- ตลาดหุ้นโลกเริ่มชะลอตัวลง หลังตลาดปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในช่วงที่ผ่านมา หลังรับรู้ปัจจัยบวกหลายประการ ทั้งเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอแต่ไม่รุนแรง และดอกเบี้ยที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง
- อย่างไรก็ตาม ความผันผวนตลาดเพิ่มขึ้น ตามผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น สะท้อนความกังวลเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจระยะยาว
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนแรงกังวลเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจระยะยาวจากความเชื่อมั่นระยะยาวต่อเศรษฐกิจถดถอยลง
- สำหรับหุ้นไทยช่วงสั้น มอง SET มีโอกาสแกว่งตัวขึ้น หลังสถานการณ์ทางการเมืองไทยมีความชัดเจนมากขึ้น โดยรอติดตามการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความเชื่อมั่นการลงทุนฟื้นตัว โดยคาดจะมีการทยอยไหลเข้าของ Fund Flow และประเมินแนวต้านไว้ที่ 1,280/1,300 จุด
สัปดาห์ที่ผ่านมา การปรับขึ้นของตลาดหุ้นโลกเริ่มชะลอตัวลง หลังตลาดปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในช่วงที่ผ่านมา หลังรับรู้ปัจจัยบวกหลายประการไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอ แต่ไม่รุนแรง ดอกเบี้ยที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง โดย Fed เริ่มให้น้ำหนักภาคแรงงานเพิ่มขึ้น โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นบวกต่อหุ้นรายตัวหนุนทำให้หุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ เช่น Alphabet หลังศาลมีคำตัดสินคดีต่อต้านการผูกขาดเป็นคุณต่อบริษัท
ด้านตัวเลขแรงงานสหรัฐยังตอกย้ำโอกาสลดดอกเบี้ยสหรัฐในเดือนนี้ โดยตำแหน่งงานว่างเดือน ก.ค. ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด และต่ำสุดตั้งแต่ ก.ย. 2024, รายงาน Beige Book ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจใน 12 เขตส่วนใหญ่ ทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย ในด้านราคาทุกเขตรายงานต้นทุนสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนตลาดเพิ่มขึ้น ตามผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น สะท้อนความกังวลเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจระยะยาว จากปัจจัยด้านเงินเฟ้อ ดุลการคลัง ประชากรสูงวัย และเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่นและอังกฤษพุ่งสูงขึ้น
นอกจากนั้นยังมีความกังวลว่า สหรัฐจะต้องคืนภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บมาหรือไม่ หลังศาลอุทธรณ์สหรัฐตัดสินให้ยกเลิกภาษีศุลกากร "Reciprocal Tariff" ส่วนใหญ่ของทรัมป์เนื่องจากใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการฎีกาต่อศาลสูงสุด
ด้านตลาดหุ้น EM ปรับขึ้นเล็กน้อย ตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาดีกว่าคาด และสูงสุดนับตั้งแต่ พ.ย. 2024 โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 คำสั่งซื้อใหม่โดยรวมเร่งตัวขึ้น
ตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นได้เล็กน้อย หลังภาพการเมืองเริ่มมีความชัดเจนขึ้น โดยพรรคประชาชนสนับสนุนคุณอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ในระหว่างรอการแก้รัฐธรรมนูญ ก่อนจะยุบสภา ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงจากตัวเลขสต๊อกน้ำมันสูงกว่าคาดและท่าทีกลุ่ม OPEC+ ที่จะเพิ่มการผลิตในชั้นที่ 2 รวม 1.6 MBD เร็วกว่าแผนที่เคยประกาศจะลดไปถึงสิ้นปี 2026
อัตราส่วนว่างงาน ต่ำกว่า 1 เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021
รายงาน Beige Book ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจใน 12 เขตส่วนใหญ่ ทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย ในด้านราคาทุกเขตรายงานต้นทุนสูงขึ้น โดย 10 เขตอยู่ในระดับปานกลาง อีก 2 เขตเผชิญต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งแรงเป็นพิเศษ
ปัจจัยหลักคือ ผลจากภาษีศุลกากร (tariffs) ที่กดดันราคาสินค้าและบริการต้นน้ำ บ่งชี้ความเสี่ยงเงินเฟ้อมากขึ้น ด้านการจ้างงานโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลง แต่หลายเขตชี้ว่าบริษัทลังเลที่จะจ้างใหม่
ด้านรายงานตำแหน่งงานว่าง (JOLTS) สหรัฐฯ เดือนก.ค.แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังชะลอลง โดยอัตราส่วนตำแหน่งงานว่างต่อผู้ว่างงานลดลงต่ำกว่า 1 เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021
ทั้งนี้ แม้ ISM ภาคการผลิตจะมีสัญญาณการชะลอตัวแต่ข้อมูลบางส่วนยังคงแสดงสัญญาณเชิงบวก เช่น คำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ได้แย่เท่าที่หลายคนกังวล
แรงเทขายพันธบัตร 30 ปี สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-อังกฤษ สูงสุดในรอบหลายทศวรรษ
พันธบัตรอายุ 30 ปีของสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น เผชิญแรงขายอย่างรุนแรงในหลายประเทศพัฒนาแล้ว โดยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พันธบัตรอังกฤษพุ่งขึ้นสู่สูงสุดตั้งแต่ปี 1998 และ US ปรับเพิ่มขึ้นใกล้ 5.0% อีกครั้ง
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนแรงกังวลเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจระยะยาวจาก
1. ความเชื่อมั่นระยะยาวต่อเศรษฐกิจถดถอยลง นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในการฝากเงินไว้กับรัฐบาล 30 ปี ข้างหน้า
2. ผู้ซื้อรายใหญ่เริ่มซื้อลดลง เช่น กองทุนบำนาญในสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่นที่กำลังต้อง ขายพันธบัตรระยะยาวเพื่อจ่ายเงินให้ผู้เกษียณที่มีจำนวนมากขึ้น
3. นโยบายการเงินตึงตัว (QT) ทำให้ธนาคารกลางเลิกซื้อพันธบัตร ส่ง supply เข้าสู่ตลาดมากขึ้น
4. การกลับมาของเงินเฟ้อ และภาษีศุลกากร ซึ่งกำลังดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เราคาดว่าความเสี่ยงวิกฤตการคลังในระยะต่อไปเพิ่มสูงขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
1. หุ้น Earnings Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2H68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ HoH ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCPG GULF SCC
2. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากกำไร 1H68 และให้ Div.Yield เกิน 2% แนะนำ PTT TTB HMPRO (XD 10 ก.ย.) KKP(XD 10 ก.ย.)
3. Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1. หุ้น Laggard Play ซึ่งคาดได้อานิสงส์หาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง โดยเลือกหุ้น SET50 ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้น QTD ต่ำกว่า SET และ Valuation ถูก โดยมี PBV และ PER 2568F < -1SD อีกทั้งมีพื้นฐานดี แนะนำ BDMS CPALL CRC MTC PTT WHA 2. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง และ/หรือ ดอลลาร์อ่อนค่า (บาทแข็งค่า) แนะนำ กลุ่ม REITs (DIF) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มเช่าซื้อ (MTC) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC BCPG GULF) และ 3. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPALL GLOBAL) กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL) กลุ่มนิคม (AMATA) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC)
“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสแกว่งตัวขึ้น หลังสถานการณ์ทางการเมืองไทยมีความชัดเจนมากขึ้น โดยรอติดตามการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความเชื่อมั่นการลงทุนฟื้นตัว โดยคาดจะมีการทยอยไหลเข้าของ Fund Flow และประเมินแนวต้านไว้ที่ 1,280/1,300 จุด ขณะที่คำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองคดีชั้น 14 (9 ก.ย.) คาดจะสร้างความผันผวนต่อตลาดได้น้อยลงจากเดิม ส่วนปัจจัยต่างประเทศสำคัญติดตาม ได้แก่ ตัวเลข CPI ส.ค.ของสหรัฐ โดยตลาดคาดเพิ่มขึ้น 2.9%YoY เร่งตัวขึ้นจาก 2.7%YoY ใน ก.ค. ซึ่งหากเป็นไปตามคาดหรือไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ต่อ ขณะที่การ
ประชุมนโยบายการเงินของ ECB (11 ก.ย.) คาดยังคงดอกเบี้ยไว้ที่เดิม” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
1. สถานการณ์ทางการเมืองไทยที่จะยังมีพัฒนาการต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้งรัฐบาล
2. การประชุมนโยบายการเงิน ECB (11 ก.ย.) ซึ่งตลาดคาดคงดอกเบี้ยนโยบาย และการประชุมของ OPEC+ (7 ก.ย.) ซึ่งอาจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน
3. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ CPI ส.ค. ของสหรัฐ, ดุลการค้า ส.ค. ของจีน
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: MTC - Laggard ที่ได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง
แนะนำ บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล หรือ MTC เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยใหญ่สุดของไทย โดยให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อโฉนดที่ดิน สินเชื่อส่วนบุคคล และนาโนไฟแนนซ์ โดยส่วนใหญ่เป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าบุคคลที่มีรายได้ต่ำซึ่งไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินจาก ธพ. แต่มียานพาหนะและ/หรือที่ดินของตนเองใช้เป็นหลักประกัน
- 2H25 มองกำไรเพิ่มขึ้น HoH และ YoY และปี 2025 คาดกำไรจะเติบโต 15%YoY แรงหนุนจากสินเชื่อที่เติบโตดีและ credit cost ที่ลดลง ส่วนปี 2026 คาดกำไรจะเติบโตแข็งแกร่งสุดในกลุ่ม 15%YoY จากสินเชื่อที่เติบโตและ NIM ขยายตัว
- เป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง และเป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม Consumer finance หลังคาดปี 2025-2026 กำไรโตแกร่งเฉลี่ยปีละ 15% และมี Valuation สมเหตุสมผลที่ PEG 25F และ 26F ที่ 0.7 และ 0.6 เท่า ตามลำดับ ต่ำสุดในกลุ่ม
- เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 47 บาท อิงวิธี PBV 2.15 เท่า และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 0.32 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 0.8%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเซมิฯมีทิศทางผันผวนจากกฎระเบียบใหม่ของสหรัฐฯ ทั้งการยกเลิกสิทธิพิเศษ VEU สำหรับโรงงานในจีนของ TSMC, Samsung, SK Hynix และนโยบายเก็บภาษีของทรัมป์ แต่อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าในระยะถัดไปหุ้นยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้หนุนจากการเติบโตของกลุ่มเซมิฯ AI สะท้อนผ่านตัวเลขส่งออกเกาหลีและงบ AVGO ด้วยภาพนี้ทำให้เรายังคงแนะลงทุนในกลุ่มเซมิฯ AI อย่าง NVDA, AMD, TSMC, AVGO, Samsung, SK Hynix
1. รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ เพิกถอนสิทธิพิเศษ Validated End User (VEU) สำหรับโรงงานผลิตชิปในประเทศจีนของ TSMC, Samsung และ SK Hynix โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 31 ธ.ค. 2025 และซัพพลายเออร์ของบริษัทเหล่านี้ที่ต้องการส่งมอบอุปกรณ์การผลิตชิปไปยังโรงงานในจีนจะต้องขออนุมัติเป็นรายครั้ง แทนที่จะใช้สิทธิ blanket authorization แบบเดิม
เราประเมินว่า 1. สหรัฐฯ ต้องการคุมจีนไม่ให้เข้าถึงเทคฯการผลิตชิปขั้นสูง 2. TSMC ได้รับผลกระทบจำกัด เพราะฐานการผลิตหลักอยู่ที่ไต้หวัน โดยโรงงานในจีนที่หนานจริงมีสัดส่วนราว 3% ของกำลังการผลิตทั่วโลก และผลิตชิปเทคโนโลยีระดับ 16 นาโนเมตรที่ไม่ใช่ชั้นนำ 3. Samsung และ SK Hynik ระยะสั้นมีแรงกดดันหลังฐานการผลิตชิปขั้นสูงอยู่ในจีน เช่น SK Hynix ผลิต DRAM ในจีนถึง 40% ของผลผลิตทั้งหมด ซึ่งภาพนี้จะทำให้บริษัทต้องย้ายฐานการผลิตชิปขั้นสูงกลับประเทศ ซึ่งเรามองเป็นบวกต่อราคาชิปและเพิ่มความได้เปรียบให้กับเซมิฯเกาหลีใต้หลังจีนผลิตชิปขั้นสูงได้ยากขึ้น
2. ทรัมป์เตรียมเก็บภาษีเซมิฯจำนวนมากเพื่อกดดันบริษัทต่างชาติที่ไม่ยอมเข้ามาลงทุนผลิตในสหรัฐฯ แม้จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นทั่วโลก แต่ก็เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯหลังจะช่วยดึงห่วงโซ่อุปทานผลิตชิปกลับประเทศ
เรามองว่าประเด็นกฎระเบียบเป็นสิ่งที่กดดันทำให้ราคาหุ้นกลุ่มเซมิฯผันผวนในระยะสั้น
แต่อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่ากลุ่มเซมิฯ โดยเฉพาะเซมิฯ AI ยังมีแนวโน้มเติบโตดีสะท้อนผ่าน 1. การส่งออกเซมิฯเกาหลีที่โต 27%YoY ในเดือนส.ค. หนุนจากความต้องการชิป AI จาก Samsung และ SK Hynik 2. งบและแนวโน้ม AVGO ที่โตดีกว่าคาดและมีแรงหนุนหลักจากธุรกิจ AI ซึ่งเราเชื่อว่าภาพนี้จะยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้หุ้นกลุ่มเซมิฯปรับตัวขึ้นต่อได้ในช่วง 2H25 โดยเราแนะกลุ่มที่มีตำแหน่งธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จาก AI และมีความสา
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้อานิสงส์จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งเรื่องความร่วมมือจีน-อินดีย-รัสเซีย และความไม่แน่นอนนโยบายการค้าที่มีอยู่ หลังประธานาธิบดี Trump เร่งศาลสูงให้พิจารณาคดี ที่ศาลอุทธรณ์ชี้มาตรการภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ผิดกฎหมาย
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามปัญหาขาดดุลการคลังสหรัฐฯ ที่น่ากังวลขึ้น ตามแนวโน้มรายรับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เริ่มไม่ชัดเจน ด้านตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง จากการที่ กนง.น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งใน 4Q2568 หลังอัตราเงินเฟ้อยังติดลบและต่ำกว่าคาด
U.S. Treasury & IG
ความกังวลการแทรกแซงความเป็นอิสระของ Fed และความเสี่ยงการคลังสหรัฐฯ จะหนุนให้ US term premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ US IG bond แม้มี spread ที่แคบ แต่ปัจจัยพื้นฐานยังดี แนะนำ UST และ US IG bonds ที่มี duration ระยะสั้นถึงกลาง เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ต ท่ามกลางความไม่แน่นอน
High Yield Bond
ความเสี่ยงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น หลังการจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน ส.ค. เติบโตชะลอลงเร็ว และอัตราการว่างงานเพิ่มเป็น 4.3% อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY default rate จะเพิ่มสูงขึ้นจากระดับต่ำ จนจำกัด upside ของ HY ท่ามกลาง spread ที่แคบ แม้ UST yield ตัวสั้น อาจลดลงต่อ ตามการลดดอกเบี้ยของ Fed
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
Global Infrastructure
การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี Correlation กับสินทรัพย์หลักอื่นๆ ค่อนข้างต่ำในอดีต ทำให้สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจาก เป็นสัญญาระยะยาว และมีโครงสร้างรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น
Private Assets ช่วยลดความผันผวนจาก Public Assets โดยสร้างผลตอบแทนระยะยาวและกระจายความเสี่ยง โดยเรามีมุมมองเชิงบวกต่อ Private Equity เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง รวมทั้ง M&A และ IPO ที่เพิ่มมากขึ้นในปีนี้ ช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มอัตราผลตอบแทน ด้าน Valuation มีมูลค่าถูกกว่าการลงทุนใน Public market
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์หลักจากกระแส AI ทั่วโลก และแนวโน้มการเติบโตของ EPS / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากการลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญ และแรงหนุนจากนโยบายการคลัง/ หุ้นญี่ปุ่นได้อานิสงส์จากการปฏิรูปธรรมาภิบาล และความคืบหน้าด้านการค้า
หุ้นสหรัฐฯ
แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เสี่ยงพักฐานระยะสั้น จากปัจจัยเรื่องฤดูกาล แต่ในระยะกลางถึงยาว ตลาดยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากกระแส AI ที่ยังดำเนินต่อ จาก Fed ที่มีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ย จากผลบวกมาตรการกระตุ้นการคลัง ภายใต้ OBBBA และจาก EPS ตลาดฯ ในปี 2025 และ 2569 ที่เติบโตดี
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันระยะสั้น จากแรงขายพันธบัตระยะยาว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปีของเยอรมันและฝรั่งเศสปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนด้านการเมืองในฝรั่งเศสที่พรรคฝ่ายค้านจะลงมติไม่ไว้วาง ในวันที่ 8 ก.ย. นี้ ทั้งนี้ เราคาดว่ามาตรการการคลังยังเป็นแรงหนุนระยะยาวของเศรษฐกิจยุโรป
หุ้นญี่ปุ่น
ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นได้แรงหนุนจาก 1. ความกังวลกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ลดลง โดยล่าสุด ประธานาธิบดี Trump รับรองข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ 2. การปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่น ผ่านการเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และ 3. ความคาดหวังการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
หุ้นตลาดเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากเงินดอลลาร์ ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบสกุลเงินคู่ค้าในเอเชีย ทั้งนี้ เรามอง ตลาดฯ ยังได้แรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้า ตามโมเมนตัมเศรษฐกิจในเอเชียที่ฟื้นตัว และตามแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นการคลังเพิ่มเติมของทางการที่ต่างๆ ในเอเชีย
หุ้นอินเดีย
แม้ว่า ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มพักฐานระยะสั้น หลังสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าต่ออินเดีย 50% แต่ RBI มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่ม หลัง CPI ล่าสุด อยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี และรัฐบาลประกาศลดภาษีสินค้าและบริการ (GST) เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ ทั้งนี้ เรามีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้น หลังการเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้นในการแต่งตั้งนายกฯคนใหม่ เพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุน ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดในระยะถัดไป ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมือง นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ การปรับประมาณการ EPS ในปีนี้
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากการที่ตลาดให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. หลังตัวเลขแรงงานส่งสัญญาณชะลอตัว โดยค่าเงินดอลลาร์ มีแนวโน้มอ่อนค่า จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของ Fed หนุนแรงซื้อทองคำต่อเนื่อง
หุ้นจีน All-Share
ดัชนีหุ้นจีนได้แรงหนุนจากความคาดหวังการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากการทางการจีน ในการประชุม politburo ปลายเดือน ก.ย. และการประชุม 4th plenum กลางเดือน ต.ค.นี้ ด้านกระแส AI ในจีน มีความคืบหน้าขึ้น หลัง Alibaba ประสบความสำเร็จในการพัฒนาชิป AI ของตนเอง
หุ้นจีน A-Share
ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้อานิสงส์จาก 1) แรงซื้อนักลงทุนในประเทศทั้งสถาบันและครัวเรือน 2) ความหวังมาตรการกระตุ้นต่างๆ จากทางการจีน ในการประชุม 4th plenum และ 3) AH premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ต้องจับตาความเสี่ยงที่ทางการอาจออกมาตรการเพื่อชะลอความร้อนแรงของตลาดหุ้นจีน
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจากงบกลุ่ม Tech ใน 2Q2568 ที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากล่าสุด Broadcom ที่เผยรายได้ และกำไรสูงกว่าที่คาด พร้อมทั้ง ให้ guidance รายได้ในไตรมาสถัดไปดีกว่าคาด ประกอบกับ การใช้จ่าย AI capex ของกลุ่ม Magnificent 7 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะช่วยหนุนแนวโน้มความต้องการชิป AI
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ได้รับปัจจัยบวกจากอัตราเงินเฟ้อในเดือน ส.ค. ที่ชะลอตัวมาอยู่ที่ 1.7%YoY ทำให้เพิ่มโอกาสที่ BOK จะลดดอกเบี้ยในเดือน ต.ค. รวมถึงนโยบายการคลังที่เร่งตัวขึ้นในปีหน้า ช่วยบรรเทาผลกระทบด้านภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และแผนการลงทุนด้าน AI ของรัฐบาล ทำให้หุ้นกลุ่ม Semiconductor ได้ประโยชน์
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก EPS กลุ่มฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโต ตามที่ความต้องการใช้ AI ที่กระจายไปสู่หลายภาคส่วน ทำให้ความต้องการบนชิป AI ยังสูง สอดรับกับที่ Nvidia คาดการใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน AI จะสูงถึง 3-4 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2573
ภาพ: Douglas Sacha/Getty Images, Anton Petrus/Getty Images