- สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกเริ่มทรงตัว แรงหนุนมาจากการลงทุนในกลุ่มเทคฯ และ AI ที่มีข้อตกลงของบริษัทขนาดใหญ่ ได้แก่ AMD และ OpenAI
- Fed Minutes ระบุว่ากรรมการส่วนใหญ่เห็นควรผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อในช่วงที่เหลือของปี หลังตลาดแรงงานมีสัญญาณอ่อนตัวในบางกลุ่ม
- ด้าน กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% กรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายภายใต้ Policy space ที่จำกัด
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (17 ธ.ค.) 25bps ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากขึ้นทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกเริ่มทรงตัว โดยเริ่มเห็นการชะลอตัวในช่วงท้ายสัปดาห์ หลังการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) ที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แรงหนุนมาจากการลงทุนในกลุ่มเทคฯ และ AI ที่มีข้อตกลงของบริษัทขนาดใหญ่ ได้แก่ AMD และ OpenAI อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นสร้างความผันผวนของค่าเงินเยน และผลตอบแทนพันธบัตรของญี่ปุ่น
ด้าน Fed Minutes เนื้อหาใกล้เคียงกับแถลงการณ์หลังประชุม โดยระบุกรรมการส่วนใหญ่เห็นควรผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อในช่วงที่เหลือของปี หลังตลาดแรงงานมีสัญญาณอ่อนตัวในบางกลุ่ม แต่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงขาขึ้น
ด้านตลาด EM ทรงตัวเช่นกัน โดยจีนยังอยู่ในช่วงวันหยุดยาว ก่อนกลับมาเปิดในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยรวมการเดินทางภายในประเทศจีน ช่วง Golden Week สูงกว่าคาด แต่การใช้จ่ายต่อหัวลดลงจากปีที่แล้ว ด้านการบริโภคภาคบริการโตแกร่ง เช่น โรงแรม, และกิจกรรมที่เน้นประสบการณ์ World Bank ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2025 ของจีน เป็น 4.8% จากประมาณการก่อนหน้าที่ 4.0% เนื่องจากผลการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศแข็งแรงกว่าคาด
สำหรับตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น ก่อนลดลงมาต่ำกว่า 1,300 จุด จากแรงกดดันในช่วงวันศุกร์จากหุ้น DELTA เข้าข่ายติดบัญชี Cash Balance
ด้าน กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% กรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายภายใต้ Policy space ที่จำกัด ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ของไทยเดือน ก.ย. หดตัว -0.72% YoY หดตัวมากกว่าที่ตลาดคาด และเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันปรับขึ้นหลังกลุ่ม OPEC+ มีมติเพิ่มการผลิตในเดือน พ.ย. 1.3 แสนบาร์เรลต่อวัน น้อยกว่าที่ตลาดกังวล อย่างไรก็ตามการประกาศข้อตกลงยุติสงครามอิสราเอล-ฮามาส กดดันราคาท้ายสัปดาห์
คาดกนง.ลดดอกเบี้ยอีกครั้งเดือนธ.ค.
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ต่อปี กนง. ระบุว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยผลของการลดดอกเบี้ยรอบก่อนยังอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจจริง ขณะเดียวกัน กรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายภายใต้ขีด
ความสามารถ (policy space) ที่จำกัดจึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ เพื่อรักษาความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายในอนาคต
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า กนง. ควรลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (17 ธ.ค.) 25bps ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากขึ้นทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ภาวะการเงินที่ตึงตัวและปัญหาสินเชื่อที่หดตัวต่อเนื่อง
Fed Minutes ระบุกรรมการส่วนใหญ่เห็นควรผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อในช่วงที่เหลือของปี กรรมการส่วนใหญ่ประเมินว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังโน้มขึ้น แม้ตลาดแรงงานยังไม่อ่อนแรง รุนแรงแต่มีสัญญาณอ่อนตัวในบางกลุ่ม ทั้งนี้คณะกรรมการ ‘บางส่วน’ เห็นว่าข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ ว่าการชะลอตัวเริ่มนานกว่าที่ประเมินไว้
ดังนั้น เรายังคงมองว่า Fed น่าจะลด 2 ครั้งในปีนี้ สู่ 3.50 - 3.75% ขณะที่ในปี 2026 เราเชื่อว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง เพื่อตอบสนองต่อตลาดแรงงานที่อ่อนกำลังลง ขณะที่เงินเฟ้อยังไม่เป็นความเสี่ยงมากนัก
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
- หุ้น Earnings Play ซึ่งคาดผลการดำเนินงาน 3Q68 จะยังเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY ได้แก่ ADVANC BCP KTB LHSC OR PTT TRUE
- หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากการเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC TIDLOR
- Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากรัฐมีแผนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แนะนำ กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW) จากมาตรการเที่ยวเมืองรอง,กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC TIDLOR) จากมาตรการพักหนี้และให้สินเชื่อรายย่อย, กลุ่มนิคม (WHA AMATA) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF BGRIM BCPG) จากมาตรการหนุนพลังงานสะอาดและการลงทุน Data Center
- หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่า แนะนำ KCE HANA TU
- หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่จะดีขึ้น จากโครงการคนละครึ่งพลัสแนะนำ CPAXT และ BJC (มีฐานลูกค้าโชห่วยและร้านอาหาร), TNP (เป็นร้านธงฟ้า), CPALL, CBG, OSP, ICHI
“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสแกว่งตัวไซด์เวย์รอปัจจัยหนุนใหม่ๆ โดยปัจจัยในประเทศติดตามรัฐบาลมีแผนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทุกสัปดาห์ ซึ่งคาดจะมีส่วนช่วยประคองตลาด ทั้งนี้สัปดาห์นี้ คาด รมว. คลังจะเสนอ ครม. พิจารณามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง ส่วนปัจจัยต่างประเทศติดตามตัวเลขส่งออก ต.ค. ของจีน ซึ่งตลาดคาด +5.2%YoY ดีขึ้นจาก ก.ย. ที่ +4.4%YoY ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ อาทิ CPI, PPI และยอดค้าปลีก ก.ย. แม้
ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น MoM แต่การชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ อาจทำให้การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจล่าช้าหรืองดเผยแพร่ได้ ซึ่งอาจทำให้ตลาดขาดข้อมูลชี้นำ” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ การส่งออก-นำเข้า ต.ค. ของจีน รวมทั้ง CPI, PPI, ยอดค้าปลีก ก.ย. ของสหรัฐ
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ที่รัฐบาลมีเป้าหมายจะออกมาตรการใหม่ในทุกสัปดาห์
- สถานการณ์ปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (US Government Shutdown) หลังปิดเป็นเวลานานเกินกว่า 1 สัปดาห์
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: BCP - 3Q25 คาดกำไรจะเติบโตเร่งตัวขึ้น
แนะนำ บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นผู้นำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในไทย (ส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 รองแค่ PTT) ที่มีการกระจายความเสี่ยงธุรกิจสู่พลังงานสะอาดซึ่งมีศักยภาพเติบโตดี อาทิเช่น โรงไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ, ร้านค้าปลีก, ร้านกาแฟ
- 3Q25 คาดกำไรจะดีขึ้น QoQ และ YoY แรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่นที่สูงขึ้น ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลที่ดีขึ้น และขาดทุนสต๊อกที่ลดลง อีกทั้งยังจะมีการรับรู้ประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนได้มากขึ้นจาก synergy และส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าด้วย
- มอง Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขาย PER และ PBV 26F ที่ 4.6 เท่า และ PBV 0.6 เท่า ซึ่งต่ำกว่าระดับ -1SD. ขณะที่ปี 2025 คาดพลิกกลับมามีกำไรปกติราว 8.0 พันล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่องอีก 16%YoY ในปี 2026
- เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 47 บาท อิงวิธี sum of part และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 1.15 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 3.7%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
กลุ่มเทคฯลงทุนต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์นี้ AMD ทำดีลกับ OpenAI ด้าน NVDA ลงทุนกว่า $2bn ในการระดมทุน xAI ของ Elon Musk โดยท้ายที่สุดดีลนี้จะช่วยให้ xAI และ OpenAI นำชิป GPU NVDA และ AMD ไปใช้งาน แต่อย่างไรก็ดีมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง เช่น Warrant AMD ซึ่งภาพนี้สะท้อนวิธีการระดมทุนรูปแบบใหม่มากขึ้นซึ่งนำไปสู่การหมุนเวียนเงินทุนภายในกลุ่มเทคฯ แต่สร้างความกังวลต่อความยั่งยืนของรายได้ในกลุ่มเทคฯ
- NVDA มีการลงทุนใน xAI ในส่วนทุนเรือนหุ้น (Equity Investment) ของการระดมทุน $20bn ของ xAI ซึ่งจะถูกนำไปใช้จัดหาชิป $NVDA GPU จำนวนมากผ่าน SPV สำหรับโครงการ Colossus 2 ของ xAI โดยภาพดีลออกมาในทิศทางเดียวกับดีล OpenAI และ CoreWeave ที่สร้างความผูกพันทางธุรกิจในระยะยาว
- ด้าน OpenAI สั่งซื้อชิป AMD กว่า $70-90B โดยแลกกับการได้รับสิทธิในการซื้อหุ้น AMD (Warrant) ในราคาถูก (1 เซนต์ต่อหุ้น) เมื่อ AMD ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย (หุ้นถึง $600) ซึ่งเรามองว่าประเด็นนี้ช่วยให้ AMD ล็อกรายได้ AI ไว้กับระบบ Full-Stack (Helios Rack) และ แบ่งปันผลประโยชน์ในอนาคต
- เราประเมินว่าการระดมทุนนี้เป็นแบบ Circular Trading ซึ่งเป็นการระดมทุนแบบใหม่ในยุค AI โดยมีหลักคือ 1. การเปลี่ยนเงินทุนเป็นยอดขายทันที: ผู้ผลิตชิป (เช่น NVDA AMD) ให้เงินทุนหรือให้การรับประกันทางการเงินแก่บริษัท AI 2. การผูกขาดเทคโนโลยี: เงินทุนนั้นถูกนำไปใช้ซื้อเทคฯของผู้ลงทุนกลับมา ซึ่งเป็นการันตียอดขายและผูกมัดลูกค้ากับสถาปัตยกรรมนั้นๆ 3. การแบ่งปันความเสี่ยง/ผลประโยชน์: บริษัท AI ได้ทรัพยากรที่จำเป็น (Compute Power) โดยไม่ต้องใช้เงินสดจำนวนมหาศาลล่วงหน้า ในขณะที่ผู้ผลิตชิปได้ส่วนแบ่งในอนาคต (Equity Upside) หากบริษัท AI ประสบความสำเร็จ
- เราประเมินว่ากลยุทธ์เหล่านี้ช่วยเร่งการเติบโตของอุตฯ AI อย่างก้าวกระโดด แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ความยั่งยืนของรายได้ ที่เกิดจากการหมุนเวียนของเงินทุน (Non-organic Revenue) ที่ไม่ใช่ยอดขายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ AI ที่ทำกำไรจริงในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ 1. เราแนะติดตามในระยะถัดไป 2. ลงทุนอย่างระมัดระวังและไม่ไล่ตามราคาหลังประเมินว่ากลุ่มเทคฯมีความคาดหวังที่สูงทำให้ความเปราะบางของหุ้นมีอยู่มาก ซึ่งเรายังแนะลงทุนในช่วงหุ้นย่อตัวลง NVDA AMZN MSFT META TSM GOOGL AMD AVGO
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ยังให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้แรงหนุนจากข้อพิพาทการค้า และความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ แม้ล่าสุด มีรายงานว่าอิสราเอลและกลุ่มฮามาสบรรลุข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนลดลงตามไปด้วย
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจำกัด จากความเสี่ยงตลาดแรงงาน บนประเด็นการชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อ ด้านตราสารหนี้ไทย Bond Yield มีความผันผวนในระยะสั้น หลัง กนง.ประกาศคงดอกเบี้ยในเดือนนี้ ทั้งนี้ เรามองว่า กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ.ค. และอีก 25 bps ในต้นปี 2569 หนุนราคาตราสารหนี้ไทย
U.S. Treasury & IG
แนะนำพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ IG ระยะสั้นของสหรัฐฯ รับแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของ Fed แม้ Fed minutes ล่าสุด ชี้กรรมการฯ ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อสูง ประกอบกับ ยังมีความเสี่ยงที่ Term premium ยังเพิ่มขึ้น จากความไม่แน่นอนนโยบายกีดกันการค้า และสถานะทางการคลังสหรัฐฯ ก็ตาม
High Yield Bond
ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น จนกระทบหุ้นกู้ HY สหรัฐฯ ยังมีอยู่ ตามความเสี่ยงตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอ หลังประธานาธิบดี Trump ขู่ว่าจะปลดเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วน หากการชัตดาวน์ยังดำเนินต่อไป แม้ UST yield มีโอกาสลดลงต่อ ตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ก็ตาม
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
Asia REITs
อัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศเอเชียยังเป็นทิศทางขาลง ทำให้อัตราปันผลมีความน่าสนใจกว่าภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุนใน Singapore REITs ที่มีอัตราปันผลอยู่ที่ 6% และ REITs ไทยที่มีอัตราปันผลเฉลี่ยสูงถึง 8.8% นอกจากนี้ กลต. ปรับเกณฑ์การลงทุนให้กองทุน TESG และ TESGX สามารถลงทุนใน REIT ได้ หนุนสภาพคล่องในตลาด
Global Infrastructure
การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวที่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง พร้อมเพิ่มโอกาสในการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก และมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกจะเพิ่มสูงถึง 68 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ภายในปี 2583
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น
Private Asset เป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด Public เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่ต่ำกว่า โดยเรามองบวกต่อ Private Equity จากแนวโน้มการลดลงของดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของ M&A ด้าน Private credit สามารถสร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอและมี yield premium ที่น่าสนใจ
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จาก EPS ใน 3Q2568 ที่มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าที่คาด / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและกลาโหม / หุ้นญี่ปุ่น ได้รับแรงหนุนจากความหวังการผ่อนคลายการเงินการคลัง และพัฒนาการ AI กับเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่น
หุ้นสหรัฐฯ
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1. ความคืบหน้าของกระแส AI ในสหรัฐฯ 2. Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย 3. ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4. EPS ปี 2568-2569 ที่มีแนวโน้มเติบโตดี รวมทั้ง EPS ใน 3Q2568 ที่มีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มผันผวนระยะสั้น จากความไม่แน่นอนการเมืองฝรั่งเศส หลังนายกฯลาออก จึงต้องเร่งแต่งตั้งนายกฯคนใหม่ ส่งผลต่อการผ่านร่างงบประมาณปี 2569 ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะยาว หลังเยอรมันอนุมัติงบประมาณปี 2568 และจัดตั้งกองทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500,000 ล้านยูโร
หุ้นญี่ปุ่น
ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น ได้แรงหนุนจาก 1. EPS ที่มีแนวโน้มถูกปรับเพิ่มขึ้น ตามความไม่แน่นอนการค้ากับสหรัฐฯ ที่ลดลง 2. การปฏิรูปบรรษัทภิบาล ที่ช่วยยกระดับ ROE และ P/BV 3. ความหวังการผ่อนคลายการคลังที่มากขึ้น ภายใต้การนำของ Takaichi ผู้นำ LDP คนใหม่ และ 4. ความคืบหน้ากระแส AI ในญี่ปุ่น
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการลดดอกเบี้ยของ Fed ในภาวะที่ไม่เกิดเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ เรามองว่าตลาดได้ประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้า โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM equities) 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ใน 3Q2568 จากแนวโน้มเงินดอลลาร์ สรอ. ที่ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง
หุ้นอินเดีย
เรายังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว จากการทยอยลดดอกเบี้ยของ RBI และการปฏิรูปภาษีสินค้าและบริการ (GST) ที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และบรรเทาผลลบจากข้อพิพาทกับสหรัฐฯ ทั้งจากกำแพงภาษีนำเข้าที่ยังสูงถึง 50% และการขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H1B เป็น 1 แสนดอลลาร์ สรอ.
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวลงระยะสั้น กดดันจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง DELTA ที่ติดบัญชี Cash Balance ทำให้เกิดแรงขายทำกำไร ทั้งนี้ เรายังมองผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม คาดว่า ครม.จะพิจารณามาตรการภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยตลาดเริ่มให้น้ำหนักกับผลประกอบการ 3Q2568 ที่จะทยอยออกในสัปดาห์นี้
หุ้นจีน All-Share
ดัชนีหุ้นจีน อาจเผชิญความผันผวนระยะสั้น จากความกังวลบนความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน แต่ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก การออกมาตรการปฏิรูปของทางการจีน ในการประชุม 4th plenum ในเดือนนี้ และ จากแนวโน้มการออกมาตรการส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีของทางการจีน
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯ เริ่มยืดเยื้อ เพิ่มโอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ย รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองของฝรั่งเศส และความตึงเครียดทางการค้าสหรัฐฯ-จีนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เงินทุนไหลเข้ากองทุน Gold ETF เดือน ก.ย. มากถึง 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ.
หุ้นจีน A-Share
ดัชนีหุ้นจีน A-Share รับอานิสงส์จาก 1. แรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศ ตามการโยกย้ายสินทรัพย์ของครัวเรือนไปหุ้นมากขึ้น 2. ความหวังมาตรการกระตุ้นเพิ่มจากทางการ ในการประชุม 4th plenum และ politburo 3. AH premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จับตาการเจรจาค้าจีน-สหรัฐฯ ที่เกาหลีใต้ หลังความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้น
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก EPS กลุ่ม Big Tech สหรัฐฯ ใน 3Q2025 ที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น และดีกว่าที่คาด และจาก AI capex ของ Hyperscalers ที่ยังเติบโตดี ซึ่งมีแนวโน้มดีกว่าที่คาดเช่นกัน โดยล่าสุด CEO ของ Nvidia เผยว่า ความต้องการประมวลผล AI เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ดัชนีหุ้น S&P 500
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1. ความคืบหน้าของกระแส AI ในสหรัฐฯ 2. Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย 3. ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4. EPS ปี 2568-2569 ที่มีแนวโน้มเติบโตดี รวมทั้ง EPS ใน 3Q2568 ที่มีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก EPS กลุ่มฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ตามความต้องการใช้ AI ที่เพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดที่ TSMC เผยยอดขายรวมใน 3Q2568 เติบโตถึง 30%YoY จากความต้องการชิป AI ที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง
หุ้นกลุ่ม Health Care
หุ้นกลุ่ม Health Care ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 1. ความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่ลดลง หลังแผนคุมราคายาจากรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มชัดเจนขึ้น 2. P/E ที่เทรด discount ตลาดโดยรวมอยู่มาก มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น และ 3. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และ M&A ในกลุ่มฯ ที่เพิ่มขึ้นมาก
ภาพ: J Studios / Getty Images,