผู้รังสรรค์โลกในจินตนาการ แต่เป็นความฝัน ความผูกพัน ความทรงจำอันสวยงามตลอดช่วงชีวิตของใครหลายคน รวมถึงตัวสา ติดต่อเข้ามาชวนเธอร่วมออกแบบเครื่องประดับเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์

ปัจจุบัน RAVIPA มีสาขามากกว่า 40 แห่งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงเกาหลี ญี่ปุ่น และฮ่องกงที่กำลังจะเปิดใหม่ ไม่ว่า RAVIPA จะออกเดินทางไปไกลแค่ไหน เราเชื่อว่าความหลงใหลและแรงปรารถนาในการรังสรรค์แบรนด์ที่มีความหมายตั้งแต่ Day 1 ของสาก็ยังไม่เคยจืดจาง
ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา เธอคนนี้ต้องเสียสละอะไรไปบ้าง และอะไรที่ทำให้ RAVIPA ยังคงเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งจวบจนนาทีนี้ ร่วมค้นคำตอบไปด้วยกันกับ Passion Calling x Sa-Thanisa Veerasaksri
ตอนนี้นอกจาก RAVIPA ที่เป็นแบรนด์เครื่องประดับแล้ว เพิ่งออกแบรนด์น้องหมามา ชื่อ Hug & Paws ด้วยค่ะ เป็นแบรนด์เครื่องรางน้องหมาด้วย คือสามีชิบะอยู่ที่บ้าน ก็เลยรู้สึกว่านอกจากทำให้คนมาเยอะแล้ว อยากทำให้น้องที่น่ารักมากๆ ที่บ้านเราด้วยอีกคนหนึ่งค่ะ
View this post on Instagram
ใช่แล้ว ก็คือน้องหมาจะได้โชคดีไปด้วย เพราะเราอยู่กับเขาตลอดไม่ได้ ก็เลยรู้สึกว่าต้องมีเครื่องรางไว้กับตัวเขาด้วย ให้คุ้มครอง ป้องกัน ไม่ให้หายไปไหน เราจะได้อุ่นใจว่าเขาสุขภาพแข็งแรงค่ะ แล้วก็ยังมีอีกแบรนด์หนึ่ง เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่สากำลังจะแต่งงานแล้ว ดังนั้นก็เลยทำ RAVIPA Bridal ขึ้นมาค่ะ จริงๆ เคยทำมาก่อนหน้าอยู่แล้ว เป็น Custom-made Wedding Rings ค่ะ แล้วก็ตอนนี้คือแพสชันตัวเองหนักมาก เพราะว่ากำลังเข้าช่วงแต่งงาน ก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะทำแหวนแบบคู่ให้กับคู่รักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งค่ะ
View this post on Instagram
วันนี้ใส่มาด้วย เป็นแหวนวงแรกเลย ถ้าไม่มีวงนี้ คงไม่มี RAVIPA วันนี้เลยค่ะ เป็นแหวนคู่ที่เรียกว่า Meaningful มากๆ เพราะเป็น Infinity เป็นสัญลักษณ์ของการไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ ตอนนั้นจำได้เลย สารู้สึกว่าเราเป็นแฟนกัน ทำไมต้องรอถึงแต่งงานนะ เราอยากจับจอง อยากมี Promise Ring กับคนที่เรารักค่ะ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำแหวนคู่ แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำ RAVIPA ด้วย

โห ตอนนั้นตั้งแต่เรียนปี 3 น่าจะ 10 ปีนิดๆ แล้วค่ะ
จุดเริ่มต้นของการทำแบรนด์ RAVIPA จริงๆ ก็คือ เด็กที่มีแพสชันคนหนึ่งที่รู้สึกว่าอยากทำอะไรที่เป็นธุรกิจบ้าง เราก็ยังหาตัวเองไม่เจอ แต่โชคดีว่าพี่ไปเรียน Jewelry Making ที่อเมริกา แล้วก็ไปเรียนดีไซน์ แล้วเขาก็ไปชนะรางวัลมากมาย แล้วเราก็แบบ ทำแบรนด์ตัวเองไหม ทำไมถึงไปออกแบบให้คนอื่น เรากำลังมีแพสชันอยู่ เราก็เลยบอกว่า มาเลย เดี๋ยวดูแลพาร์ตธุรกิจให้ทั้งหมด แล้วเธอออกแบบอย่างเดียว
ไอเดีย Infinity ก็คือไอเดียสาเลย สาก็บอก ออกแบบแหวน Infinity ที่สวยที่สุดมา แล้วเดี๋ยวเราจะมาขายกัน
ด้วยโจทย์ที่เราเคลียร์มาก การออกแบบทุกอย่างเราไม่ได้มีแบบเวอร์ชัน 1 เวอร์ชัน 2 เวอร์ชัน 3 นะคะ อันนี้เป็นเวอร์ชันแรกเวอร์ชันเดียวเลย จริงๆ สำหรับแหวน Infinity นี้ สารู้สึกว่ามันต้องเป็นอะไรที่ใส่ใน Everyday ได้ เชื่อไหมว่ามัน 10 กว่าปีแล้ว แต่ว่าใส่แล้วยังรู้สึกเหมือนครั้งแรกที่ใส่เลย
ดีไซเนอร์ก็ Mission Complete นะคะ ออกแบบอะไรได้ Timeless ขนาดนี้ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ต้องไม่ตะโกน เพราะตอนนั้นเราก็แค่เด็กอายุ 20 มันต้องเป็นอะไรที่ไม่ตะโกน เพชรต้องไม่กระแทกตา ดีไซน์ต้องยังรุ่นใหม่อยู่ แล้วอีกอย่างสาเป็นคนที่ใส่จิวเวลรีทุกวัน ดังนั้นจะสังเกตได้เลยว่าดีไซน์ RAVIPA จะมีความโค้งมนตลอด เพราะสารู้สึกว่าเราไม่อยากให้เกี่ยว ไม่อยากให้เหมือนใส่เสื้อผ้าแล้วขูดขีดโดน อยากให้เป็น Everyday จริงๆ ค่ะ
จำได้ ภาพนั้นมันชัดเจนมากๆ เลย ตอนนั้นอยู่ K Village แล้วก็เป็นโต๊ะที่เขากางให้ เราก็เอาผ้าคลุมไปคลุมปุ๊บ ใส่ชุดนิสิตไปขายของอย่างนี้ค่ะ ตอนนั้นโลโก้แรก RAVIPA เป็นสีดำด้วยนะคะ ไม่ใช่ CI ปัจจุบัน ดำขลับเงิน คิดง่ายๆ เบสิกแค่นั้นเลยค่ะ แล้วก็วางขาย ตอนนั้นเราเริ่มต้นด้วยเงินทุนหมื่นหนึ่ง มันน้อยมาก เพราะว่าสาไม่มีต้นทุนในการผลิต สาก็เลยเปิดพรีออร์เดอร์ทั้งหมดเลย มันก็มีแค่ดิสเพลย์ คนก็ไปลองใส่แล้วเขาชอบมาก ด้วยความที่เรากับพี่เป็นคนออกแบบกันมาเลยคุยกับลูกค้านานมากค่ะ คุยเยอะมากว่าทำไมถึงชอบคะ “โอ๊ย ดีไซน์สวยมาก ไม่เคยเห็น Infinity แบบนี้เลย” มันเป็นพลัง จริงๆ ไม่มีใครบอกเราว่า Market Research มันสำคัญ แต่เราทำโดยไม่รู้ตัว แล้วเราทำเป็นนิสัยเลย
นอกจากต่างหูที่สาเล่าให้ฟัง สร้อยคอก็เป็นโปรดักต์ถัดไป อันนี้ต้องให้เครดิตลูกค้าค่ะ ฟังลูกค้าว่าเขาอยากได้อะไรแล้วเราก็ทำตาม แล้วโมเมนต์ที่ลูกค้าอยากได้ของเรามากๆ ตอนนั้นคนรุมร้านช่วงวาเลนไทน์ ต้องวัดไซส์แหวน มันก็ใช้เวลาระดับหนึ่ง เราก็บอกลูกค้าว่ารอนิดหนึ่งนะคะ คือสาชอบมาก มัน Good Busy คือคนรุมร้านแล้วเราไม่ทัน เหนื่อยมาก ข้าวไม่ต้องกินก็ได้ แต่มันอิ่ม อิ่มใจมาก มัน Fulfilled สุดๆ
ตอนขายของแล้วลูกค้าบอกว่า “น้องๆ เอาเบอร์พี่ไป ร้านโล่งแล้วโทรมานะ” สาแบบ โห ขอบคุณมาก ดีใจมาก มันเป็นอะไรที่แบบ เขาต้องชอบขนาดไหน เขาถึงจะกลับมา เราตอนนั้นพูดถึงว่าขายดีด้วยโปรดักต์เลย ไม่มีคำว่าแบรนด์ มันเลยเป็นกำลังใจให้เราทำคอลเล็กชันต่อๆ ไปออกมา

ถามว่าตอน Day 1 เขาซัพพอร์ตไหม เราแอบทำนิดหนึ่งค่ะ เขาบอกว่าสาเรียนบัญชี จุฬาฯ ซึ่งมันก็ยากมากๆ แล้วคะแนนก็ตัดเคิร์ฟด้วย หมายความว่าถ้าเราไม่เรียนนี่ไปแน่ C, E, D มาแน่ เขาก็ไม่อยากให้เราไปกดดันตัวเอง เพราะว่าเขาก็เห็นภาพเราคืออ่านหนังสือตอนกลางคืน อยู่จุฬาฯ ดึกดื่น ไม่กลับบ้าน นั่งอ่านโต้รุ่ง เขาก็รู้สึกว่าแค่นั้นมันก็ Pain มากแล้วนะ
เหมือนสมัยก่อนเขากลัวลูกเรียนไม่จบ แต่จริงๆ สาไม่ได้เกเรนะ เกรดสาก็โอเค แล้วสาก็บอกเขาว่าอยากได้เกียรตินิยมมากใช่ไหม เดี๋ยวทำให้ได้นะ แต่ขอทำในสิ่งที่ชอบด้วยได้ไหม แล้วก็บอกพ่อว่าจะไม่เสียเรียน พ่อได้ไปงานรับปริญญาลูกแน่ๆ ไม่ต้องห่วง
ถ้าย้อนกลับไป ตอนนั้นสาไม่ได้ไปแฮงเอาต์กับเพื่อนเยอะเท่าที่ควรเลย ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย เวลาเล่นหายไป จริงๆ อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เรา Give Up ในวันนั้น แต่ถ้ามองย้อนกลับไป วันนั้นที่เรา Give Up เวลาเล่น สาว่ามันคุ้มค่ามากๆ ค่ะ
View this post on Instagram
โมเมนต์เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเกิดตั้งแต่ปริญญาตรีและปริญญาโทเลย ปริญญาโทสาไปต่อธรรมศาสตร์แล้วก็เรียนภาคค่ำ แต่ว่าอันนั้นยิ่งยากกว่าเดิมเลย เพราะว่ามันต้องบริหารทั้งงานแล้วก็เรื่องเรียน แต่สิ่งหนึ่งที่สอนสาคือ Time Management Skills เพราะว่าคนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่อยู่ที่คุณจะบริหารเวลาอย่างไร
อย่างที่สาบอก สายอมทิ้งเวลาเล่น เวลาเที่ยว เวลาทำอะไรแบบ Entertainment ออกไป สานับครั้งไปดูหนังในโรงหนังได้เลย นับวันไปกินข้าวกับเพื่อนได้เลย มันน้อยมาก ดังนั้นเวลาเรียนสาก็จะตั้งใจเต็มที่ในคลาสเลย เพราะสารู้ว่าออกไปนอกห้องเรียน สาจะทำงานแล้ว สาไม่เอาเรื่องเรียนแล้ว เพราะอย่างนั้นเราจะร่นเวลาการอ่านหนังสือได้มากขึ้น แล้วก็แน่นอน มันต้อง Give Up ชีวิตส่วนตัวออกไปค่ะ
คุณพ่อคุณแม่ก็อายุ 60-70 แล้ว สมมติเราบอกว่า โห ป๊าเห็นไหม ไอจียอดฟอลเป็นแสนเลย เขาไม่เข้าใจ อะไรคือไอจี เฟซบุ๊กคืออะไร แต่สำหรับเขา วันที่เขาเริ่มไม่กังวลมากแล้วคือวันที่เขาเห็นหน้าร้าน เพราะคำว่าหน้าร้านของเขาคือแบบสมัยก่อน มันต้องเห็น Physical มันไม่ใช่ออนไลน์ แล้วตอนที่สาสร้างออฟฟิศ เขายิ่งสบายใจว่าลูกไม่ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ได้ตอบไลน์เอง วิ่งแพ็กของเอง ไปไปรษณีย์เอง ยืนขายเอง เริ่มมีทีมแล้ว เขาก็เลยเริ่มรู้สึกอุ่นใจ
สาไม่เคยเล่าให้เขาฟังเรื่องยอดขายหรืออะไรเลยนะคะ ป๊าเห็นตามข่าวอย่างเดียวเลย เพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะบอกเขา กลัวเขากังวล เวลาเขาเห็นตามข่าวแล้วเพื่อน Forward มาให้ด้วย เขาก็ภูมิใจค่ะ
View this post on Instagram
สารู้สึกว่าจิวเวลรีกับผู้หญิงมันเป็นของคู่กัน แล้วก็ชอบแต่งตัวอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เราเป็น Working Woman มากๆ สาเลยใช้เวลาแต่งตัวทุกวันน้อยมาก เพราะสารู้สึกว่าเราเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไม่อยากจะมาแบบ วันนี้เสื้อนี้ รองเท้านี้ มันเหนื่อยมาก แล้วก็เครื่องประดับอะไรแบบนี้ค่ะ สาเลยรู้สึกว่ามันต้องเป็น Everyday Piece ที่ใส่ได้บ่อยๆ แล้วไม่ต้องคิดเยอะ สมมติวันนี้เราทำกิจกรรมเช้าจรดเย็น เราไม่ต้องเปลี่ยนตลอดทุกชุด แต่มันต้องไปกับเราได้ทุกวัน โดยเฉพาะสร้อยข้อมือ อันนี้เรียกว่า 24/7 เลยดีกว่า ก็คือใส่นอน ใส่อาบน้ำ ใส่ทำอะไรได้ตลอดเวลาเลย สวยด้วย อุ่นใจด้วย ใส่ติดตัวได้ตลอดเวลาค่ะ

เครื่องประดับมันไม่ใช่แค่สวย แต่มันต้องเสริมความมั่นใจ อย่างต่างหูสำหรับสา ชิ้นเล็กๆ ที่หูมันก็สามารถคอมพลีตลุคได้ ก็เลยรู้สึกว่าเครื่องประดับกับผู้หญิงเป็นของคู่กันจริงๆ ค่ะ
เราเริ่มต้นจากแหวนคู่ Infinity โปรดักต์ที่ 2 คือต่างหูเลย เพราะว่ามันคือ Pain Point ของเราเองที่เราอยากได้จิวเวลรีอะไรที่มีความหมายด้วย มินิมัลด้วย มีเพชรเล็กๆ นิดหนึ่ง นอกจากแหวนแล้วเราก็ออกเป็นต่างหู Infinity คอลเล็กชันถัดไปเลย
สาว่าจริงๆ เราเป็นประเทศที่เป็นฐานการผลิตของหลากหลายแบรนด์ระดับโลกเลย ถ้าพูดชื่อแบรนด์ลักชัวรีไปก็คือผลิตในไทยทั้งนั้น แต่ถามว่าสิ่งหนึ่งที่ RAVIPA แตกต่างก็ต้องให้เครดิตพี่นิดหนึ่งว่าเรียน Jewelry Making มา ทำให้งานเรามีความ Craftsmanship สุดๆ
พี่เป็นคนไปนั่งทำให้ช่างดูว่ามันต้องทำอย่างนี้ มันถึงทำได้ Infinity ที่โค้งมนแบบนี้ พอเรามี Knowledge ตรงนี้ เรามี Know-How ทำให้เราสอนเขาทำได้ สาว่าอันนี้ก็เป็นนวัตกรรมเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในตอนที่พัฒนาโปรดักต์ค่ะ ทุกชิ้นเราไม่ใช่งานปั๊ม มันเป็นงาน Craftsmanship ทั้งหมดเลยค่ะ

จาก Day 1 ที่มีแค่ Couple Ring เราก็ต่อยอดเป็นสร้อยคอ ต่างหู แหวน ครบมากๆ แล้วก็รวมไปถึงสร้อยข้อมือที่เป็น Hero Product ของแบรนด์ด้วยค่ะ

สาว่าสิ่งที่ใจฟูแล้วตกใจแทบเป็นลมคือตอนที่ Disney ส่งอีเมลมา สาจำได้ว่าตอนนั้นอยู่ในกองด้วย แล้วอยู่ดีๆ ก็มีอีเมลเด้งว่า Hello from Disney แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด เอ๊ะ เราไม่ได้จอง Disney นะ ทั้งๆ ที่ปกติก่อนโควิดสาบินไปทุกปีเลย ไม่ได้ไปเผลอกดช้อปอะไร แล้วมาจากไหน
คือเขาอยากมาร่วมงานด้วย ตอนนั้นก็ตกใจมากๆ เพราะว่าเหตุการณ์นั้นน่าจะเกิดประมาณไตรมาสแรกของปี แล้วสาเพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อสิ้นปีเองว่าถ้าอยากร่วมงานกับแบรนด์หนึ่ง อยากให้เป็น Disney เพราะยังไม่เคยทำ Collaboration กันเลย
ยังจำโมเมนต์ที่คุยครั้งแรกได้อยู่ เป็น Online Meeting เขากำลังหาแบรนด์ที่จะร่วมฉลอง Disney 100th Anniversary ที่ทำกันทั่วโลก เขาเปิดทีเซอร์ Disney ที่เล่าตั้งแต่คาแรกเตอร์ตัวแรก Mickey Mouse ตามด้วยเพื่อนๆ แล้วสาชอบ Donald Duck มากๆ ได้เห็น Disney Movies มัน Nostalgia มากๆ เพราะเห็นภาพตั้งแต่หนังที่เราดูตอนเด็กจนถึงเรื่องล่าสุดในปัจจุบัน
ดูเสร็จสาจำได้ สาปิดไมค์ สาปิดกล้องนะ เพราะว่าน้ำตาคลอ มันคิดถึงโมเมนต์วัยเด็กของเราด้วย เป็นแบรนด์ที่เราชื่นชมตั้งแต่เด็กๆ เด็กน้อยที่ขี่หลังพ่อ มันอยู่ในความทรงจำ
View this post on Instagram
ตอนนั้นไม่เคยคิดเลย เพราะรู้สึกมันไกลเกินเอื้อม แล้วก็รู้สึกว่าทำไมเขาถึงจะทำกับแบรนด์แบบเรา แบรนด์เด็กๆ ของเรา แต่ว่าถ้าไม่มีพี่คนหนึ่งมาสัมภาษณ์สา พูดชื่อได้ไหมเนี่ย คุณเคน นครินทร์ ถ้าไม่มีคนมาสัมภาษณ์สาแล้วมาถามว่าอยากทำกับแบรนด์ไหน สาก็คงไม่กล้าพูดแบรนด์นี้ออกไป แต่ว่าวันนี้ฝันที่เรามองตั้งแต่เด็ก เราทำได้จริงแล้ว ไป Disney ในฐานะที่ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยว แต่ในฐานะพาร์ตเนอร์ มันอะเมซิงมากๆ
View this post on Instagram
จากวันนั้นที่ได้คุยกับเขาแล้ว ความที่เป็นแบรนด์ที่เราใฝ่ฝันมาตั้งนาน ทำให้สาได้คุยกับเขาว่า ถ้าแค่ซื้อ License สาไม่อยากทำ ตอนนั้นกล้ามากที่พูด กลัวเขาบอก อ๋อ งั้นไม่ต้องทำ แต่สาอยากทำให้ได้จริงๆ อยาก Co-branding กับเขา อยากเอาโลโก้มาอยู่ข้างกันให้ได้ ต้องทำอย่างไรบ้าง เขาก็บอกว่า โห ถ้าแบบนั้นภายในประเทศเราเป็นคนอนุมัติไม่ได้นะ ต้องส่งเรื่องไปทาง Global แล้วในไทยก็ยังไม่เคยมีใครทำได้ที่เป็นดีไซเนอร์แบรนด์
สาก็แบบ เอาแล้ว ทำอย่างไรดีนะ ตอนนั้นเราก็แอบกลัวมากๆ เลยเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม จะเสี่ยงหรือเปล่า ไม่ใช่เราไปหยิ่งใส่เขาแล้วเขาไม่ขาย License สาก็บอก โอเค มาลอง Bet ดู ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน
มันเหมือนการสะสมแต้มบุญตั้งแต่ Day 1 ที่เราทำทุกอย่างมา ผลงาน พอร์ตโฟลิโอ ตัวดีไซน์เราก็ส่งไป แล้วตอนนั้นลุ้นมากเพราะว่าเรื่องมันไม่ใช่อนุมัติแค่ในภูมิภาคเรา หมายความว่าต้องส่งไปที่ Southeast Asia ส่งไปทาง Asia แล้วก็ไปทาง Global อีก มันหลายขั้นหลายตอน
วันที่เขาอนุมัติ เขามีคีย์เวิร์ดหนึ่งบอกว่า “มันไม่เหมือนใคร” จิวเวลรีมันไม่เหมือนใครที่เขาเคยเห็น ถึงเขาจะมี Jewelry License มาเยอะมากๆ แล้ว แต่ว่า RAVIPA ไม่เหมือนใคร สาว่าคำตอบอันนั้นมันทำให้เราแบบ โปรดักต์ที่เราใส่ใจตั้งแต่ Day 1 ความเป็นดีไซเนอร์แบรนด์ ความที่เราใส่ความหมายทุกอย่างในจิวเวลรี คือแบรนด์ Global ขนาดนั้นเขายอมรับ สาเลยแบบ โห สุดยอดเลย ไม่ได้ชมตัวเองนะ หมายถึงว่าสุดยอดเลยกับแบรนด์ว่าเราทำได้
View this post on Instagram
ทุกคนจะพูดว่าเราทำ Princess แน่ๆ เพราะ RAVIPA คือเจ้าหญิง RAVIPA คือสีชมพู หวานๆ แต่อันแรกที่สาเลือกแน่นอนต้อง Mickey Mouse เพราะสารู้สึกว่ามันคือซิกเนเจอร์ของ Disney
สาภูมิใจเกี่ยวกับสร้อยคออันนี้มาก เพราะว่าเป็น Mickey ที่เอื้อมมือไปจับ Infinity แล้วสาว่ามันเป็น Best Combination ของทั้ง 2 แบรนด์ค่ะ เราตั้งใจให้นำเสนอสิ่งแรกของทั้ง 2 แบรนด์
View this post on Instagram
เราเป็นคนเลือกคาแรกเตอร์เอง แต่ว่าเขาก็จะแนะนำมาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วสาก็พูดจริงๆ เนอะ เราทำ Disney ด้วยความรู้สึกตั้งแต่ Day 1 เขาทักมาอย่างไรก็ทำอยู่แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไร สาก็เลยรู้สึกว่าครั้งหนึ่งที่เราทำ Disney เราเริ่มจากแพสชัน สาก็ยังไปต่อในแพสชัน

อันแรกนี่แพสชันเยอะมาก เพราะว่า Donald Duck อยู่ในนั้น ไม่ได้บอกว่าคอลเล็กชันอื่นไม่รักนะคะ แต่ว่าไล่ตามความรัก คอลเล็กชันแรกๆ จะมีอินเนอร์แน่นมากๆ Toy Story นี่ชอบมาก แล้วก็ดีใจมากๆ ที่ตอนนั้น แจ็คสัน หวัง ใส่ด้วย คือเรารู้อยู่แล้วว่าเขาชอบ Toy Story แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้ใส่ เขามีทั้ง Little Green Men แล้วก็ Buzz Lightyear มี 2 เส้นด้วย ดีใจมากที่พี่แจ็คใส่
View this post on Instagram
สาว่าท้อมันมีทุกวัน หมายถึงว่าสาเสียน้ำตาบ่อยมาก ตั้งแต่วันแรกมันเหนื่อยกว่า มันท้อกว่า สาว่ามันท้อทุกช่วงจริงๆ โดยเฉพาะชาเลนจ์หรือโจทย์มันยากขึ้นทุกวัน สเตจ ณ วันแรกคืออาจจะท้อในแง่ที่เราไม่มีเงินมากในการขยายธุรกิจ โจทย์วันนี้รู้สึกว่าบริหารคนมันยากจัง มันมีโจทย์ขึ้นมาตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนปลอบใจตัวเองได้แล้วสอนตัวเองทุกวันนี้ก็คือ การมูฟออน
เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มันต้องมีอารมณ์ แล้วเราทุกข์ได้ เราสุขได้ แต่อย่าทุกข์นาน คือเราห้ามจมอยู่กับสิ่งที่เราผิดหวัง สิ่งที่เรารู้สึกดาวน์ เพราะสุดท้ายแล้วสาบอกตัวเองว่าจะดาวน์ให้สุดคือแค่วันนั้นนะ แค่คืนนั้นพอ สาขีดเส้นกับตัวเองเลยว่าไม่ข้ามคืน ตื่นมาเป็นวันใหม่ สาบอกตัวเองอย่างนี้ทุกครั้งค่ะ
สาว่าเพราะเจ็บมาเยอะค่ะ คือหมายถึงว่าเคยมีโมเมนต์หนึ่งที่อยู่ในห้องประชุมแล้วมันเสียใจ มันผิดหวังมากๆ แล้วเราก็อยู่ตรงนั้นในฐานะผู้บริหารคนหนึ่งกับทีมที่เยอะๆ น้องที่เยอะๆ แล้วสารู้สึกว่าตรงนั้นน่ะ ทุกคนเฟลกันหมดแล้ว ถ้าเราเฟลไปอีกคน ทีมจะขวัญเสียมากๆ ใจหายกันหมด
ตอนนั้นสาจำได้เลย ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะคะ ไปห้องน้ำปุ๊บ ร้องไห้ในห้องน้ำ แต่ร้องเบาๆ เดี๋ยวเขารู้ แบบร้องๆๆๆ เสร็จแล้วก็โอเค ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ขึ้นไปประชุมต่อ ครั้งนั้นยังชมตัวเองจนถึงทุกวันนี้เลย เออ มูฟออนเร็วมากเลยจริงๆ
แต่จริงๆ ถามว่าเสียใจเท่ากับน้องๆ ในทีมไหม เสียใจมากๆ ไม่แพ้กันแน่นอน แต่แค่เราเป็นเหมือนแม่ทัพแล้วเราจะเป๋ไปอีกคนไม่ได้ สกิลการมูฟออนเป็นสกิลที่สำคัญมากๆ
สาเรียนจบมา สาไม่ได้ทำงานบริษัทที่ไหนมาก่อน สาไม่รู้เลยว่าหัวหน้าที่ดีคืออะไร แต่สารู้ว่าพี่ที่ดีคืออะไร วันนี้สาภูมิใจกับทีมมากที่เห็นเขาตั้งแต่เพิ่งเรียนจบ มาทำงานกับเราที่แรกแล้วเขาเก่งขึ้นขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ปั้นแบรนด์ แล้วการที่ Journey นี้มันเติบโตไปด้วยกัน มันมีค่ามากๆ สาเลยรู้สึกว่าพี่ที่ดีควรสอนน้อง น้องผิดก็ว่า แต่เราก็มูฟออนเหมือนคนที่สายเลือดเดียวกัน ถ้าเขาผิด เราก็ให้อภัย แล้วเราไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นค่ะ สาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แล้ว แล้วสาก็รู้สึกว่าเราให้โอกาสเขา ทุกคน Deserve a second chance สาเชื่อแบบนี้ แต่สาไม่ให้ Third Chance ใครนะ สอนได้ ผิดได้ แต่ไม่ใช่ผิดครั้งที่ 3 ค่ะ
สาว่ามันเป็นจังหวะชีวิตมากกว่า ตอนนั้นก็เลือกแหละว่าจะไปทำงานประจำที่อุตส่าห์เรียนคณะนี้มา เข้าก็ยาก เรียนก็ยาก กว่าจะจบก็ยาก แต่ตอนตัดสินใจก็เร็วมาก สารู้สึกว่าตอนเราทำ RAVIPA โอกาสมันมาเมื่อไรไม่รู้ สาไม่อยากรอว่าวันนี้จะมีคน Knock Door ไหม โอกาสจะเข้ามาหรือเปล่า แต่เมื่อมีคน Knock Door ยื่นโอกาสมาให้ สาทำเลย แล้วตอนนั้นจะแข่งรายการ VOGUE Who’s On Next แล้วก็แข่งในรายการที่มีแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง POEM ตอนนั้นพี่เขาก็มีกว่า 10 สาขาแล้ว แล้วสายังไม่มีสักสาขาหนึ่งเลย
แล้วห้างพารากอนติดต่อมา สยามเซ็นเตอร์ก็ติดต่อมา สาแบบเอาไงดี ถ้าเรา Say No ตอนนี้ แล้วเมื่อไรเขาจะมาอีก สาเลยมองว่า โห ถ้ารอไปอีก 2-3 ปี เขาลืมเราแล้วไหม รายการมันน่าจะมีซีซัน 2 ซีซัน 3 เขาน่าจะลืมแล้ว เพราะเราไปตั้งแต่ซีซันแรกแล้วชนะเป็น Finalist ก็เลยตัดสินใจว่า โอเค โอกาสมันมาแล้ว คว้าไปเถอะ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่พร้อม ตอนนั้นรับปริญญาก็ยังไม่ได้รับเลย ไม่คิดแล้ว สมมติทำ RAVIPA ไม่รอด เดี๋ยวค่อยไปสมัครงานแล้วกัน หรือไปเรียนต่อก็ได้ ตอนนี้โอกาสมาแล้ว คว้าไว้ก่อน กลัวโอกาสมันไม่มาอีกครั้งหนึ่งค่ะ

สำหรับสา แพสชันสำคัญมากเลย เพราะว่าเราขับเคลื่อนด้วยแพสชัน คือสาว่าการทำแบรนด์มันเหมือนการวิ่งมาราธอน มันยาวไกล ถ้าเราหมดแรงก่อน จบ ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว เราจะยอมแพ้ มันจบ คือเราไม่รู้เลยว่าจุดสำเร็จมันจะอยู่ตรงไหน บางคนเก่งมากเลยนะคะ ปีหนึ่งก็ประสบความสำเร็จแล้ว บางคน 60 ปีด้วยซ้ำ มันคือวิ่งทางไกล ต้องอดทน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเลิกคือชาเลนจ์ แต่ทำอย่างไรให้มันไม่ยอมแพ้ สาว่าแพสชันคือ Secret Item มันเหมือนพอพลังเราจะหมดแล้วมันมีกล่อง Secret ที่ทำให้เราบูสต์พลังตัวเองขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าไม่มีแพสชัน พอมันเฟล เจอชาเลนจ์ มันท้อ มันเลิกง่ายๆ เลย เพราะไม่มีไอเท็มลับนี้ค่ะ
สำหรับสา ไอเท็มลับคือแพสชันที่เรามีความสุขกับการทำ สาว่าสาทำโดยไม่มีความสุขไม่ได้ ทุกวันนี้สาตื่นมา สาอยากทำงาน สาสนุกกับการทำงาน สาสนุกกับการเห็นแบรนด์โตขึ้นเรื่อยๆ ทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วมันเป็นแพสชันที่ขับเคลื่อนเราถึงทุกวันนี้ ชอบชาเลนจ์ ชอบพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่ะ
สาอยากเป็น Tourist Destination ให้ได้จริงๆ อยากเห็นชาวต่างชาติที่มาไทยแล้วรู้สึกว่าต้องมาแบรนด์เรา เพราะว่าจริงๆ แล้วเราไปต่างประเทศ เราไปเสียเงินให้เขาเยอะมากเลยค่ะ แล้วสารู้ว่าโดนตกอย่างนั้นมันเป็นอย่างไร สารู้สึกว่ามันจะน่าภาคภูมิใจมากนะ ถ้าเขาบินมาแล้วเขาต้องมาซื้อของเรา มันจะดีใจแล้วก็ภูมิใจมากๆ แล้วสาคิดว่าเป็นอะไรที่คนไทยทุกคนน่าจะภูมิใจกับแบรนด์เล็กๆ แบบเราด้วย

สิ่งที่ชอบที่สุด สาว่ามันคือการสนุกไปกับทุกวัน สาคิดว่าแบรนด์พอโตขึ้นมันมีชาเลนจ์อะไรให้ทำหลายอย่างมากขึ้น มันค่อนข้างท้าทาย แล้วสาคิดว่าการที่เราทั้งปั้นคน ปั้นแบรนด์ ปั้นทุกอย่างไปด้วยกัน เป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกในหลายๆ เรื่องไปด้วยกัน มันคือความสำเร็จที่ไม่ใช่แค่ของสาแล้ว สมัยก่อนมันอาจจะเป็นแค่สากับพี่ 2-3 คน แล้วก็น้องในทีมอีก 2-3 คน ตอนนี้มีคนตั้ง 160-170 คนแล้ว มันคือความสำเร็จของเราในฐานะทีม เดินคนเดียวมันเดินได้เร็ว แต่จะเดินทางไกลมันต้องเดินเป็นทีม แล้ววันนี้เราก็ฟอร์มทีมใหญ่ขึ้นมากๆ ก็หวังว่าจะเดินทางไกล ไปให้ไกลถึงต่างประเทศค่ะ
เหนื่อยมามากเนอะ (หัวเราะ) สาอยากบอกว่าภูมิใจมากๆ ค่ะ เราผ่านอะไรกันมาเยอะมาก กว่าจะได้มาถึงทุกวันนี้ เหมือนเรา Learning by doing เจ็บจริง เสียเงินจริง พลาดจริง น้ำตามันเสียไปเท่าไรแล้ว สาอยากจะบอก RAVIPA ว่าเราเหนื่อยกันมาขนาดนี้แล้ว แล้ววันนี้เราปรบมือให้ตัวเองกันหน่อยไหม เพราะว่าเราไปได้ไกลมากจริงๆ แล้วอนาคตเราจะไปได้ไกลขึ้นอีกแน่นอน ถ้าเกิดว่าเรายังสัญญาอะไรกับลูกค้า แล้วเราก็ยังรักษาสัญญาอันนั้น เราก็จะยึดมั่นแล้วก็ทำงานด้วยความตั้งใจ สาเชื่อว่าเราจะเป็นคนที่โชคดีค่ะ

RAVIPA
Website: https://ravipa.com
Facebook: https://www.facebook.com/ravipaofficial
Instagram: https://www.instagram.com/ravipajewelry
The post RAVIPA บทพิสูจน์แห่งการเสียสละความสนุกวัยเรียนของ สา-ธนิสา วีระศักดิ์ศรี appeared first on THE STANDARD.
]]>
ในบรรดาคนที่ชื่นชอบงานออกแบบภายในในประเทศไทยคงไม่มีใครไ […]
The post AIR VAIR มัณฑนากรผู้ใช้พลังแสงอาทิตย์ขับเคลื่อนแพสชันในการออกแบบ appeared first on THE STANDARD.
]]>
ในบรรดาคนที่ชื่นชอบงานออกแบบภายในในประเทศไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก แอ-เบญญาภา ศิริโสภณ Interior Designer ผู้ก่อตั้ง ‘VAIR’ บริษัทออกแบบ Interior สไตล์ Artistic Luxury ที่โดดเด่นสะดุดตาด้วยส่วนผสมอันลงตัวระหว่างธรรมชาติและศิลปะจนเป็นที่ไว้วางใจของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศ บ้านหรูส่วนตัวหลายหลัง
รวมไปถึงร้านอาหารชื่อดังหลายร้าน จนกวาดรางวัลระดับโลกมามากมาย

ภาพจำของความเป็น AIR ที่มีนามสกุล VAIR ห้อยท้าย คือหญิงสาวสวยเก่งใบหน้าเปื้อนยิ้มผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยแพสชันแห่งการออกแบบจนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างชัดเจน ทว่าสิ่งที่น้อยคนจะรับรู้คือ ‘ความสำเร็จ’ นั้นกลับเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายตัวเองจนเธอล้มป่วยในที่สุด
ชีวิตที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลแรมปีโดยที่หาสาเหตุของอาการป่วยไม่ได้ ทำให้มันสมองที่เคยประมวลภาพการออกแบบอย่างเฉียบขาดและฉับไวกลับไม่ฟังก์ชันอีกต่อไป แต่แล้ววันหนึ่งเธอกลับค้นพบทางออกจากวังวนชีวิตที่มืดหม่นด้วยสิ่งอัศจรรย์ใกล้ตัว…‘พลังแสงอาทิตย์’

การออกมายืนรับแสงแดดจากพระอาทิตย์ดวงเดิมเหนือโค้งน้ำหลังบ้านยามเช้าที่เคยยืนดูกับพ่อผู้ล่วงลับเมื่อสิบกว่าปีก่อนได้ค่อยๆ สมานบาดแผลในใจและหล่อหลอมให้แอเป็นแอในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิม มีความสุขกับสิ่งต่างๆ รอบตัวง่ายขึ้น
และยังจุดประกายให้เธอริเริ่ม ‘VAIRSOL’ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านอันเป็นตัวแทนของความอบอุ่นจากแสงพระอาทิตย์ที่เธออยากให้ทุกคนได้สัมผัส

ในวันนี้ไม่ว่าแอจะเผชิญกับอะไร เธอจะยังคงใช้แพสชันของความเป็น Interior Designer ขับเคลื่อนให้ VAIR ก้าวต่อไปในทิศทางที่เชื่อมั่นมาตั้งแต่วันแรก แล้วปล่อยให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดเอง

เราเชื่อว่า Passion Calling x AIR VAIR จะสร้างกำลังใจ และแรงบันดาลใจดีๆ แก่ทุกคนที่กำลังเผชิญกับอุปสรรคในชีวิตการทำงานกันอย่างแน่นอน

แอ: จริงๆ เราไม่รู้เลยว่า Interior Designer คืออะไร ตั้งแต่เด็ก แต่เราชอบที่จะแต่งบ้าน จัดบ้าน แล้วก็ในหัวนี่จะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะวางโซฟาไว้ตรงนี้นะ โชคดีมากที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าอะไร คือเราจะเปลี่ยนตู้ ย้ายตู้ซึ่งตู้มันหนักมาก แต่เราก็ให้คนมาช่วย เหมือนคิดในหัวตลอดเวลา คือตั้งแต่จำความได้ก็อยู่กับสิ่งนี้มาตลอดเลยค่ะ

แอ: เหมือนแบบมันชอบเองโดยที่ไม่ได้มีสาเหตุ แต่พอโตขึ้นน่ะค่ะ คุณแม่ก็ชอบพาไปบ้านตัวอย่างสวยๆ พาไปพวกที่ขายเฟอร์นิเจอร์ ขาย Materials วัสดุแบบตกแต่งบ้าน เราก็จะมีความสุขมาก เหมือนเป็นเด็กที่ไปเดินดูชุดครัว กระเบื้อง อยู่กับสิ่งนั้นได้ตั้งแต่เด็กโดยที่ไม่รู้ว่ามันคือการออกแบบตกแต่งภายใน

ตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังไม่รู้อยู่ดีค่ะ ตอนเอนทรานซ์เข้าที่สถาปัตย์ ที่จุฬาฯ ก็มาเรียนภาควิชา Industrial Design ซึ่งตอนนั้นเรียนศาสตร์ของศิลปะที่หลากหลายมากๆ เลยค่ะ แต่ว่าวิชาเดียวที่ทำได้ดีแล้วคืออาจารย์ชมคือวิชา Interior เราก็เลยรู้สึกว่า เอ้อ เราน่าจะชอบตรงนี้จริงๆ แล้วตอนนั้นจะมีพวกส่งประกวด ซึ่งเราก็ส่งประกวดทุกอย่างนะคะ ก็ไม่ได้ ยกเว้นออกแบบ Interior ตอนนั้นเราได้รางวัลเป็น Young Interior Designer ค่ะ
แอ: ตอนที่จบมาคือโชคดีมาก เนื่องจากพอร์ตเราจะมีแต่ Interior ทั้งๆ ที่เราจบอีกภาควิชาหนึ่ง ค่อนข้างที่จะมีรางวัลเกี่ยวกับ Interior เยอะมาก เราก็เลยมายื่นกับบริษัทอินเตอร์เนชันแนลที่มีชื่อเสียงมากแล้วก็ได้ทำงานที่แรกที่นั่นเลยค่ะ

แอ: จริงๆ ไม่ได้เป็นคนซีเรียสอะไรกับทั้งการเรียน การทำงานมาก เหมือนเราก็ทำทุกอย่างให้เรามีความสุข ทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ แต่เวลาเข้ามาในที่ทำงานมันก็จะรู้สึกว่าไม่ได้มีใครมานั่งสอนเรา แล้วก็ทุกอย่างจะต้องทำให้ได้ด้วยตัวเอง เพราะว่าในบริษัทก็จะมีแต่คนเก่งๆ
แอ: ตอนที่เข้าไปเราไม่ได้รู้สึกกดดันมากนะคะ แต่ก็จะมีเหตุการณ์ที่เหมือนกับว่า ถ้าเราทำงานนี้ไม่ได้เขาก็จะไม่ให้เราทำงานเลย สุดท้ายเราเลยต้อง Force ตัวเอง ต้องศึกษาเอง ทำให้มันได้ ณ จุดนั้นมันเลยเป็นบทเรียนที่ทำให้เราสามารถที่จะเก่งในเรื่องที่เราทำไม่ได้มาก่อน
แอ: จำได้เลยว่าตอนนั้นไปเอางานเก่าๆ มาเรียนรู้ว่า เออ ทำงานแบบไหนที่มันถูกต้อง ที่มันใช่ แล้วเราก็ศึกษามัน ใช้เวลากับมัน พาร์ตที่ตอนนั้นแอทำไม่ได้คือ พาร์ตเขียนแบบก่อสร้าง ซึ่งมันยากมาก มันไม่ใช่แค่ดีไซน์ แต่มันคืองานช่าง พอเราได้เรียนรู้แบบก่อสร้างของคนอื่น สุดท้ายเราก็สามารถทำได้ ก็รู้สึกดีใจมากที่ตอนนั้นได้รับความกดดันมาอย่างสูงค่ะ

แอ: ตอนนั้นที่เราตัดสินใจลาออกมาก็เพราะเรารู้สึกว่า เราอยู่ที่เดิม เดินวนอยู่ในที่เดิมๆ มาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว อยากที่จะออกมาทำอะไรใหม่ๆ ให้มันน่าสนใจมากขึ้น
ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจว่าออกมาแล้วเปิดบริษัทของตัวเอง แต่ว่าพอออกมาก็มีเหมือนมีคนมาให้ออกแบบโปรเจกต์เล็กๆ เราก็รับมา แล้วก็ตั้งใจทำมาก ก็เป็นแบบห้องตัวอย่างที่เล็กมาก เราก็ทำออกมาแล้วเขาก็ค่อนข้างที่จะชอบมากๆ ก็เลยมีงานให้เราเรื่อยๆ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์หนึ่งค่ะ

แอ: จริงๆ ชื่อ VAIR ไม่ได้มาจากชื่อตัวเองนะ ไม่รู้ทำไมชอบชื่อนี้ เราอยากได้ชื่อที่สั้น คนจำได้ง่าย ซึ่ง VAIR ก็เป็น Interior ในสไตล์ Artistic Luxury มีความธรรมชาติผสมผสานงานศิลปะแล้วก็มีความหรูหราในตัว
อันนี้คิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากตัวเองในวัยเด็กด้วย ที่บ้านของคุณพ่อคืออยู่ติดแม่น้ำแล้วมีสวนผลไม้ คือเราอยู่กับธรรมชาติตลอด เวลาที่เรามองไปเราก็จะเห็นท้องฟ้าหรือว่าน้ำที่มันเป็นคลื่นวง
แล้วก็ในขณะเดียวกันบ้านหลังนั้นคุณแม่ก็ตัดชุดแต่งงานค่ะ คุณแม่เป็นดีไซเนอร์ ซึ่งชุดแต่งงานก็จะมีพวกเม็ดบีดส์ต่างๆ ที่มันเป็นมุก เป็นคริสตัล แล้วเราก็ไปช่วยคุณแม่ร้อย ปักชุดแต่งงาน ก็เลยรู้สึกว่า น่าจะมาจากตัวเราในวัยเด็ก ที่ผสมผสานระหว่างความเป็นธรรมชาติแล้วก็ความหรูหราของพวกงานปักต่างๆ เข้าด้วยกันค่ะ

แอ: ชิ้นโบแดงมีหลายอันที่ชอบค่ะ อย่างเช่น ตัวที่เป็นห้องสะสมนาฬิกาของแบรนด์ Van Cleef & Arpels มูลค่า 400 กว่าล้าน ซึ่งตัวนี้เราพยายามที่จะครีเอตงานศิลปะมากๆ เราเอา Inspiration มาจากป่าหิมพานต์เพราะว่าตัวนาฬิกาเขาเป็นนกที่อยู่คู่กันในบึงน้ำ ตอนที่ปล่อยภาพลงไปในโซเชียลมีเดียทำให้คนรู้จัก VAIR เยอะมาก เราก็รู้สึกประทับใจว่า ผลงานเราเป็นตัวดึงที่ทำให้คนมารู้จักเราด้วยค่ะ

มีออกแบบบ้านที่ได้รับรางวัล Hotel Property Award ที่อังกฤษนะคะ แล้วก็ที่ภูมิใจอีกอันหนึ่งก็คือ เราทำงานให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หนึ่งมาเป็นเวลาสิบปี แล้วตอนนี้บริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นมียอดขายอันดับหนึ่งของประเทศ ซึ่งเรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในการที่เราออกแบบล็อบบี้ Facility ให้เขา ก็รู้สึกภูมิใจกับทุกผลงานที่เราทำให้ค่ะ

แล้วก็ที่สุดเลยก็คือ ร้านอาหาร Fuego ที่ได้รับรางวัล Restaurant and Bar Award ที่อังกฤษค่ะ คือตอนที่ได้รางวัล แอรู้สึกว่าเหมือนเราได้ออสการ์เลยค่ะ Restaurant and Bar Design Award เป็นรางวัลที่ค่อนข้างใหญ่มากคือเป็นระดับที่เขาจะมีลิสต์ให้เลยว่าในรอบ 12 ปี มีบริษัทใดในโลกส่งเข้าประกวด
ถ้าไปย้อนดูเราจะเห็นเลยว่าเป็นบริษัทดังๆ ที่มีชื่อเสียง แล้วร้านอาหารที่ได้รางวัลก็จะเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงด้วย ซึ่งในรอบสิบปีที่ผ่านมา บริษัทในไทยมีแค่ 3 บริษัทที่ได้นะคะ แล้วหนึ่งในบริษัทนั้นก็คือบริษัท VAIR ค่ะ

แอ: นอกจากรางวัลที่เราได้ เหมือนมันเสพติดอย่างอื่นด้วย เรามีความสุขนะที่เราได้สิ่งดีๆ แบบนี้มาแต่แล้วมันก็กดดันตัวเราว่า เราอยากจะประสบความสำเร็จเรื่อยๆ เราอยากจะได้โปรเจกต์ที่ใหญ่ขึ้นไปอีก อยากจะทำแคมเปญแล้วประสบความสำเร็จทุกอันเหมือนที่เคยทำ มันเหมือนทำให้เราว่ายวนอยู่ในสิ่งนี้ แล้วพอมันไม่ได้ตามที่เราหวัง มันก็จะทำให้เราเสียใจ ทำให้เราป่วย
แอ: ถ้าภายนอก ทุกคนจะคิดว่าแอมีชีวิตดี สวยหรู แต่จริงๆ แล้วมันมีช่วงที่เราแย่ที่สุดในชีวิต คือช่วงที่หมอไม่สามารถบอกได้ว่าเราเป็นโรคอะไร แต่เราตื่นขึ้นมาคือเราคลื่นไส้ เราไม่มีเอเนอร์จี้ เราแบบไม่รู้จะทำอะไรเลย ไปที่โรงพยาบาลเข้าออกเกือบปี โดยที่หมอไม่สามารถที่จะบอกเราว่าเราเป็นโรคอะไร ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทรมานมากๆ ค่ะ

ตอนนั้นเราไม่รู้วิธีที่จะรักษามันด้วยซ้ำ ถ้ามียามีอะไรว่าดีเราก็จะกินหมดเลย แต่มันก็ไม่หายค่ะ จนสุดท้ายอะ มีเพื่อนแนะนำว่า ไม่ลองไปตากแสงอาทิตย์ดู ซึ่งเราอะเชื่อทุกอย่างเลย ปรากฏว่าเราออกไปตากแสงอาทิตย์ยามเช้า เป็นเวลาสองอาทิตย์ ก็คืออาการที่เป็นมาเกือบปีค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ แล้วก็คือหายไปเลย ภายในหนึ่งเดือน เพราะฉะนั้นสำหรับแอ พระอาทิตย์คือที่สุดจริงๆ สำหรับคนอื่นพระอาทิตย์อาจจะเป็นธรรมชาติหนึ่ง แต่สำหรับแอก็คือเป็นที่สุดแล้ว
วันหนึ่งที่เรากลับไปที่บ้านเก่า แล้วเราก็ไปดูคุ้งน้ำ คือสำหรับแอเป็นคุ้งน้ำที่สวยที่สุดในชีวิตเลย เพราะว่าเป็นคุ้งน้ำที่บ้านที่เราโตมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งความพิเศษของคุ้งน้ำนั้นน่ะ คือพระอาทิตย์จะมีหลายสีมาก คือบางวันก็เป็นสีส้ม บางวันก็เป็นสีชมพู สีม่วง คือแปลกมากเลย เป็นคุ้งน้ำที่สวยจริงๆ แล้วเราดูกับคุณพ่อที่เสียไปแล้ว ตั้งแต่เด็ก มันก็เลยทำให้เรายิ่งที่ผูกพันกับความเป็นธรรมชาติ กับความที่จะอยู่กับแสงพระอาทิตย์

ภาพ: AIR VAIR
แอ: เปลี่ยนค่ะ คือเรารู้สึกว่าความสุขอยู่ใกล้แค่นี้เอง เพราะฉะนั้นการที่เราเป็น Interior Designer นั้นไม่ต้องกดดันตัวเอง การที่เราจะได้รางวัลหรือไม่มันเป็นปลายทาง ต้นทางทุกวันที่เราทำ คือการทำให้ลูกค้าของเราได้ในสิ่งที่ดีที่สุด

โครงการที่แอออกแบบบ้าน คอนโดให้คนน่ะค่ะ มันอาจจะเป็นแค่หนึ่งในพันโปรเจกต์ที่แอทำ แต่มันเป็นบ้านของคนทั้งชีวิต เพราะฉะนั้นแอค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับการทำบ้าน มันจะไม่ใช่แค่งานหนึ่งงานที่เราทำแล้วเสร็จจบ ไม่ใช่ เพราะคนที่เขามาอยู่ เขาอยู่กับมันทุกวัน
เราเป็น Interior Designer สมัยก่อนเหมือนเราทำตามหน้าที่ เราก็ต้องทำงานที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ว่าเราไม่ได้มีความสุขกับสิ่งนั้น เรากลับไปให้ความสำคัญกับความสุขที่มันใหญ่โตต่างๆ แต่พอความคิดเปลี่ยนไป เรารู้สึกว่าแค่การที่เราได้ช่วยลูกค้าในการแก้ปัญหาของเขา หรือว่าสร้างบ้านออกมาแล้วเขาชอบ เขามีความสุข มันเป็นความสุขที่เราควบคุมได้ แค่เราฝึกฝีมือของเรา เราสามารถหาความสุขง่ายๆ กับอาชีพของเราได้ค่ะ

แอ: ใช่ค่ะ คือนอกจากพระอาทิตย์จะมาเปลี่ยนแนวคิดในการใช้ชีวิตของแอ ทำให้แอมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอาชีพการงาน พระอาทิตย์ก็ยังเป็น Inspiration ที่ทำให้แอทำแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ของตัวเองซึ่งก็คือ ‘VAIRSOL’ VAIR เป็นชื่อบริษัทอยู่แล้ว แล้วก็ SOL แปลว่าพระอาทิตย์ในภาษาสเปนค่ะ คอนเซปต์ในการออกแบบงานทั้งหมดของ VAIRSOL ก็จะมาจากพระอาทิตย์ค่ะ
โดยเราเริ่มจากตัวภาพวาดศิลปะที่เป็น Inspiration จากพระอาทิตย์ แล้วก็กลุ่มดาวต่างๆ ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่า อยากออกแบบภาพวาด หรือลายที่สามารถที่จะคนเห็นแล้วรู้ว่าเป็นของ VAIR แล้วก็มีความหมายที่ดีของพระอาทิตย์ที่เหมือนสร้างความอบอุ่นในบ้านของเขาได้ ก็จะมีทั้งหมด 3 ลายด้วยกันค่ะ

จากนั้นเราก็เริ่ม Develop เป็นของแต่งบ้านอื่นๆ ตอนนั้นน่ะแอไปร้านร้านหนึ่งที่เป็นร้านวินเทจ อยู่ที่ญี่ปุ่น แล้วก็เหมือนไปเห็นตัวของตกแต่ง พวกกระจก พวงกุญแจ แต่ว่าทำมาจากเม็ดบีดส์ คริสตัล แล้วพอไปเสิร์ชก็เป็นเหมือนกับทำมาจากอินเดีย แล้วเราก็รู้สึกแบบ เอ๊ะ ทำไมเราตกหลุมรักงานนี้จังเลยอะ มันมีความสวย ทำไมเราถึงชอบขนาดนี้ เหมือนมา find out ทีหลังว่า อ๋อ มันเหมือนตัวเม็ดบีดส์ที่เราเล่นตอนปักชุดแต่งงานกับคุณแม่ตอนเด็กๆ
ทีนี้เราก็เลยรู้สึกว่า เราอยากจะเอาสิ่งนี้ เขาเรียกว่าเป็นเทคนิค Embroidery มาใส่ในงานของ VAIRSOL ค่ะ แล้วเราก็เลยไปหาว่าแบบ เอ๊ะ ใครจะทำ Embroidery ให้เราได้บ้าง ก็ไปเจอศิลปินชื่อ แคลร์-พัชราภา กนกวัฒนาวรรณ ซึ่งเราก็ติดต่อเขาไปว่า อยากจะมาร่วมสร้างผลงานด้วยกันไหม แออยากได้งานนี้มาทำในแพตเทิร์นงานของ VAIR นะ แล้วโชคดีมากที่คุณแคลร์เรียนจบปักเข็มฝรั่งเศสจากอังกฤษ คือมันเป็นศาสตร์ที่แบบ โอ้ มันดีมากๆ เลยที่จะมาทำผลงานศิลปะที่สอดคล้องกับแบรนด์ของเรา ก็เลยเป็นผลงานที่เราเอามาปักเก้าอี้ตัวนี้ค่ะ

ส่วนเฟอร์นิเจอร์ของเราก็มีที่ร่วมออกแบบกับ ฮอร์น-กฤษฎา หนูเล็ก ด้วยค่ะ คุณฮอร์นค่อนข้างที่จะเก่งในเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์เพราะว่าได้รางวัลที่เป็นพวก Good Design Award มาจากต่างประเทศ
ตอนนั้นเราไปที่โรงงานไม้ด้วยกันกับทีมงานที่ทำเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด ไปเจอโรงงานไม้ที่หนึ่ง เจ้าของนี่คือ ป๊อป-ศิรินุช คีตะนิธินันท์ นะคะ แล้วแอก็ไปเห็นว่าแกมี Experiment ทำพวกงานศิลปะต่างๆ จากไม้ เหมือนเขาจะเอาไม้มาแกะสลักเป็นรูปโน้นรูปนี้ แต่ว่าตอนนั้นน่ะมันยังไม่ได้เป็นเฟอร์นิเจอร์ เป็นเหมือนกับงานทดลอง แล้วคุณป๊อปบอกว่าแกชอบที่จะทำตรงนี้ เราก็เลยเกิดไอเดีย งั้นเอาลายพวกนี้มาทำรูปภาพไหม ก็เลยให้คุณป๊อปเอาภาพของ VAIRSOL ไปแกะสลักเป็นไม้ผืนใหญ่ ขนาดค่อนข้างสูงเลย แล้วก็เราก็เอาไปโชว์ในงานเปิดตัวภาพวาดของ VAIRSOL ด้วยที่ Hotel Art Fair ค่ะ

ซึ่งตอนที่ไปโชว์ คนให้ความสนใจกับภาพไม้แกะสลักนี้มาก มีคนชอบเยอะมากเลย ก็เลยกลายเป็นโปรดักต์ตัวต่อมานะคะ เป็นตู้ที่มีหน้าบานที่เอาการแกะสลักไม้ตัวนี้มาค่ะ

เก้าอี้และตู้ถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในรายการนี้เลย เพราะว่ายังไม่ได้ออกสื่อที่ไหนเลยค่ะ ลายทั้งหมดที่เราทำ ที่เห็นอยู่ทั้งหมดสามลายนี้เป็นลายซิกเนเจอร์ของ VAIR ค่ะ
เราได้พาร์ตเนอร์ของเราที่ทำ Interior ด้วยกัน ชื่อคุณแนน-วิสุตตา ธโนปจัย ซึ่งคุณแนนได้รางวัลเมซงที่ฝรั่งเศสมาสองครั้ง แล้วแกมีพรสวรรค์มากที่จะทำพวกลาย ออกแบบงานกราฟิก ศิลปะ อะไรแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่ได้คนที่แบบเก่งๆ มาร่วมกันทำ VAIRSOL

แอ: การที่เราเป็นนักออกแบบน่ะค่ะ เราโชคดีที่เราได้ครีเอตงานให้กับโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นทุกงานที่เราได้รับ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ เราตั้งใจทำ เพราะว่ามันเป็นผลงานที่ออกมาจากเรา พอแอมองย้อนกลับไป 10 20 ปี ผลงานก็คือจะอยู่กับเราตลอดไป ไม่มีใครที่จะเอาไปจากเราได้ เพราะฉะนั้นเราต้องทุ่มเททุกงานให้ออกมาดีที่สุด เพราะว่ามันคือเรื่องราวชีวิตเราเลย
งานแต่ละงานที่เสร็จมันไม่ได้ออกมาแค่วันสองวัน เราใช้เวลานานกว่าจะคิด กว่าจะสร้างมันออกมา ทำให้ดีที่สุด แล้วพอมาร้อยเรียงเป็นเหมือนแกลเลอรีชีวิต เราจะรู้สึกมีความสุข แล้วก็รู้สึกที่จะภูมิใจกับมันค่ะ

VAIR
Address: Ekkamai 1 Alley, Khlong Tan Nuea, Watthana, Bangkok
Tel: 09-1996-5642
Website: https://www.vairdesign.com/
Instagram: https://www.instagram.com/vair.interior/
Facebook: https://www.facebook.com/Vairdesign
The post AIR VAIR มัณฑนากรผู้ใช้พลังแสงอาทิตย์ขับเคลื่อนแพสชันในการออกแบบ appeared first on THE STANDARD.
]]>
“เรียกบุษรา…(หัวเราะ) เรียกพี่เกดก็ได้ค่ะ” ผู้หญิงภาพลั […]
The post Muse by Metinee เซฟโซนที่ ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม พร้อมโอบรับทุกคน appeared first on THE STANDARD.
]]>
“เรียกบุษรา…(หัวเราะ) เรียกพี่เกดก็ได้ค่ะ” ผู้หญิงภาพลักษณ์สุดแกร่งที่ชื่อ ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม หยอกเย้ากับเราด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นมิตร

เธอแนะนำตัวเองว่าเธอเป็นอดีตนางงามและนางแบบ แต่ภาพของลูกเกดที่เราเห็นตรงหน้าในวันนี้ก็ยังเป็นนางงามและนางแบบที่สวยสง่าเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือภาพจำของความเป็น ‘บุษรา’ บทบาทอันโหดเหี้ยมที่เธอฝากไว้ในซีรีส์กระแสแรงส่งท้ายปีอย่าง ‘ทิชา’


นอกเหนือจากงานแสดง ปัจจุบันเธอยังสวมหมวกคุณแม่ นักธุรกิจ เมนเทอร์ และครูประจำ Muse by Metinee สถาบันสอนบุคลิกภาพที่เธอก่อตั้งขึ้นกับ มาร์ค กิ่งโพยม หนึ่งในน้องชายฝาแฝดของเธอ


หากดูเพียงผิวเผินเราอาจคิดว่า Muse by Metinee เป็นสถาบันสอนเดินแบบเพื่อที่จะปั้นคนไปเป็นดาวในวงการ แต่เมื่อได้พูดคุยกับเธอถึงจุดเริ่มต้นในการสร้างสิ่งนี้ เรากลับเจอคำตอบที่ลึกซึ้งกว่านั้น


ในยุคที่ทุกคนต่างมีสื่อโซเชียลในมือและสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างตัวตนได้อย่างอิสระก่อให้เกิดค่านิยมของการวัดคุณภาพชีวิตกันผ่านสิ่งที่เห็น หลายคนรู้สึกด้อยค่าในวันที่เห็นชีวิตคนอื่นช่างดูดี อู้ฟู่ ประสบความสำเร็จไปซะทุกด้าน ในขณะที่ตัวเองดูไม่มีอะไรดีสักอย่าง
บ้างก็ถูกสังคมบูลลี่เรื่องหน้าตา รูปร่าง จนสูญเสียความมั่นใจในชีวิต เกิดเป็นวังวนของความรู้สึกผิดหวังในตัวเองซ้ำๆ

Muse by Metinee จึงไม่ใช่แค่สถาบันปั้นคนที่ก่อตั้งโดยเซเลบริตี้ แต่เป็น ‘เซฟโซน’ เป็นพื้นที่ที่จะช่วยให้คุณได้รู้จักตัวเองในมุมใหม่ เป็นพื้นที่ที่คุณจะได้เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้น มีความมั่นใจยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือ…มีความสุขกับการได้รักตัวเองมากขึ้น

ประสบการณ์กว่า 32 ปีในเส้นทางบันเทิงของลูกเกด และสัญชาตญาณของความเป็นนางแบบในสายเลือดตั้งแต่เด็กทำให้เธอค้นพบว่า ‘การปั้นคน’ คือแพสชันที่จะอยู่กับเธอไปตลอดชั่วชีวิต และวันนี้เธอก็มีเอเนอร์จี้เกินร้อยที่จะส่งต่อพลังและความมั่นใจแก่ทุกคนเพื่อตอบแทนทุกสิ่งที่เธอเคยได้รับมา

มาดูกันว่าเรื่องราวเบื้องหลังผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแม่สุดสตรองคนนี้จะปลุกพลังกายและพลังใจให้คุณได้มากแค่ไหนใน Passion Calling x Lukkade Metinee
ภาพ: สุพัฒน์ ชิ้นประเสริฐ
The post Muse by Metinee เซฟโซนที่ ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม พร้อมโอบรับทุกคน appeared first on THE STANDARD.
]]>
จับกีตาร์ครั้งแรก…สายขาดดัง ‘ป๊อก!’ เด็กชายวัยประถมต้นท […]
The post ‘กีตาร์’ แพสชันที่ขับเคลื่อนจิตวิญญาณและตัวตนของ มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง appeared first on THE STANDARD.
]]>
จับกีตาร์ครั้งแรก…สายขาดดัง ‘ป๊อก!’ เด็กชายวัยประถมต้นที่หยิบเครื่องดนตรีหน้าตาคลาสสิกของญาติมาลองดีดเล่นด้วยความว่างได้แต่อุทานในใจว่าฉิ*หาย ด้วยความกลัวเลยเอากีตาร์ไปซ่อนแล้วบอกตัวเองว่าขอไม่ข้องเกี่ยวกับสิ่งนี้อีก

3 ปีต่อมา โลกโคจรจนเด็กชายคนนี้เวียนมาเจอกับสิ่งที่เคยวิ่งหนีมาอีกครั้ง “กีตาร์มีแบบนี้ด้วยเหรอ…สวยจัง” ภาพถ่ายเรียบง่ายของกีตาร์สีขาวลาย Playboy ในหนังสือคอร์ดกีตาร์ ไอเท็มสุดฮิตของคอดนตรีในยุคที่โลกยังไม่มีสมาร์ทโฟน ทำให้เขารู้สึกเหมือนต้องมนตร์ ยิ่งดูยิ่งหลงใหล ยิ่งอยากได้ แม้จะยังไม่รู้วิธีเล่นเลยก็ตาม

นับจากวันนั้น กีตาร์กลายเป็นเป้าหมายใหญ่ในชีวิตที่เขาต้องพุ่งชน และเป้าหมายแรกคือการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมเพื่อแลกกับรางวัลเป็นกีตาร์ตัวแรก

จากการมีกีตาร์เป็นของตัวเองสู่การแอบแม่ซื้อ การแอบลงคอร์สเรียน และการหมกตัวฝึกฝนวันละหลายชั่วโมง ทั้งหมดได้หล่อหลอมให้เด็กชายในวันวานกลายเป็น มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง

นักดนตรีและนักสะสมที่ไม่ว่าโลกจะพัดพาไปในทิศทางใด ‘กีตาร์’ ก็จะยังเป็นแรงขับเคลื่อนจิตวิญญาณและตัวตนของเขาไปจวบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

เราเชื่อว่า Passion Calling x Mile-Phakphum Romsaithong
จะเป็นอีกอีพีที่สร้างพลังบวกและแรงบันดาลใจอย่างล้นหลามให้กับคนที่กำลังตามหาแพสชันและเดินตามความฝันอย่างแน่นอน
ขอบคุณสถานที่: Strings Shop
The post ‘กีตาร์’ แพสชันที่ขับเคลื่อนจิตวิญญาณและตัวตนของ มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง appeared first on THE STANDARD.
]]>
ดวงตาที่ส่องประกายขณะจ้องมองภาพของเหล่าไอดอลญี่ปุ่นร้อง […]
The post จากไอดอลสู่คนเบื้องหลัง แพสชันใหม่ที่ เฌอปราง อารีย์กุล อยากสานต่อ appeared first on THE STANDARD.
]]>
ดวงตาที่ส่องประกายขณะจ้องมองภาพของเหล่าไอดอลญี่ปุ่นร้องเล่นเต้นรำในจอได้สร้างพื้นที่แห่งความฝันเล็กๆ ในใจของเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง “ถ้าสักวันเราได้มีส่วนร่วมกับสิ่งนี้ก็คงดี…” แล้วโอกาสก็นำพาให้ฝันของเธอเป็นจริง เมื่อ AKB48 ไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปที่เธอติดตาม ประกาศรับสมัครสมาชิกรุ่นแรกของวงน้องใหม่ในประเทศไทย

เด็กสาวที่ไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองแม้แต่น้อย แต่มั่นใจกับความรักและความหลงใหลที่มีต่อกลุ่มไอดอลสุดโปรดของเธอเกินร้อย ตัดสินใจคว้าโอกาสนี้ไว้ แล้วทำให้เต็มที่ แม้ไม่รู้ว่าปลายทางจะลงเอยอย่างไร

นับแต่นั้นมา เฌอปราง อารีย์กุล ก็ไม่ได้เป็นเพียงเด็กสาวที่ชื่นชมไอดอลอยู่หน้าจออีกต่อไป แต่เป็น เฌอปราง BNK48 สมาชิกรุ่นแรกของเกิร์ลกรุ๊ปน้องใหม่ที่มาแรงที่สุดในยุคนั้น



เส้นทางสู่การเป็นไอดอลเป็นบทพิสูจน์ให้เฌอปรางเรียนรู้ว่า แม้จุดตั้งต้นจะเป็นศูนย์ แต่เมื่อชั่วโมงการฝึกฝนผนวกกับวินัยและแรงใจแล้ว…อะไรก็เป็นไปได้


ความสามารถที่เฉิดฉายของเธอทำให้เธอได้สวมหมวกกัปตันวงอย่างเต็มภาคภูมิ และยังเปิดโอกาสให้เธอได้เป็นโค้ชรุ่นพี่คอยฝึกฝนน้องๆ รุ่นใหม่ จนปลดล็อกสกิลที่ซ่อนอยู่เรื่อยมา และสิ่งนั้นก็ได้นำพาให้เธอพบพานกับแพสชันใหม่ ซึ่งก็คือ ‘การจัดการและพัฒนาคน’

แม้วันนี้เฌอปรางจะพับเก็บบทบาทของตัวเองในฐานะไอดอลไป แต่เธอยังมีความสุขกับการได้อยู่ใต้ชายคา BNK48 ในบทบาทผู้จัดการวง และผู้อยู่เบื้องหลังทุกความสำเร็จ

เส้นทางชีวิตและตัวตนอีกด้านของหญิงสาวมากความสามารถคนนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณได้มากน้อยแค่ไหน รับชมได้ใน Passion Calling x Cherprang Areekul
The post จากไอดอลสู่คนเบื้องหลัง แพสชันใหม่ที่ เฌอปราง อารีย์กุล อยากสานต่อ appeared first on THE STANDARD.
]]>
‘เด็กมีปัญหา’ ‘หายใจเป็นเธอ’ ‘รักได้รักไปแล้ว’ และอีกหล […]
The post ความสุขสีพาสเทลของ โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร กับ Morning Glory by Four appeared first on THE STANDARD.
]]>
‘เด็กมีปัญหา’ ‘หายใจเป็นเธอ’ ‘รักได้รักไปแล้ว’ และอีกหลายบทเพลงที่ถ้าเอ่ยมาแล้วยังร้องได้ในวันนี้ แปลว่าภาพของศิลปินสาวใบหน้าสวยเก๋อย่าง โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำและการเติบโตของคุณในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

แม้ว่าบทบาทของโฟร์ในฐานะศิลปินดูโอ้ในตำนานจะถูกปิดฉากลง แต่ความมุ่งมั่นในการค้นหาตัวเองยังไม่เคยเลือนหาย การออกเดินทางครั้งใหม่ของโฟร์ในวันนั้นทำให้เธอค้นพบแพสชันใหม่ที่ทำให้หัวใจพองโตกว่าที่เคย ‘Morning Glory by Four’


ร้านดอกไม้โทนพาสเทลแสนหวานที่เกิดขึ้นจากความหลงใหลในเสน่ห์ความสวยงามของดอกไม้ จนก่อตัวเป็นความสุขที่เธออยากสัมผัสไปทุกๆ วัน

ตลอดทศวรรษที่ล่วงเลยมา แพสชันที่เธอมีต่อความสุขสีพาสเทลนี้ยังไม่เคยเปลี่ยน สิ่งที่เปลี่ยนมีเพียง ‘โฟร์’ ในเวอร์ชันที่เติบโตยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับร้านที่วันนี้ย้ายมาปักหลักในพิกัดใหม่ แม้จะกว้างขึ้นแต่ยังอบอุ่นใจเสมอ

จากภาพฝันที่วาดไว้สู่ร้านดอกไม้ที่ครองใจใครต่อใครในวันนี้ โฟร์ได้ก้าวผ่านอะไรมาบ้าง ติดตามรับชมได้ใน Passion Calling x Four-Sakonrut Woraurai
The post ความสุขสีพาสเทลของ โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร กับ Morning Glory by Four appeared first on THE STANDARD.
]]>