- ภาคบริการหดตัวครั้งแรกในรอบปีที่ 49.9 พร้อมดัชนีราคาพุ่งสูงสุดรอบ 2.5 ปี บ่งชี้ความเสี่ยงต่อภาวะ stagflation
- ซึ่งภาวะ stagflation จะทำให้ Fed ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้แม้เศรษฐกิจชะลอลง
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ ยังต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน อินเดีย และญี่ปุ่น รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย
- สำหรับหุ้นไทย หากดัชนีปรับตัวลงมาบริเวณ 1,120-1,100 ยังเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสม
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้น ได้แรงหนุนจากกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับเพิ่มขึ้น 2.2% จากแนวโน้ม 2H25 ที่ยังดูดีต่อ โดยเฉพาะฝั่งยุโรป นอกจากนั้น ตลาดเริ่มให้น้ำหนักลดลงต่อประเด็นสงครามการค้า แม้ปลายสัปดาห์ก่อนจะมีประเด็นการเพิ่มภาษีเรียกเก็บเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่มจาก 25% เป็น 50% โดยล่าสุดการพูดคุยระหว่างปธน.สหรัฐและจีน มีสัญญาณเชิงบวกในเบื้องต้น ก่อนเข้าสู่การเจรจาในชั้นถัดไป
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังส่งสัญญาณการชะลอตัวลงต่อเนื่องในภาคแรงงาน รวมถึงภาคการผลิตสะท้อนจากดัชนี ISM หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ส่วนภาคบริการหดตัวครั้งแรกในรอบปีที่ 49.9 พร้อมดัชนีราคาพุ่งสูงสุดรอบ 2.5 ปี บ่งชี้ความเสี่ยงต่อภาวะ stagflation นำไปสู่การเรียกร้องจากผู้นำสหรัฐ และความคาดหวังของตลาดต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed เพิ่มมากขึ้น
ความอ่อนแอของกำลังซื้อ กดดันหุ้นในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย โดยกลุ่ม Consumer Discretionary ปรับตัวลดลง 1.9% ด้าน ECB ปรับลดดอกเบี้ยลงตามตลาดคาด แต่ส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาลงอาจเริ่มชะลอ
ตลาดหุ้น EM ปรับขึ้นเด่นกว่า DM จากความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเพิ่มเติม โดยดัชนี Caixin PMI ที่ลดลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 จากการลดลงของคำสั่งซื้อจากต่างประเทศและการผลิตที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน
ตลาดหุ้นเกาหลีปรับขึ้นแรง หลังทราบผลการเลือกตั้งในช่วงต้นสัปดาห์ ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงต่อเนื่องอีก 2% จากแรงกดดันต่อเกณฑ์ Capped Weight ที่อาจกระทบหุ้น DELTA และไม่มีประเด็นบวกใหม่ๆ เพิ่มเติม ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นแม้ OPEC+ จะเร่งเพิ่มการผลิต แต่อยู่ในคาดการณ์ตลาดแล้ว รวมถึงความกังวลด้านอุปทาน
สัญญาณเกิด ภาวะ ‘stagflation’ เข้มขึ้น
เรามองว่าสงครามการค้าเริ่มส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคแรงงาน สะท้อนจากข้อมูลการจ้างงาน ADP ขณะที่ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม
ภาคบริการซึ่งเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็หดตัวครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งปี สะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าเริ่มแผ่ขยายจากภาคการผลิตเข้าสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนมากกว่าสองในสามของเศรษฐกิจ
ความเสี่ยงเงินเฟ้อเริ่มชัดเจนขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากดัชนีราคาที่จ่ายสำหรับปัจจัยการผลิตในภาคบริการพุ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ระดับ 68.7 ขณะที่ดัชนีเวลาการส่งมอบของ ISM เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 การที่ธุรกิจต่างๆ ส่งผ่านต้นทุนภาษีนำเข้าไปยังผู้บริโภคอย่างเต็มจำนวน สร้างแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจนำไปสู่ภาวะ ‘stagflation’ ซึ่งจะทำให้ Fed ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้แม้เศรษฐกิจชะลอลง
ด้านเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบที่รุนแรงเช่นกัน โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กและกลางในภาคเอกชน เห็นได้จากดัชนี Caixin PMI ที่ลดลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 แม้จะมีข้อตกลงลดภาษีชั่วคราว 90 วัน การลดลงของคำสั่งซื้อจากต่างประเทศและการผลิตที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งอุปสงค์ภายในที่อ่อนแอและอุปสงค์ภายนอกที่ลดลง ในสถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลจีนจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเชยผลกระทบจากการส่งออกที่ลดลงและสร้างแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งธนาคารกลางจีนได้เริ่มดำเนินการโดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราเงินสำรองแล้ว
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
1. หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ เลือก ADVANC, TRUE, CPALL, BTG และ CPF
2. หุ้น SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป พร้อมคาดให้ Div. Yield ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป อีกทั้งเราแนะนำ Outperform แนะนำ PTT, KTB, BBL และ HMPRO
3. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC, BDMS, CPALL และ PTT และ SET100: BCH BTG AP
4. หุ้นตั้งรับที่มีรายได้ในประเทศเป็นหลัก ได้แก่ BCH, CPALL, GULF, MTC, OR และ TRUE
5. Trading Idea: 1) หุ้นที่มีโอกาสได้รับน้ำหนักเพิ่มจากกองทุน Passive Funds ที่ต้องลดน้ำหนัก DELTA ลงเหลือ 10% และเพิ่มน้ำหนักหุ้นอื่นใน SET50 แทน แนะนำ PTT, ADVANC, AOT, GULF และ CPF และ 2) หุ้นที่ฟื้นตัวเร็วหากมีความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้าแนะนำ AMATA, AOT, MINT, PTT, TU และ WHA
“ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวไซด์เวย์ เนื่องจากตลาดหุ้นโลกยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามจากข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน อินเดีย และญี่ปุ่น รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย และผลกระทบของ DELTA จากเกณฑ์ใหม่ของ ตลท. ที่จำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัวใน SET50/SET100 เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ ขณะที่แม้วันที่ 10 มิถุนายน อาจมีความคืบหน้า ครม. พิจารณาโครงการ ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568’ แต่ยังมองส่งผลบวกต่อ SET ไม่มากนัก อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่า ช่วงต้นเดือนเมษายน SET ได้ปรับลงใกล้ระดับวิกฤติ (downside ที่ 1,032 จุด) ซึ่งสะท้อนผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐซึ่งผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้ว เรายังคงมุมมองว่า หากดัชนีปรับตัวลงมาบริเวณ 1,120-1,100 ยังเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสม” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
1. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ภาวะเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคม, ดุลการค้าของจีนเดือนพฤษภาคม
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (University of Michigan) ของสหรัฐฯ เดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) ตลาดคาด 52 จุดในวันที่ 13 มิถุนายน
3. ความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: PTT - งบดุลแข็งแกร่ง...Downside จำกัด
แนะนำ บมจ. ปตท. หรือ PTT เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นผู้นำธุรกิจด้านพลังงานและปิโตรเคมีครบวงจรของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากคาดเห็นศักยภาพการเติบโตต่อเนื่อง จากแผนขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของโลก
- 2Q25 คาดกำไรจะลดลง YoY แต่จะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากกำไรที่ดีขึ้นของธุรกิจน้ำมันและค่าการกลั่นที่สูงขึ้นของบริษัทร่วม โดยโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรของ PTT จะช่วยปกป้องกำไรจากความผันผวนของราคาน้ำมันได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปี 2025 คาดกำไรปกติจะแตะระดับ 1.18 แสนลบ. พลิกเติบโต 44.2%YoY
- Valuation น่าสนใจ โดยปัจจุบัน PTT ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.7 เท่า (-1.6SD ของ PBV เฉลี่ย 5 ปี) และงบดุลยังแข็งแรงจากบริหารสภาพคล่องได้ดี ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่แน่นอน อีกทั้งมีโครงการซื้อหุ้นคืนซึ่งจะช่วยจำกัด downside ของราคาหุ้น
- เราประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 41 บาท อ้างอิงวิธี sum-of-parts และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 2.10 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 7%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
ในระยะสั้น เราเชื่อว่าราคาหุ้นกลุ่มเซมิฯมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อสะท้อนผ่านเซมิฯ AI ที่ยังเติบโตและไม่ได้แย่อย่างที่ตลาดกังวล โดย 1) AMZN และ GlobalFoundries มีการลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้นหนุนการใช้ชิป 2) AVGO และ TSMC ที่มองอุปสงค์ AI ยังดี นอกจากนี้เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกลุ่มเซมิฯดั้งเดิมสะท้อนผ่านคาดการณ์ของAVGO, STMicro และ ON โดยเราแนะเก็งกำไรเป็นรอบๆ บน NVDA, AMD, AVGO, TSMC และ ASML
กลุ่มเซมิฯ AI ยังคงเติบโตดีกว่าตลาดคาดการณ์
1. TSMC เผยอุปสงค์ด้าน AI และชิป Humanoid Robot ยังคงแกร่ง รวมถึงอุปสงค์ AI เกินกว่า Supply ด้วย
2. AVGO ให้คาดการณ์การเติบโตของชิป AI ที่ +60% ใน FY25 (ดีกว่าคาด 6%) และมีแรงหนุนจากชิป AI ASIC ซึ่มีลูกค้าหลักมา Google's TPU v6 ที่มีแนวโน้มจะเริ่ม mass production ในปีนี้
3. Amazon (AMZN) เตรียมลงทุน Data center Cloud และ AI มูลค่าราว $10bn ซึ่งจะทำให้ CAPEX รวมใน 1Q25 อยู่ที่ $2.5bn ซึ่งเรามองว่าเป็นบวกต่อ NVDA
4. GlobalFoundries ลงทุน $16bn ในสหรัฐฯ โดยเน้นพัฒนาเทคซับซ้อนและ AI หลังความต้องการยังเพิ่มขึ้น
กลุ่มเซมิฯดั้งเดิม เริ่มมีภาพการฟื้นตัว
1. STMicro คาดทำได้ตามเป้าใน 2Q25 หนุนจากยอดขายอุปกรณ์ IT ในจีนและภาคยานยนต์ที่ฟื้นตัว
2. ในทางเดียวกัน ON เชื่อว่า 2Q25 จะเป็นจุด Bottom ของอุตสาหกรรมรถยนต์และเริ่มฟื้นตัวใน 2H25 โดยเฉพาะ EV จีน
3. AVGO มองรายได้จากเซมิคอนดักเตอร์ที่ไม่ใช่ AI ใกล้จะถึงจุด Bottom และฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
ในระยะสั้น เราเชื่อว่ากลุ่มเซมิฯมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้จากภาพอุปสงค์ AI ที่ยังดีกว่าตลาดคาดและเซมิฯดั้งเดิมที่เริ่มฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ดี ระยะกลาง เรามองว่ากลุ่มเซมิฯยังมีเสี่ยงจาก 1) ข้อจำกัดการส่งออกชิปไปยังจีนและ Tariff ที่ยังมีความไม่แน่นอน 2) การเติบโตเริ่มมีภาพที่ชะลอตัวลงตาม Cycle ทำให้เราแนะกลยุทธ์เก็งกำไรเป็นรอบในช่วงที่หุ้นย่อตัว โดยเราชอบ NVDA AMD AVGO TSMC ASML
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
สินทรัพย์สภาพคล่อง มีแนวโน้มให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังสูง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยังมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ เช่น ความขัดแย้งภายในตะวันออกกลาง ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ-คู่ค้า ข้อพิพาทในอินโด-แปซิฟิก และสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยล่าสุด ผู้นำเกาหลีเหนือกล่าวว่า เกาหลีเหนือจะสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของรัสเซียอย่างไม่มีเงื่อนไข (รวมถึงสงครามในยูเครน) และ จะเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
ความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังหนืด จากความไม่แน่นอนในสงครามการค้า หลังประธานาธิบดี Trump ลงนามในคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม เป็นเท่าตัวสู่ระดับ 50% ซึ่งมีแนวโน้มหนุนให้ UST Yield โดยเฉพาะตัวยาว ยังเพิ่มขึ้นต่อ ด้านตราสารหนี้ไทย เรามองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น-กลาง น่าจะยังปรับตัวลดลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ กนง. จากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เราจึงยังแนะนำลงทุนตราสารระยะสั้นถึงกลาง ทั้งไทยและสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยง duration ต่ำ
U.S. Treasury & IG
UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความกังวลปัญหาหนี้ภาครัฐสหรัฐฯ แม้ CBO เผยว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Trump จะช่วยลดการขาดดุลการคลังลงถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลา 10 ปี ก็ตาม ขณะที่ ดัชนี US IG bond ยังมีความเสี่ยง credit ต่ำ และยังมีปัจจัยพื้นฐานดี เมื่อเทียบกับ US HY bond ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุน UST และ US IG bonds โดยเน้น duration ระยะสั้นถึงกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงพอร์ต ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่
High Yield Bond
ความไม่แน่นอนบนผลกระทบของสงครามการค้าที่ยังมีอยู่ มีแนวโน้มเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY default rate และ HY credit spread จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับปัจจุบันที่ยังต่ำ ประกอบกับ UST Yield ตัวยาว ที่ยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น มากกว่าขาลง ท่ามกลางความกังวลการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ และความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังหนืด อาจจำกัด upside ของ US HY แม้ว่า ตัวเลข leverage ยังไม่ได้น่ากังวล และยอดหุ้นกู้ US HY ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2568 ไม่ได้มากนัก ก็ตาม
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
ในระยะสั้น REITs มีแนวโน้มถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการชะลอตัวของอุปสงค์การเช่าพื้นที่ อย่างไรก็ดี REITs ถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีจากกระแสเงินสดที่มั่นคงและมีอัตราการเติบโตของเงินปันผล จากความสัมพันธ์ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์อื่นต่ำ / สินทรัพย์ผสม (Ready Mixed - Asset Allocation) ช่วยกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน และช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอก
US REITs
ผลประกอบการของ US REITs ใน 1Q68 สะท้อนถึงการดำเนินงานแบบระมัดระวังและการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะยังเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้เป็นข้อจำกัดในการลงทุนสินทรัพย์เพิ่มเติม โดยเรามองว่าการลงทุนใน US REITs ยังมีความน่าสนใจในระยะยาว โดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีความต้องการเช่าสูง อุปทานมีแนวโน้มลดลง ทำให้สามารถขึ้นอัตราค่าเช่าพื้นที่ได้ เช่น กลุ่ม Data Center, Single Family Rentals และ Apartments
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Networth เท่านั้น
เรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit Asset จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อจำกัด ตามที่ Fed ยังมีท่าทีระมัดระวังบนความเสี่ยงเงินเฟ้อ ขณะที่ โมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดย GDPNow ล่าสุด ชี้ว่า GDP สหรัฐฯ ใน 2Q2568 จะ +3.8%QoQ ต่อปี หลังจากที่ -0.2% ใน 1Q2568 ทั้งนี้ เรายังเน้นการลงทุนใน Private credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก (first lien seniority)
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยบวกใหม่ โดยเกณฑ์ในการจำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัวไม่เกิน 10% ในดัชนี SET50/SET100 จะส่งผลลบต่อตลาดในเดือนหน้า ทั้งนี้ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม ที่ -0.6%YoY โดยกระทรวงพาณิชย์ปรับลดเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปของปี 2568 มาอยู่ที่ 0-1% ซึ่งเรามองว่าเป็นโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายทางการคลัง ซึ่งงบประมาณรายจ่ายปี 2569 เพิ่มขึ้นเพียง 0.7%YoY โดยแนวโน้มตลาดระยะกลาง-ยาว ยังขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้า หลังจากที่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
การที่สหรัฐฯ เริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้นเกี่ยวกับการเจรจาการค้า โดยล่าสุด ประธานาธิบดี Trump ระบุว่า เจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ และจีน จะจัดการประชุมในไม่ช้า อาจช่วยประคอง sentiment หุ้นสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจยุโรปยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB และแนวโน้มการใช้จ่ายด้านการทหารกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในเยอรมนี ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังรุนแรง ด้านหุ้นญี่ปุ่น มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความคาดหวังผลการเจรจาที่ดีกับสหรัฐฯ โดยนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดหารือกันในช่วงการประชุม G7 แม้ความเสี่ยงที่ JGB Yield ตัวยาว อาจปรับตัวเพิ่มขึ้น อาจกดดัน sentiment ก็ตาม
หุ้นสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนของผลกระทบจากประเด็นการขาดดุลงบประมาณ และภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ โดยล่าสุด CBO ชี้นโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Trump จะส่งผลกดดันกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะช่วยลดการขาดดุลการคลังลง ก็ตาม ทำให้นักลงทุนบางส่วนมีแนวโน้มที่จะยังคงระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ส่วนในระยะกลาง-ยาว เรามองกำไรบจ.สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตดี และกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยได้อานิสงส์จากกระแส AI และการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบ ควบคู่กับ แผนปรับลดภาษีเงินได้
หุ้นยุโรป
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก 1) ดัชนี Economic Sentiment Index ที่ขยายตัวในเดือนพฤษภาคมจากท่าทีของสหรัฐฯ และจีน ที่แข็งกร้าวน้อยลง 2) ผลประกอบการ บจ. บนดัชนี Stoxx600 ใน 1Q2568 เติบโตค่อนข้างดี ขณะที่ EPS revision กลุ่ม Bank ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้น 3) นักลงทุนในประเทศจัดสรรเงินลงทุนใหม่บนตลาดหุ้นยุโรปเพิ่มขึ้น และ 4) เศรษฐกิจมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยของ ECB และแผนเพิ่มการขาดดุลการคลังเพื่อเพิ่มงบป้องกันประเทศ และการจัดตั้งกองทุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเยอรมนี อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี Trump ประกาศเพิ่มภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม กระทบหุ้นกลุ่มยานยนต์ และกดดันดัชนีฯ ระยะสั้น
หุ้นญี่ปุ่น
แม้ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ และ JGB yield ตัวยาว ที่สูงขึ้น อาจเพิ่มแรงซื้อบนเงินเยน และเพิ่มความผันผวนต่อดัชนีหุ้นญี่ปุ่นระยะสั้น แต่เราคาด ดัชนีฯ ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 1) การปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่นที่ยังคืบหน้า 2) เงินเฟ้อญี่ปุ่นที่กลับมา สอดรับกับ ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 40 ติดต่อกัน และ 3) ญี่ปุ่นมีแนวโน้มเร่งเจรจากับสหรัฐฯ แม้ญี่ปุ่นยังคงยืนกรานเรียกร้องให้สหรัฐฯ ทบทวนนโยบายภาษีนำเข้า โดยเฉพาะอัตราภาษี 25% สำหรับรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่น ก็ตาม
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
แม้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ดี เราคาดว่า จะเห็นประเทศในเอเชียรีบเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตาย ประกอบกับ ยังคาด ทางการประเทศต่างๆ ในเอเชีย มีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้น เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า โดยล่าสุด ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ ได้ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก และกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทั้ง มีแผนกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น
หุ้นอินเดีย
ดัชนีฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 1) เศรษฐกิจอินเดียปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย GDP ใน 1Q2568 ขยายตัว +7.4%YoY ดีกว่าคาด ขณะที่ภาคการผลิต (IP) เดือนเมษายน เติบโต +2.7%YoY มากกว่าคาด 2) อินเดียพึ่งพาส่งออกไปสหรัฐฯ สัดส่วนน้อยเพียง 2% ของ GDP ขณะที่ การเจรจามีแนวโน้มได้ข้อสรุปเบื้องต้นก่อนเส้นตายในเดือนกรกฎาคม 3) อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก การลดภาษีรายได้ส่วนบุคคล การเพิ่มสวัสดิการเงินช่วยเหลือในพื้นที่ชนบท ก่อนการเลือกตั้งท้องถิ่นช่วงปลายปี 2568 และ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ RBI และ 4) แรงซื้อของทั้งนักลงทุนต่างชาติและในประเทศอย่างต่อเนื่อง
หุ้นจีน A-Share
เราคาดว่า ทางการจีนมีแนวโน้มออกมาตรการผ่อนคลายการเงินการคลังเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ โดยที่ล่าสุด PMI ภาคบริการของจีน ในเดือนพฤษภาคม ทั้งโดย Caixin และ NBS ต่างปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ประกอบกับ ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งเริ่มลดลง หลังประธานาธิบดี Trump ระบุว่า การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นเวลา 90 นาที กับประธานาธิบดี Xi Jinping เป็นไปด้วยดี และมีเนื้อหาเกี่ยวกับการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งได้ข้อสรุปที่ดีสำหรับทั้งสองประเทศ
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในระยะสั้น จากแรงกดดันของ 1) ความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน 2) เงินไหลออกจากกองทุน Gold ETF ในเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแรงขายทำกำไร 3) ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน (JOLT) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด สะท้อนตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเรายังมีมุมมองบวกต่อราคาทองคำในระยะกลาง-ยาว จากแรงซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกถึง 80 เมตริกตันต่อเดือน เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์สหรัฐที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า และทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
ภาพ: Dilok Klaisataporn / Shutterstock