THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
government-shutdown-fed-usa
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

เร่งคลายวิกฤตแรงงานสหรัฐฯ! อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด Fed ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งติด รับมือตลาดแรงงานที่เปลี่ยนสู่ภาวะ ‘ปลดออก’ สูงสุดรอบ 20 ปี

... • 17 พ.ย. 2025

HIGHLIGHTS

  • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกอ่อนตัวหลังภาวะ Government Shutdown ที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ สิ้นสุดลง 
  • แต่ยังคงมีความผันผวนช่วงท้ายสัปดาห์ เพราะผลกระทบจากภาวะดังกล่าวยังอยู่ โดยเฉพาะงานค้างสะสม และอาจกระทบต่อการตัดสินใจของ Fed
  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่าแม้การยุติ shutdown จะช่วยจำกัดผลกระทบต่อ GDP 4Q25 ไว้ที่ราว -1.2% ก่อน rebound 1.3% ในไตรมาสแรกของปีหน้า แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงของตลาดแรงงานจะปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อข้อมูลเศรษฐกิจกลับมาเผยแพร่อย่างสมบูรณ์
  • โดยตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนผ่านจาก ‘low hire, low fire’ สู่ ‘no hire, but fire’ โดยมีการปลดพนักงาน 153,074 ตำแหน่งในตุลาคม ซึ่งสูงสุดรอบ 20 ปี
  • สำหรับหุ้นไทย ยังต้องจับตาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในระยะสั้น แม้จะมีผลกระทบจำกัดต่อผลประกอบการ บจ. ไทย ก็ตาม

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นกลุ่ม DM อ่อนตัวลง แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต้นสัปดาห์ หลังตลาดเริ่มรับรู้ข่าวการกลับมาเปิดหน่วยงานราชการ โดยล่าสุด ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามร่างกฎหมายงบชั่วคราวถึง 30 ม.ค. 2026 ยุติภาวะ government shutdown ที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ทำให้หน่วยงานรัฐบาลสามารถกลับมาเปิดทำการได้ 

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดผันผวนมากขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากความกังวลรายงานสำคัญอาจต้องใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ เนื่องจากงานค้างสะสมจำนวนมาก และทำให้ Fed อาจตัดสินใจยากมากขึ้นในการประชุมเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ โดยล่าสุดตลาดปรับลดความคาดหวังโอกาสการลดดอกเบี้ยเหลือเพียง 50% จาก 63% และ 96% ใน สัปดาห์/ 1 เดือนก่อน 

 

นอกจากนั้น ยังเริ่มเห็นการปรับสถานะจากหุ้นเติบโตมาสู่หุ้นเชิงรับ โดยความกังวลอยู่ในหุ้นกลุ่มเทคฯ ในธีม AI ที่ปรับขึ้นมาแรง ทำให้มีมูลค่าตึงตัวยังคงอยู่ โดยกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 0.2% WoW นำโดยกลุ่มเซมิฯ ส่วนกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง 0.8% WoW นำโดยกลุ่มยานยนต์ จากยอดขายที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันในจีน โดยตลาดหันไปให้น้ำหนักกลุ่มเชิงรับอย่าง Healthcare ที่ปรับเพิ่มขึ้นเด่น 4.6% WoW

 

ตลาดหุ้น EM ฟื้นตัวได้ดีกว่า DM นำโดยตลาดหุ้นเกาหลี อินเดีย และฮ่องกง โดยผลประกอบการหุ้นเทคฯ จีนดีกว่าคาด ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อจีนกลับมาเป็นบวกที่ 0.2% ใน ต.ค. จากอุปสงค์ช่วงวันหยุด Golden Week 

 

ส่วนตลาดหุ้นไทยอ่อนแอกว่าภูมิภาค แม้ผลประกอบการในช่วงต้นจะออกมาดีกว่าคาด แต่ช่วงท้ายกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคกลับรายงานตัวเลขการใช้จ่ายที่ยังสะท้อนความระมัดระวังของผู้บริโภคในประเทศ ทำให้มีแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มค้าปลีก ราคาน้ำมันอ่อนตัวจากความกังวลภาวะอุปทานส่วนเกินจะเพิ่มขึ้นในปี 2026

 

คาด Fed ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งติด รับมือตลาดแรงงานที่ ‘ปลดออก’ สูงสุดรอบ 20 ปี

ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติภาวะ Government Shutdown อย่างเป็นทางการหลังยาวนาน 42 วัน เป็นไปตามที่ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้ประเมินไว้ว่าแรงกดดันเชิงการเมืองจะเร่งให้ทั้งสองพรรคหาทางออกภายในกลางเดือน พ.ย. 

 

แม้การยุติ shutdown จะช่วยจำกัดผลกระทบต่อ GDP 4Q25 ไว้ที่ราว -1.2% ก่อน rebound 1.3% ในไตรมาสแรกของปีหน้า แต่เรามองว่าความเสี่ยงที่แท้จริงของตลาดแรงงานจะปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อข้อมูลเศรษฐกิจกลับมาเผยแพร่อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนผ่านจาก ‘low hire, low fire’ สู่ ‘no hire, but fire’ โดยมีการปลดพนักงาน 153,074 ตำแหน่งในตุลาคม (สูงสุดรอบ 20 ปี) สะสมทั้งปีทะลุ 1 ล้านตำแหน่ง ขณะที่การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) เพิ่มเพียง 42,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่า break-even และความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงสู่ 50.3 ใกล้สถิติต่ำสุด 

 

ปัจจัยดังที่กล่าว ทำให้เราคาดว่า Fed น่าจะลดดอกเบี้ย 25 bps ทั้งในเดือน ธ.ค. 25 และ ม.ค. 26 เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างตลาดแรงงาน ช่วยสนับสนุนวัฏจักรเศรษฐกิจ

 

ขณะที่โอเปกคาดภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดเล็กน้อยในปี 2026 ส่งผลให้ราคาน้ำมัน Brent ลดลง 4% เหลือ 62.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่เรามองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อในครึ่งแรกของปี 2026 จะยังไม่สูงมากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันครึ่งแรกของปี 2025 ยังอยู่ในระดับสูง ($70-80/บาร์เรล) ทำให้เกิดปัจจัยฐานสูงที่ทำให้เงินเฟ้อต่ำถึงเดือน มิ.ย. 2026 ซึ่งทำให้ Fed ยังมีพื้นที่เพียงพอในการปรับลดดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 

 

อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังเมื่อฐานราคาน้ำมันปี 2025 อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 60-65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัจจัยฐานสูงจะหมดไป ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้การลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังเป็นไปได้ยากมากขึ้น 

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

  1. หุ้น Earnings Play ซึ่งคาดผลการดำเนินงาน 4Q68 จะยังเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY ได้แก่ BCPG BEM BGRIM MTC PTT
  2. หุ้นปันผลคุณภาพดี โดยคาดจะมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2568 หลังหักเงินปันผลจ่ายระหว่างกาลแล้ว ซึ่งให้ Div. Yield เกิน 5% และเราแนะนำ Outperform ได้แก่ BAM WHA KTB AP SIRI TOP BLA 
  3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และมีต้นทุนการดำเนินการลดลง แนะนำ AP MTC รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL
  4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แนะนำ กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW), กลุ่มไฟแนนซ์ (BAM MTC) 2) หุ้นที่คาดมีโอกาสได้ประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วมขังเฉพาะจุด แนะนำ TASCO HMPRO GLOBAL 3) หลีกเลี่ยงหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดไทย-กัมพูชาที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่าง CBG SAV

 

“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสพักตัวหรือแกว่งตัวลง หลังตลาดเริ่มขาดปัจจัยบวกใหม่ โดยทางเทคนิคหลังดัชนีเริ่มหลุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญ 1,285 ทำให้มีโอกาสแกว่งลงไปที่บริเวณ 1,265/1,240 ส่วนปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ GDP 3Q68 ซึ่งคาดเติบโต 1.0-1.5%YoY ชะลอตัวลงจาก +2.8%YoY ใน 2Q68, ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาซึ่งอาจกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในระยะสั้น แม้คาดจะมีผลกระทบจำกัดต่อผลประกอบการ บจ. ไทยโดยรวม รวมทั้งการประชุม ครม. คาดจะมีการพิจารณามาตรการแก้หนี้เสียรายย่อย, รถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีแดง 40 บาทตลอดสาย และเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ FOMC Minutes, ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญทั้งภาคแรงงาน NFPs และภาคเงินเฟ้อ PCE CPI หากหน่วยงานราชการกลับมาเปิด” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

  1. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของไทย ได้แก่ GDP 3Q25 และ การส่งออก ต.ค.
  2. การทยอยรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ หลังการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยุติลง
  3. รายงานการประชุมนโยบายการเงิน FOMC

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: GFPT - ต้นทุนลด คาดหนุนกำไร 4Q25 โตดี

แนะนำ บมจ. จีเอฟพีที หรือ GFPT เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

  • เป็นผู้ประกอบธุรกิจไก่ครบวงจรตั้งแต่ธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงไก่ ชำแหละและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ และผลิตอาหารแปรรูป โดยเป็นผู้ส่งออกไก่ไทยอันดับ 2 (ส่วนแบ่งตลาด 13%) และผู้ผลิตไก่ไทยอันดับ 7 (ส่วนแบ่งตลาด 5%)
  • 4Q25 คาดกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด YoY จากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและสถานการณ์แรงงานที่กลับสู่ภาวะปกติ แต่คาดจะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ทั้งปี 2025 คาดกำไรจะเติบโตเด่นถึง 34%YoY
  • มองเป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจาก ครม. มีมติเห็นชอบให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามข้อเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐ โดยให้โควต้านำเข้าปี 2026 จำนวน 1 ล้านตันในอัตราภาษี 0% (ราคาข้าวโพดจากสหรัฐต่ำกว่าไทย 10-20%) ซึ่งจะทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง ช่วยหนุนให้เกิด Upside Risk ต่อประมาณการกำไร
  • เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 12.50 บาท ด้วยวิธี SOTP โดยอิง PER 5-7 เท่าสำหรับธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจฟาร์ม และธุรกิจอาหาร รวมทั้งคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 0.20 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 2% 

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

งบกลุ่มเทคฯ จีนออกมาแข็งแกร่ง โดย 1) Tencent มีแรงหนุนจากเกม/โฆษณา และการใช้ AI อย่างชาญฉลาด 2) JD.com มีฐานผู้ใช้ที่ขยายตัวแม้กำไรจะลดลงจากการขยายธุรกิจใหม่ (Food Delivery/ยุโรป) 3) ส่วนผู้ผลิตชิปอย่าง SMIC และ Hua Hong ฟื้นตัวชัดเจนจาก UT Rate และ ASP ที่ปรับขึ้นสูง รวมถึงอุปสงค์ AI และอุปสงค์ในประเทศที่โต ด้วยภาพนี้เรามองว่าสามารถลงทุนได้ทั้งหมด

 

  • JD.com เผยรายได้โตเกินคาด +15% YoY หนุนจากยอดขายทั่วไปและรายได้โฆษณา (AI AdTech) พร้อมฐานผู้ใช้ที่โตแรง +40% YoY แต่ กำไรสุทธิลดลง -55% YoY เนื่องจากต้นทุนการขยายธุรกิจใหม่ (Food Delivery และยุโรป) 
  • Tencent เผยงบแข็งแกร่งกว่าคาดหนุนจากเกม–โฆษณาที่โตแรง หนุนกำไร +19% YoY โดยเน้นกลยุทธ์ “Pragmatic AI” ที่ฝัง AI ในบริการทำเงิน ทำให้สร้างรายได้เร็วและรักษา margin ได้ดี
  • SMIC เผยงบโตดีกว่าคาด โดยรายได้ +10% YoY และกำไรสุทธิโต +28.9%YoY หนุนจาก UT Rate สูง 95.8% และ ASP โต +4% QoQ นอกจากนี้เน้นการผลิตให้ลูกค้าในประเทศเพื่อสร้าง self-sufficient ecosystem 
  • Hua Hong เผยงบฟื้นตัวและดีกว่าคาด โดยรายได้ +21%YoY และ Gross margin อยู่ที่ 13.5% หนุนจากธุรกิจ Power & AI-related components (PMIC) ด้าน UT Rate สูง 109.5% และ ASP โต +5.2% QoQ

 

ด้วยภาพงบและแนวโน้มเราประเมินว่ายังคงสามารถลงทุนได้ โดย 1) JD.com แม้ระยะสั้นจะมีแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มใน Food Delivery และการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ แต่เราเชื่อว่า ตลาดรับรู้ประเด็นนี้ไปแล้ว ทำให้แนะมองช่วงราคาหุ้นย่อตัวพร้อมคาดหวังแนวโน้มการเติบโตจาก Ecommerce และแพลตฟอร์มที่แกร่ง 2) Tencent ปัจจุบัน valuation ยังต่ำกว่า global peers และมีการ Monetization ด้าน AI ในจีนได้ดีที่สุด รวมถึงแนวโน้มเติบโตต่อจาก เกม, โฆษณา และ Ecosystem 3) SMIC และ Hua Hong มีการฟื้นตัวที่ชัดเจน, อยู่ในตำแหน่งที่ได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ AI ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ผู้ผลิตชิปในจีนและบริษัทข้ามชาติ (เช่น STMicro) พึ่งพาโรงหล่อชิปจีนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ยังให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนการค้าสหรัฐฯ ที่มีอยู่ หลัง Trump เผยจะใช้แผนสำรอง หากศาลสูงวินิจฉัยว่าการเก็บภาษีนำเข้า ตาม IEEPA ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง อาจทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงไปด้วย

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังกรรมการ Fed แสดงความลังเลที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ด้าน Bond Yield ของไทย ยังทรงตัวอยู่ระดับสูง จากการที่ตลาดมองว่ามีโอกาสที่ กนง. จะเลื่อนการลดดอกเบี้ยในปีนี้ ทั้งนี้ เรายังมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ.ค. จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อยังติดลบ

 

U.S. Treasury & IG

 

แนะนำพันธบัตร และหุ้นกู้ IG ระยะสั้น ของสหรัฐฯ หลัง Fed มีแนวโน้มยุติ QT อย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ตัวยาว จาก term premium ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามปัญหาการคลังสหรัฐฯ หลังรัฐบาลอาจต้องจ่ายเงินคืนมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. หากศาลสูงตัดสินว่า ภาษี IEEPA ผิดกฎหมาย

 

High Yield Bond

 

ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น ยังมีอยู่ หลัง CBO ประเมินว่า การปิดหน่วยงานรัฐ 6 สัปดาห์ จะฉุด GDP growth สหรัฐฯ ใน 4Q2568 ลงราว 1.5% แม้ว่า UST yield โดยเฉพาะตัวสั้นถึงกลาง ยังมีแนวโน้มเป็นขาลงต่อ ตามการทยอยผ่อนคลายทางการเงินของ Fed ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก  อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Asia REITs

 

ทิศทางดอกเบี้ยขาลงของประเทศในกลุ่มเอเชีย ส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการและการเติบโตของอัตราเงินปันผลต่อหน่วย (DPU Growth) ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุนใน Singapore REITs ที่มีอัตราปันผลอยู่ที่ 6% และ REITs ไทยที่มีอัตราปันผลสูงถึง 8% เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดที่เพิ่มขึ้น

 

Global Infrastructure

 

การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกในการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต เนื่องจาก มีกระแสรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาระยะยาว รวมถึงมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นโลกอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ หุ้นโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หาก Bond Yield ลดลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

Private Asset เป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด Public เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่ต่ำกว่า โดยเรามีมุมมองบวกต่อ Private Equity เนื่องจาก เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญจากทั้งบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก นอกจากนี้ ทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ส่งผลบวกต่อแนวโน้ม M&A ที่เพิ่มขึ้น

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จาก EPS ที่มีแนวโน้มถูกปรับดีขึ้น และความหวังกระแส AI ในสหรัฐฯ / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ทยอยฟื้นตัวและการเร่งใช้จ่ายการคลังของยุโรปในปีหน้า/ หุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากนโยบายผ่อนคลายการคลัง และการบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจาก 1) Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายการเงิน 2) การเบิกจ่ายงบการคลังภายใต้ OBBBA 3) EPS ที่ยังโดดเด่น เห็นได้จาก EPS ใน 3Q2568 ที่โต 15%YoY และเป็น positive surprise ที่ 7% ซึ่งจะประคอง Fwd P/E ให้ยังสูง และ 4) ข้อพิพาททางการค้าที่ลดลง

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดหุ้นยุโรป มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการยุติภาวะซัตดาวน์ของสหรัฐฯ และมูลค่าหุ้นที่ยังถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยมี P/E อยู่ที่ 15 เท่า หนุน Fund flows ไหลเข้า นอกจากนี้ ในระยะยาว ทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นยุโรปจะได้แรงหนุนจากการเร่งใช้จ่ายภาครัฐ โดย Consensus คาดว่า EPS ในปี 2569 จะเติบโต 11%YoY

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 1) รัฐบาลใหม่มีแนวโน้มการใช้มาตรการทางการคลังแบบขยายตัวมากขึ้น 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาล ที่ช่วยหนุน ROE และ P/BV  3) ความหวังกระแส AI ในญี่ปุ่น 4) การอ่อนค่าของค่าเงินเยนช่วยผลประกอบการของบจ. และ  5) การปรับประมาณการการเติบโตของกำไรบจ.

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชีย ได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า GDP ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงกว่ากลุ่มประเทศ DM และ แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ช่วยสนับสนุนการ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางประเทศ EM เพิ่มเติม นอกจากนี้ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าหุ้นในกลุ่ม DM โดย P/E อยู่ที่ 14.6 เท่า

 

หุ้นอินเดีย

 

ตลาดหุ้นอินเดียมีแรงหนุนจากการปฏิรูป GST และการผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม โดย CPI อินเดียล่าสุดลดลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเปิดทางให้ RBI ลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. นอกจากนี้ ความตึงเครียดกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง หลังประธานาธิบดี Trump เผยสหรัฐฯ-อินเดียใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า

 

หุ้นไทย

 

ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัว อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามผลประกอบการโดยรวมในช่วง 2H2568 ที่มีแนวโน้มเติบโต จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ อาทิ คนละครึ่งพลัส และ เที่ยวดีมีคืน จะช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น ด้าน กนง.ยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอีก 25 bps.ในเดือน ธ.ค.นี้

 

หุ้นจีน All-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากนโยบาย anti-involution ที่มีแนวโน้มช่วยหนุนความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ขณะที่ งบกลุ่ม Internet platform อย่าง Tencent ยังออกมาดีกว่าคาด พร้อมย้ำธีม AI โดย CEO ของบริษัท เน้นว่า การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในด้าน AI ส่งผลดีต่อธุรกิจหลายด้าน

 

หุ้นเกาหลีใต้

 

ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้มีแนวโน้มปรับฐานระยะสั้น ตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก อย่างไรก็ดี ระยะยาวดัชนีฯ ยังได้แรงหนุนจากความต้องการชิป HBM และ DRAM สำหรับ AI Server รวมถึงแผนการลดภาษีเงินปันผลจาก 35% เป็น 25% และแนวโน้มที่กองทุนบำนาญแห่งชาติ (NPS) อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นภายในประเทศ หนุน Fund Flows ไหลเข้า

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจาก สัญญาณตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ ทำให้ Fed ยังมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. กดดันให้สกุลเงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลง ความกังวลบนภาวะฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี AI นอกจากนี้ ในระยะกลาง-ยาว ยังเห็นแรงซื้อต่อเนื่องจากธนาคารกลางหลักของโลก

 

หุ้นจีน A-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้แรงหนุนจาก 1) ข้อตกลงพักรบ 1 ปีระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่จะสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ 2) ความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่ม หลังยอดค้าปลีก, การผลิต และการลงทุนล่าสุด แผ่วลง 3) EPS ที่เติบโตดี จากธีม AI, นโยบาย anti-involution และการหาโอกาสในต่างประเทศ

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

แม้ความกังวลฟองสบู่ในธีม AI ที่รวมถึงประเด็นผลตอบแทนต่อเงินลงทุนรวม ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ผันผวนมากขึ้น แต่กลุ่มฯ ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก EPS กลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่ ใน 3Q2568 ที่คาดโต 30.1%YoY และจากโมเมนตัม EPS ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะหากงบ Nvidia ออกมาแข็งแกร่ง และดีกว่าคาด

 

ดัชนีหุ้น S&P 500

 

แม้การที่ล่าสุดตลาดปรับโอกาสลดดอกเบี้ยของ Fed เดือน ธ.ค.นี้ ลงเหลือเพียง 53% ได้กระทบ sentiment ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ แต่ดัชนีฯ ยังได้แรงหนุนจาก EPS ใน 3Q2568 ที่เติบโตดีและดีกว่าที่คาด ซึ่งจะช่วยหนุน EPS ทั้งปีปรับตัวขึ้น และประคองให้ Fwd P/E ยังสูง ท่ามกลางข้อพิพาทการค้าที่ลดลง

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

แม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ พักฐาน จากความกังวลบนมูลค่าที่ตึงตัว และความไม่แน่นอนการลดดอกเบี้ยของ Fed แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังมีแนวโน้มแรงหนุนจากกระแส AI ทั่วโลก ที่ยังดำเนินต่อ โดยล่าสุด AMD ประเมินว่า ตลาด Data center ปี 2573 จะมีขนาดมากถึง ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ.

 

หุ้นกลุ่ม Health Care

 

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในระยะสั้นได้แรงหนุนจากผลประกอบการ 3Q2568 ของกลุ่มที่ดีกว่าคาด และความคืบหน้าเชิงบวกของงานวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในวัฏจักรขาลง หนุนการเพิ่มขึ้นของ M&A ภาคอุตสาหกรรม โดยบริษัทส่วนใหญ่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

 

หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน

 

หุ้นกลุ่มพลังงานยั่งยืนมีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของ Data Center ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน AI นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนระยะสั้นจากการอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้า ในช่วง 4Q2568 และ ทิศทางดอกเบี้ยขาลง ซึ่งช่วยเสริมความน่าสนใจของการลงทุนในกลุ่มนี้

ภาพ: wildpixel/Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 17 พ.ย. 2025




Latest Stories